๔) ธงไตรรงค์
มูลเหตุสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชดำริให้เปลี่ยนธงชาติจากธงช้างมาเป็นธงไตรรงค์เมื่อ
พ.ศ. ๒๔๖๐ นั้นกล่าวกันว่า
น่าจะมีสาเหตุมาจากธงช้างซึ่งเป็นมีภาพพิมพ์รูปช้างบนผืนธงสีแดงนั้นเป็นของที่ต้องสั่งทำจากต่างประเทศ
ทั้งมีราคาสูง นอกจากนั้นยังปรากฏอีกว่า
...ธงสำหรับชักในเรือทั้งหลายของพ่อค้า
แลสาธารณชน
[๑]
บรรดาที่เปนชาติชาวสยามยังไม่เหมาะ
โดยที่ใช้อยู่ทุกวันนี้แม้แลแต่ไกลแล้ว
เห็นผิดแผกกับธงราชการน้อยนัก
แลทั้งรูปช้างที่ใช้กันอยู่ก็ไม่งดงาม
จนเกือบไม่ทราบว่าช้างหรืออะไร
เปนเพราะวาดรูปช้างนั้นเปนการลำบากนั่นเอง...
[๒]
 |
ภาพเขียนที่จิตรกรชาวอังกฤษเขียนขึ้นดมื่อคราวที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร
ทรงสมัครไปรบในสงครามบัวร์ร่วมกับนายทหารในกรมทหารราบเบาเดอรัมของอังกฤษ
โดยเขียนรูปธงช้างไว้ที่มุมซ้ายบนของภาพ |
แต่มูลเหตุสำคัญที่ทำให้ทรงตัดสินพระราชหฤทัยเปลี่ยนธงชาติจากธงช้างมาเป็นธงไตรรงค์นั้น
...เพราะทรงพระราชดำริห์ว่า
ธงช้างทำยาก และไม่คร่ได้ทำแพร่หลายในประเทศ
ที่มีขายอยู่ดาษดื่นในตลาดมักจะเปนธงที่ทำมาจากต่างประเทศ
ประเทศที่ทำไม่รู้จักช้าง ทำรูปร่างไม่น่าดู
ทั้งคนใช้ถ้าไม่ระวังก็มักจะชักธงกลับ...
[๓]
ดังเช่นที่จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม
สุนทรเวช)
ได้กล่าวถึงเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรราษฎรประดับธงช้างกลับหัว
...ในลักษณะช้างนอนหงาย,
เอาสี่เท้าชี้ฟ้า... [๔]
เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๙
คราวเสด็จพระราชดำเนินไปวัดเขาสะแกกรัง
เมืองอุทัยธานีว่า ...เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นธงผืนที่กล่าวนั้น,
..ฉับพลันสายพระเนตรก็แปรไปเมินมองทางอื่น,
เสมือนมิได้มีสิ่งใดเป็นที่พึงสังเกตผิดปกติเกิดขึ้น,
แต่ทว่าสีพระพักตร์นั่นสิ, ...ดูประหนึ่งจะทรงมีความสะเทือนพระราชหฤทัยไปในทางสลดสังเวชมากกว่าทรงพระพิโรธ,
หรือไม่พอพระทัยอย่างใดอย่างหนึ่ง,...
[๕]
อาจจะเป็นเพราะทรงตระหนักในพระราชหฤทัยถึงความรีบร้อนของราษฎรที่มุ่งหมายจะแสดงความจงรักภักดีให้ปรากฏ
แต่การชักธงชาติกลับหัวนี้มีแบบธรรมเนียมสากลทางทหารที่ถือกันว่า
การชักธงกลับหัวนั้นเป็นเครื่องหมายของการยอมแพ้
หรือสถานที่นั้นถูกยึดครองโดยอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว
ฉะนั้นการที่มีพระราชดำริให้เปลี่ยนธงช้างมาเป็นธงริ้วแดงสลับขาวรวมกันเป็นห้าแถบเมื่อเดือนพฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๔๕๙ นั้น จึงน่าจะมาจากสาเหตุดังกล่าว
เพราะธงริ้วแดงสลับขาวห้าแถบที่โปรดเกล้าฯ
ให้ประดิษฐ์ขึ้นใหม่นั้นไม่ว่าจะประดับหรือชักขึ้นเสาอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะกลับหัวไปได้
 |
ธงริ้วแดงขาว ซึ่งใช้เป็นธงสำหรับเรือค้าขาย |
อนึ่ง ภายหลังจากที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ใช้ธงริ้วแดงสลับขาวรวมห้าแถบเป็นธงค้าขายสำหรับชักในเรือของพ่อค้าและสาธารณชนแทนธงช้างเดิมมาตั้งแต่วันที่
๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๙ แล้ว ก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้ชักธงค้าขายนี้ขึ้นที่เสาธงในบริเวณสนามเสือป่าเพื่อให้ผู้ที่ได้พบเห็นได้ร่วมแสดงความคิดเห็น
และเมื่อผู้ใช้นามแฝงว่า อะแควเรียส
ได้เขียนบทความแสดงความคิดเห็นลงในหนังสือพิมพ์กรุงเทพฯ
เดลิเมล์ ฉบับวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๐
โดยได้เสนอความห็นไว้ว่า
...ริ้วแดงกลางควรจะเปลี่ยนเปนสีน้ำเงิน
ดังนี้ริ้วขาวที่กระหนาบสงข้างประกอบกับริ้วน้ำเงินกลางก็จะรวมกันเปนสีส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสีแดงกับขาวที่ริมประกอบกันก็จะเปนสีสำหรับชาติ
และด้วยประการฉะนี้กรุงสยามก็จะได้มีธงสีแดง, ฃาว,
กับน้ำเงิน อันเปนสีธงสามสี (ฝรั่งเศส),
ยูเนียนแย๊ก (อังกฤษ), และธงดาวและริ้ว
(อะเมริกัน)
ดังนี้ ถ้ามีธงใหม่ขึ้นเช่นว่านี้
ก็จะได้เปนเครื่องหมายกิจการสำคัญยิ่งอัน ๑
ในตำนานประเทศนี้
และการที่ใช้สามสีนี้สัมพันธมิตร์สำคัญๆ
ของกรุงสยามก็จะรู้สึกว่าเปนการยกย่องเฃาเปนแน่แท้
ทั้งการที่มีสีส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวอยู่ด้วยนั้น
ก็จะเปนเครื่องเคือนให้ระลึกถึงสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามในสมัยเมื่อประเทศนี้ได้ดำเนินไปในขั้นสำคัญอย่างยิ่ง...
[๖]
|
จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ช่างเขียนลองเขียนรูปธง
โดยเปลี่ยนแถบสีแดงที่กลางผืนธงมาเป็นสีน้ำเงินแก่อันเป็นสีประจำวันพระบรมราชสมภพ
ครั้นได้ทอดพระเนตรแบบธงใหม่นั้นแล้ว ทรง
...ยอมรับว่า
ฃองเขาขำขึ้นกว่าธงที่ใช้อยู่บัดนี้...
[๗]
จึงได้ทรงนำเรื่องการเปลี่ยนธงชาตินี้เข้าปรึกษาในที่ประชุมเสนาบดี
แล้วได้โปรดเกล้าฯ ให้ตรา
พระราชบัญญัติแก้ไขพระราชบัญญัติธง พระพุทธศักราช
๒๔๖๐ เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๐
ให้เปลี่ยนธงชาติสยามจากธงช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่น
ที่โปรดให้ใช้แทนธงช้างเดิมมาแต่วันที่ ๑ มกราคม
พ.ศ. ๒๔๕๙ มาเป็นธงไตรรงค์ตั้งแต่วันที่ ๒๘ ตุลาคม
พ.ศ. ๒๔๖๐ เป็นต้นมา
ทั้งนี้ทรงมุ่งหมายให้ธงไตรรงค์นี้
...เปนเครื่องหมายให้ปรากฏว่า
ประเทศสยามได้เข้าร่วมสุขทุกข์
แลเปนน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับสัมพันธมิตร์หมู่ใหญ่
ช่วยกันกระทำการปราบ ปรามความอาสัตย์อาธรรมในโลกย์
ให้ประลัยไป...
[๘]
ธงไตรรงค์ที่ทรงพระราชดำริขึ้นใหม่นั้น
มีรูปลักษณะตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติแก้ไขพระราชบัญญัติธง
พระพุทธศักราช ๒๔๖๐ คือ
...รูปสี่เหลี่ยมรี
มีขนาดกว้าง ๒ ส่วน ยาว ๓ ส่วน มีแถบสีน้ำเงินแก่
กว้าง ๑ ส่วน ซึ่งแบ่ง ๓ ขนาดกว้างแห่งธงอยู่กลาง
มีแถบขาวกว้าง ๑ ส่วน ซึ่งแบ่ง ๖
ของขนาดกว้างแห่งธงข้างละแถบ
แล้วมีแถบสีแดงกว้างเท่าแถบขาวประกอบชั้นนอกอีกข้างละแถบ
ธงสำหรับชาติสยามอย่างนี้ให้เรียกว่าธงไตรรงค์...
[๙]
นอกจากนั้นแล้วพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงพระราชนิพนธ์คำอธิบายความหมายของแถบสีทั้งสามที่ประกอบกันเป็นธงไตรรงค์นั้นว่า
ขอร่ำรำพรรณบรรยาย
|
ความคิดเครื่องหมาย
|
แห่งสีทั้งสามงามถนัด |
|
ขาว คือบริสุทธิ์ศรีสวัสดิ์ |
หมายพระไตรรัตน์ |
ที่พึ่งคุ้มจิตไทย |
|
แดง คือโลหิตเราไซร้ |
ซึ่งยอมสละได้ |
เพื่อรักษะชาติศาสนา |
|
น้ำเงิน คือสีโสภา |
อันจอมประชา |
ธ
โปรดเป็นของส่วนองค์ |
|
จัดริ้วเข้าเป็นไตรรงค์ |
จึ่งเป็นสีธง |
ที่รักแห่งเราชาวไทย |
|
ทหารอวตารนำไป |
ยงยุทธ์วิชัย |
วิชิตก็ชูเกียรติสยาม ฯ
[๑๐] |
|
๕. ไชโย ไชโย ไชโย
สืบเนื่องจากการที่ทรงนำเสือป่ากองพลหลวงรักษาพระองค์และทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์เดินทางไกลจากพระราชวังสนามจันทร์ไปบวงสรวงสังเวยพระเจดีย์พระนเรศวรที่ริมหนองสาหร่าย
เมืองสุพรรณบุรี ในระหว่างวันที่ ๒๐ มกราคม - ๒
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๖ นั้น
ได้ทรงเริ่มธรรมเนียมประชุมสวดมนต์เย็นขึ้นเป็นครั้งแรกในระหว่างประทับแรมที่กำแพงแสน
เมื่อวันพุธที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๖
โดยได้เสด็จลงที่หน้าพลับพลาเวลา ๒ ทุ่มครึ่ง
ทรงนำสวดมนต์ เริ่มด้วย อรห สัมมา ฯลฯ
แล้วสวดอิติปิโสกับคำนมัสการคุณานุคุณ
คำไทยของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
เมื่อสวดมนต์จบแล้ว ร้องสรรเสริญพระบารมี
และเป่าแตรยาวตำนับเป็นจบการนมัสการ
 |
พระเจดีย์ยุทธหัตถีที่ดอนเจดีย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ |
แต่โดยที่บทร้องสรรเสริญพระบารมีนั้นต่างเหล่าต่างมีคำร้องต่างๆ
กัน เฉพาะอย่างยิ่งคำสุดท้ายที่ส่งว่า ฉนี้
มักจะร้องเพี้ยนเป็น ชนี
จนยากที่แก้ให้หายได้นอกจากแปลงคำเสียใหม่
รุ่งขึ้นวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๖
จึงทรงพระราชนิพนธ์แปลงบทร้องสรรเสริญพระบารมี
เป็นดังนี้
ฃ้าวรพุทธเจ้า เอามโนและศิระกราน
นบพระภูมิบาลบุณอะดิเรก เอกบรมจักริน
พระสยามินทร์พระยศะยิ่งยง เย็นศิระเพราะพระบริบาล
ผลพระคุณธรักษา ปวงประชาเปนศุขะสานต์ ขอบันดาล ธ
ประสงค์ใด จงสฤษดิ์ดังหวังวรหฤทัย ดุจะถวายไชย
ชะโย ฯ
[๑๑] |
อนึ่ง
เมื่อเสร็จการพระราชพิธีบวงสรวงสังเวยเจดีย์ยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๖ แล้ว
ได้เสด็จประทับบนเกย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เสือป่าและทหารกับตำรวจภูธรที่ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่
ณ ที่นั้น เดินแถวถวายตัว ทรงประน้ำมนต์ให้
และเมื่อเดินผ่านที่ประทับนั้นต่างคนร้อง ไชโย
เป็นคำอวยไชย จากนั้นมาจึงนิยมกล่าวคำอวยไชยว่า
ไชโย ไชโย ไชโย
แทนการโห่แล้วรับฮิ้วสามลาดังที่เคยใช้กันมาแต่โบราณ