เนื่องมาจากจากอังกฤษนำฝิ่นเข้าไปขายในแผ่นดินจีน
จนเกิดเป็นสงครามฝิ่นระหว่างจีนและอังกฤษขึ้น
และเมื่อจีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนั้น
อังกฤษก็ใช้อำนาจบังคับให้จีนลงนามในสัญญานานกิงกับอังกฤษ
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕
อันเป็นจุดกำเนิดของการให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตและการจำกัดสิทธิที่จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรแก่อังกฤษซึ่งเป็นชาติคู่สัญญา
 |
เซอร์จอห์น บาวริง (Sir John Bowring) |
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๙๗
เมื่อสหรัฐอเมริกาส่งกองเรือไปปิดล้อมและบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ
จนญี่ปุ่นต้องลงนามในสนธิสัญญาคะนะงะวะ
อันมีต้นแบบมาจากสนธิสัญญานานกิงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๗
แล้ว ถัดมาใน พ.ศ. ๒๓๙๘ เซอร์จอห์น บาวริง
ก็ได้เป็นผู้แทนรัฐบาลอังกฤษเข้ามาทำ
"สนธิสัญญาทางพระราชไมตรีระหว่างประเทศอังกฤษแลกรุงสยาม"
(Treaty of Friendship and Commerce between the
British Empire and the Kingdom of Siam)
หรือบนปกสมุดไทยเขียนว่า
"หนังสือสัญญาเซอยอนโบวริง"
หรือที่รู้จักกันทั่วไปในอีกชื่อหนึ่งว่า
"สัญญาเบาริง" (Bowring Treaty) เมื่อวันที่ ๑๘
เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๘
โดยมีข้อตกลงสำคัญในสนธิสัญญาฉบับนี้ ดังนี้
๑)
อนุญาตให้คนในบังคับหรือสัปเยกอังกฤษอยู่ภายใต้การควบคุมของกงสุลอังกฤษ
๒)
คนในบังคับอังกฤษได้รับสิทธิในการค้าขายอย่างเสรีในเมืองท่าทุกแห่งของสยาม
และสามารถพำนักอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครเป็นการถาวรได้
ภายในอาณาเขตสี่ไมล์ (สองร้อยเส้น)
แต่ไม่เกินกำลังเรือแจวเดินทางในยี่สิบสี่ชั่วโมงจากกำแพงพระนคร
คนในบังคับอังกฤษสามารถซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณดังกล่าวได้
คนในบังคับอังกฤษยังได้รับอนุญาตให้เดินทางได้อย่างเสรีในสยามโดยมีหนังสือที่ได้รับการรับรองจากกงสุล
๓)
ยกเลิกค่าธรรมเนียมปากเรือและกำหนดอัตราภาษีขาเข้าและขาออก
เป็นดังนี้
๓.๑
อัตราภาษีขาเข้าของสินค้าทุกชนิดกำหนดไว้ที่ร้อยละ
๓ ยกเว้นฝิ่นที่ไม่ต้องเสียภาษี
แต่ต้องขายให้กับเจ้าภาษี
ส่วนเงินทองและข้าวของเครื่องใช้ของพ่อค้าไม่ต้องเสียภาษีเช่นกัน
๓.๒ สินค้าส่งออกให้มีการเก็บภาษีชั้นเดียว
โดยเลือกว่าจะเก็บภาษีชั้นใน (จังกอบ ภาษีป่า
ภาษีปากเรือ) หรือภาษีส่งออก
๔)
พ่อค้าอังกฤษได้รับอนุญาตให้ซื้อขายสินค้าโดยตรงได้กับเอกชนสยามโดยไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งขัดขวาง
๕) รัฐบาลสยามสงวนสิทธิ์ในการห้ามส่งออกข้าว
เกลือและปลา
เมื่อสินค้าดังกล่าวมีทีท่าว่าจะขาดแคลนในประเทศ
 |
สนธิสัญญาเบาริง
ฉบับภาษาไทยที่เขียนลงสมุดไทย
ก่อนส่งไปให้รัฐบาลอังกฤษตรวจลงตราให้สัตยาบัน |
ต่อจากนั้นรัฐบาลสยามยังได้ลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีระหว่างประเทศ
กับอีก ๑๒ ประเทศ คือ
สหรัฐอเมริกา |
เมื่อวันที่ ๒๙
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๙ |
ฝรั่งเศส |
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๙๙ |
เดนมาร์ก |
เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๑
|
โปรตุเกส |
เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๐๑ |
สวีเดน - นอร์เวย์ |
เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ.
๒๔๐๑ |
เบลเยียม
|
เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๐๑ |
อิตาลี
|
เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๑ |
โปรตุเกส |
เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๑ |
เนเธอร์แลนด์
|
เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๐๓ |
ปรัสเซีย (เยอรมนี) |
เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.
๒๔๐๔ |
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการตกลงทำสนธิสัญญาเพิ่มเติมกับ
จักรวรรดิออสเตรีย - ฮังการี, เสปน, รัสเซีย
และญี่ปุ่น ตามลำดับ
เนื่องจากสนธิสัญญาเบาริงนี้เป็นสนธิสัญญาที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด
ทั้งไม่เปิดช่องให้มีการแก้ไขข้อสัญญาใดๆ
เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากชาติคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริที่จะขอแก้ไขสนธิสัญญาแต่ละคราว
จึงมักจะถูกชาติคู่สัญญาเรียกร้องเอาประโยชน์นานาเพื่อแลกกับการแก้ไขสนธิสัญญาเพียงบางข้อ
นอกจากนั้นการที่สนธิสัญญาดังกล่าวเปิดช่องให้คนในบังคับหรือที่เรียกกันว่า
"สัปเยก"
อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกงสุลของชาติที่สังกัด
ก็ยิ่งเปิดช่องให้คนในบังคับเหล่านั้นกระทำการอันเป็นการละเมิดกฎหมายไทยอยู่เนืองๆ
และเมื่อกระทำผิดแล้วก็มักจะอาศัยร่มธงของชาติที่ตนอยู่ในบังคับเป็นเกราะคุ้มกัน
อีกทั้งกงสุลก็มักจะปกป้องผู้กระทำผิดซึ่งเป็นคนในบังคับให้หลุดพ้นจากอาญาของศาลไทย
ทำให้เกิดความยุ่งยากในการปกครองบ้านเมืองมาตลอด
ในส่วนของภาษีขาเข้านั้น
สยามก็เรียกเก็บภาษีจากสินค้าเข้าได้เพียงร้อยละ ๓
ซึ่งเรียกกันว่า "ภาษีร้อยชัก ๓"
อันส่งผลให้รายได้แผ่นดินต้องถูกจำกัด
นับเป็นอุปสรรคขวากหนามสำคัญในการพัฒนาประเทศ
จึงได้เรียกสัญญาเบาริงนี้ว่า
"สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม" หรือ
"สนธิสัญญาที่เสียเปรียบ"
 |
ศาลสนามสถิตยุติธรรม
ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดสร้างขึ้นที่ริมถนนราชดำเนินในฝั่งตะวันออก
เมื่อคราวฉลองพระนคร ๑๐๐ ปี พ.ศ. ๒๔๒๕
ปัจจุบันเป็นที่ตั้งอาคารศาลฎีกาที่ริมท้องสนามหลวง |
แม้กระนั้นรัฐบาลสยามก็ยังคงพยายามหาช่องทางที่จะแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมนั้นมาโดยลำดับ
เริ่มจากการปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินให้ลงระเบียบเดียวกับนานาประเทศ
ปรับปรุงพระราชกำหนดกฎหมายต่างๆ
รวมทั้งตรากฎหมายลักษณอาญา ร.ศ. ๑๒๗
ปรับปรุงระบบงานราชทัณฑ์และระบบเรือนจำทั่วประเทศ
กับเริ่มจัดระเบียบราชการศาลยุติธรรมให้ลงระเบียบสากลมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและต่อเนื่องมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครั้นเกิดมหาสงครามโลกครั้งที่ ๑ ขึ้นในยุโรปใน
พ.ศ. ๒๔๕๗
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงติดตามสถานการณ์มาโดยลำดับ
เมื่อทรงตระหนักแน่ด้วยพระปรีชาญาณทางการทหารแล้วว่า
กลุ่มมหาอำนาจกลางซึ่งนำโดยเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีคงจะหมดหนทางที่จะเอาชนะในมหาสงครามครั้งนี้แล้ว
และหากสยามจะยังคงเป็นกลางต่อไป
ก็คงจะมีแต่เสมอตัว
แต่ถ้าสยามเลือกเข้าข้างฝ่ายสัมพันธมิตรเสีย
ก็จะมีแต่ทางได้หรืออย่างน้อยก็เพียงเสมอตัว
เพราะหากฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นผู้มีชัยชนะแล้ว
เมื่อสงครามสงบลงสยามก็จะได้ใช้ประโยชน์จากการเป็นผู้ชนะสงครามยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับเยอรมนี
ทั้งยังสามารถเจรจากับนานาชาติเพื่อขอแก้ไขสนธิสัญญาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ
ทั้งเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและแก้พิกัดภาษีศุลกากรต่อไปได้
 |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงกระทำนมัสการบูชาพระรัตนตรัยและบวงสรวงอดีตบุรพมหากษัตริยาราชเจ้าแห่งมหาจักรีบรมราชวงศ์
เฉพาะหน้าผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศผู้ร่วมงานพระราชสงคราม
เนื่องในการที่สัมพันธมิตรได้มีชัยต่ออริราชศัตรู
ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ ๒
ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ |
แต่การที่สยามจะหวังประโยชน์จากการเป็นผู้ชนะสงครามนั้น
"ทรงพระราชดำริห์ว่า
การที่จะทำสงครามนั้น
ควรจะกระทำโดยไม่เรียกร้องเอาประโยชน์ทันควันหรือล่วงน่าอย่างหนึ่งอย่างใดเลย,
ทั้งควรจะกระทำการช่วยเหลือโดยเต็มกำลังตามแต่จะทำได้
เพื่อจะแสดงให้รัฐบาลและชนชาติสัมพันธมิตร์แลเห็นน้ำใจรัฐบาลและชนชาวสยาม.
จึ่งได้มีพระราชประกาศิตประกาศสงคราม ณ วันที่ ๒๒
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐" [๑]
ครั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ส่งกองทหารอาสาสมัครไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่
๑ แล้ว ก็ทรงหวังว่า
"เมื่อเราได้แสดงน้ำใจและทำการช่วยเหลือโดยเต็มกำลังแล้ว,
เมื่อเสร็จสงครามชาติสัมพันธมิตร์ก็คงจะต้องทำคุณตอบแทนให้บ้าง."
[๒]
โดยประโยชน์ที่ทรงคาดหวังว่าจะได้รับจากการเป็นผู้ชนะสงครามนั้น
คือ
"อิศระภาพเต็มอันเปนสิทธิที่ชาติเอกราชจะพึงมีด้วยกันทุกชาติ.
อิศระภาพนี้กรุงสยามได้ยอมสละไปบ้างโดยสัญญาทางพระราชไมตรี
ในสมัยที่ถือกันว่าเหมาะแก่ลักษณการเวลานั้น,
มีอิศระภาพในทางบังคับคดีในโรงศาล,
ในทางกำหนดพิกัดภาษีอากร,
และในทางควบคุมผลประโยชน์ที่พึงเกิดขึ้นในบ้านเมืองเปนต้น.
แต่บัดนี้ลักษณการเปลี่ยนแปลงไปเปนอันมากไม่เหมือนในสมัยที่ทำสัญญากันเลย.
สัญญาเหล่านี้,
ซึ่งไม่มีกำหนดที่จะบอกกล่าวเลิกได้,
แทนที่จะเปนเครื่องที่จะกระทำให้ความวิสาสะระหว่างเจ้าพนักงานของบ้านเมืองและชาวต่างประเทศเปนไปโดยสะดวกเรียบร้อยดังความตั้งใจของผู้ทำสัญญา,
กลับเปนสิ่งซึ่งกีดกันไม่ให้กรุงสยามดำเนินไปสู่ความเจริญ
ตามที่ควรแก่กาลสมัย,
เพราะเหตุที่ตัดอิศระภาพในการปกครองบ้านเมืองโดยไม่มีกำหนดเลิกดังว่ามาแล้ว.
บ้านเมืองของเราตกอยู่ในความเสียเปรียบแต่เดิมมาดังนี้."
[๓] |