การจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น
เริ่มมาจากการที่คณะนักเรียนเก่ามหาตเล็กหลวงและอดีตข้าราชบริพารในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในนามคณะละครไทยเขษมได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ
จึงได้พร้อมกันจัดแสดงละครพระราชนิพนธ์เรื่อง
"ชิงนาง" และ "ปล่อยแก่" ณ โรงโขนหลวงสวนมิสกวัน
เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙
ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ
เพื่อจัดหารายได้สมทบการก่อสร้างหอนาฬิกาโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยเป็นประเดิม
เมื่อการก่อสร้างหอนาฬิกาแล้วเสร็จ
คณะผู้จงรักภักดีก็ได้ดำริที่จะจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐานไว้ที่เนินหอนาฬิกาภายในวชิราวุธวิทยาลัย
จึงได้นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนประเดิมจำนวน
๑,๐๐๐ บาท
แต่ในระหว่างที่สภากรรมกรรมการจัดการวชิราวุธวิทยาลัยกำลังจัดการเรี่ยไรเงินเพื่อจัสร้างพระบรมราชานุสวารีย์นั้น
คณะรัฐมนตรีในสมัยที่นายพันเอก หลวงพิบูลวงคราม
(แปลก ขีตะสังคะ - จอมพล ป. พิบูลสงคราม)
เป็นนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นว่า
การที่จะประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ไว้ในวชิราวุธวิทยาลัยซึ่งเป็นสถานที่ปิด
ย่อมจะไม่สะดวกแก่พสกนิกรผู้จงรักภักดีที่จะถวายราชสักการะ
อีกทั้งคณะรัฐมนตรียังพิจารณาเห็นว่า
"พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
นอกจากที่ได้ทรงพระราชอุตสาหะปฏิบัติพระราชกิจปกติเยี่ยงพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรมในกาลก่อนแล้ว
ยังทรงพระปรีชาสามารถ
และทรงเห็นการณ์ไกลในการบริหารราชการแผ่นดินให้ผ่านพ้นอุปสรรคทั้งภายในและภายนอกประเทศสำเร็จไปด้วยดียิ่ง
ซึ่งไม่มีบุคคลใดในสมัยนั้นดีทัดเทียมพระองค์ท่าน
นับว่าทรงเป็นอัจฉริยกษัตริย์พระองค์หนึ่งแห่งประเทศไทย
แม้จะกล่าวเพียงพระราชกิจบางตอนที่ได้ทรงปฏิบัตินับเนื่องในรัฏฐประศาสโนบายครั้งกระนั้น
ที่อำนวยผลตามหลังมาจนกระทั่งทุกวันนี้ก็มีอยู่มากด้วยกัน
อาทิ เช่นการตราพระราชบัญญัติประถมศึกษา
พระราชบัญญัติขนานนามสกุล
ตั้งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ตั้งกองลูกเสือ
เปิดหอสมุดแห่งชาติ
ตั้งโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยแทนการสร้างวัดตามขัตติยราชประเพณี
เปิดจุฬาลงกรณพยาบาล เปิดสถานเสาวภา
การเข้าเป็นสมาชิกสมาคมกาชาดระหว่างประเทศของสภากาชาดไทย
เปิดการประปา เปิดการไฟฟ้าหลวงสามเสน
เปิดอากาศไปรษณีย์ เปิดวิทยุโทรเลขและโทรศัพท์
กำหนดเวลาให้ตรงกับสากลอุทกศาสตร์นิยม
ตั้งคลังออมสิน อุดหนุนการธนาคารไทย
เชื่อมทางรถไฟสายใต้กับสหรัฐมะลายู
สร้างสะพานพระราม ๖
เพื่อเชื่อมและโยงทางรถไฟสายใต้กับสถานีกรุงเทพฯ
เปิดเขื่อนและการทดน้ำตำบลท่าหลวง
เริ่มการสหกรณ์และการสถิติพยากรณ์
ในส่วนที่เกี่ยวกับพระปรีชาญาณเห็นการณ์ไกลนั้นเล่า
พระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจเหมาะสมความต้องการของสมัย
ยังให้ประเทศไทยดำรงความเป็นปกติสุข
และอิสสรภาพตามควรแก่ฐานะในสมัยนั้น อาทิ
เช่นในการประกาศความเป็นกลางของประเทศไทยในสถานะมหาสงครามแห่งโลก
และในที่สุดได้ทรงนำประเทศเข้ามหาสงคราม
ซึ่งทั้งนี้เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยได้เจรจาแก้ไขสนธิสัญญาอันล้าสมัยกับนานาประเทศ
และได้มาซึ่งอิสสรภาพยิ่งกว่าสนธิสัญญาในสมัยก่อนๆ
เป็นบางส่วน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันเป็นเรื่องที่จะต้องกระทำต่อเนื่องจากสนธิสัญญาในสมัยนั้นก็ได้เริ่มกระทำในชั้นต้นมาตั้งแต่ปลายรัชชสมัยของพระองค์
ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติ
นับตั้งแต่การสุดสิ้นมหาสงครามตั้งแต่รัชชสมัยของพระองค์เป็นต้นมา
อนึ่ง เพื่อความไม่ประมาท
ได้ทรงตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ซึ่งใช้บังคับอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชประวัตินับเนื่องในการประกาศเกียรติ์ของประเทศไทยให้แพร่หลายในนานาประเทศเป็นอันมาก
อาทิ เช่นในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเศกสมโภช
ซึ่งเป็นการออกงานครั้งใหญ่ของชาติ
และครั้งแรกในทวีปอาเซีย
ที่มีเจ้านายและผู้แทนรัฐบาลนานาชาติ
ได้เข้ามาร่วมมหาสันนิบาต
พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในประเทศไทย
และในทวีปอาเซียที่ได้ทรงรับยศเป็นนายพลเอกพิเศษของทหารบกอังกฤษ
และในรัชชสมัยแห่งพระองค์ท่านก็เป็นครั้งแรกที่ได้มีนักบินต่างประเทศเข้ามาเยี่ยมประเทศไทย
และแสดงความพอใจในความเจริญก้าวหน้าของการบินไทย
มีแขกเมืองต่างประเทศผู้มีเกียรติ์เข้ามาเชื่อมทางสัมพันธไมตรี
มีการประชุมสันนิบาตกาชาดระหว่างประเทศขึ้นที่กรุงเทพพระมหานคร
และพระองค์ท่านเอง
ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยทางรถไฟสายใต้ไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับสหรัฐมะลายู
แต่พระราชกรณียกิจที่เป็นคุณประโยชน์อันใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติ
และที่จะเป็นอนุสสาวรีย์ถาวรเชิดชูพระเกียรติคุณพระองค์ท่านก็คือ
การปลุกชาติ เพื่อให้คนไทยตื่นตัวในความรักชาติ
และบำเพ็ญกรณียกิจ อันพึงมีพึงกระทำต่อชาติ
ซึ่งในการนี้ ได้ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือร้อยแก้ว
คำประพันธ์ และบทละคร ทั้งในภาษาไทยและภาษาต่าง
ประเทศ
ล้วนมีจุดประสงค์ไปในทางปลุกชาติเป็นส่วนใหญ่
พระราชนิพนธ์ของพระองค์ท่านเป็นแบบฉบับในทางอักษรศาสตร์
และเป็นที่นิยมแก่นักศึกษาและประชาชนทั่วไปอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้" [๑] |
แต่เนื่องจากคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า
หากจะประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้
ณ วชิราวุธวิทยาลัยซึ่งเป็นสถานที่ปิด
พสกนิกรผู้จงรักภักดีก็จะขาดโอกาสที่จะได้กราบถวายบังคม
ประกอบกับในเวลานั้น
"เทศบาลนครกรุงเทพกำลังจะบูรณะสวนลุมพินี
ซึ่งได้สร้างขึ้นในการฉลองรัชชกาลของพระองค์
ให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอันสมบูรณ์แห่งหนึ่งในจังหวัดพระนคร
ซึ่งถ้าได้พระบรมรูปของพระองค์ท่านประดิษฐานเป็นสง่าอยู่ที่สวนลุมพินีในขณะนี้แล้ว
ก็ย่อมเหมาะแก่กาลเทศะอย่างยิ่ง
โดยเหตุนี้คณะรัฐมนตรีจึ่งได้ลงมติให้ดำเนินการสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นปฐม" |
จากนั้นรัฐบาลได้รับโอนโครงการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ของคณะผู้จงรักภักดีไปดำเนินการต่อ
โดยมอบหมายให้ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
เป็นผู้ปั้นหล่อพระบรมรูปทรงเครื่องเต็มยศจอมพล
จอมทัพบกสยาม
ประดิษฐานไว้ที่พระบรมราชานุสรณ์สวนลุมพินี
 |
พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อแรกประดิษฐาน ณ สวนลุมพินี |
แต่เมื่ออัญเชิญพระบรมรูปขนาด ๒
เท่าครึ่งพระองค์ขึ้นประดิษฐานเหนือแท่นฐานพระบรมราชานุสรณ์ที่สวนลุมพินีแล้ว
จึงได้ตระหนักกันว่า
แท่นฐานพระบรมราชานุสรณ์นั้นมีขนาดไม่เหมาะสมกับพระบรมรูปที่มีขนาดใหญ่ดูไม่สมพระเกียรติยศ
จึงมีความเห็นร่วมกันว่า
ควรเสริมฐานพระบรมราชานุสาวรีย์นี้ให้สูงขึ้น
เพื่อให้พระบรมรูปที่ประดิษฐานเหนือแท่นฐานนั้นดูสง่างาม
เนื่องจากการสร้างเสริมฐานพระบรมราชานุสาวรีย์นั้นจำต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมจากที่ได้เรี่ยไรไว้เดิม
คณะนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยนำโดยนักเรียนเก่ามหาดเล็กหลวง
หลวงเมธีนฤปกร (สดวก บุนนาค)
จึงได้คิดจัดงานวชิราวุธานุสรณ์ขึ้นตามแบบอย่างงานฤดูหนาวในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
 |
พระบรมราชานุสาวรีย์เมื่อเสริมท่านฐานที่ประดิษฐานพระบรมรูปแล้ว |
เมื่อจัดตั้งสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย
โดยมีหลวงเมธีนฤปกร เป็นนายกสมาคมตนแรกแล้ว
สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยก็ได้จัดให้มีงานวชิราวุธานุสรณ์ที่สวนลุมพินีขึ้นเป็นครั้งแรก
เมื่อวันที่ ๒๕ - ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓
โดยรายได้จากการตรั้งนั้นได้ใช้เป็นทุนในการสร้างเสริมแท่นฐานประดิษฐานพระบรมรูปจนแล้วเสร็จ
ต่อมาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒
รัฐบาลมีคำสั่งให้ยุบเลิกสมาคมบรรดาที่จดทะเบียนไว้ก่อนหน้านั้นเสียทั้งสิ้น
สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยจึงถูกยุบเลิกไปในคราวนั้นด้วย
จน พ.ศ. ๒๕๐๓
จึงได้มีการจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
โดยมีนักเรียนเก่ามหาดเล็กหลวงเชียงใหม่ พลเอก
ประภาส จารุเสถียร (ยศในขณะนั้น) เป็นนายกสมาคมฯ
เมื่อจัดตั้งสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยขึ้นพร้อมกับการรื้อฟื้นการจัดงานวชิราวุธานุสรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว
คณะกรรมการสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยจึงได้ดำริที่จะจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐานไว้
ณ วชิราวุธวิทยาลัยอีกครั้งหนึ่ง
ครั้นคณะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัยได้ทราบเจตนารมณ์ของคณะนักเรียนเก่าฯ
แล้ว
ได้มีมติให้จัดสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องพระมหาพิชัยยุทธ
เมื่อคราวทรงนำสยามประเทศเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่
๑ โดยทรงประกาศสงครามกับเยอรมนี และออสเตรีย -
ฮังการี เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐
ซึ่งผลของการเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งนั้นทำให้ประเทศสยามได้รับอิสรภาพทางการศาลและการเรียกเก็บภาษีที่ถูกผูกมัดด้วยสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมมาเป็นเวลาหลายสิบปีได้สำเร็จ
โดยได้กำหนดให้ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ที่สนามหญ้าหน้าหอประชุม
ในการปั้นหล่อพระบรมรูปคราวนี้
สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยได้มอบหมายให้ผู้ช่วยศาสตราจารย์อนิก
สมบูรณ์ อาจารย์ประจำคณะจิตรกรรม ประติมากรรม
และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นประติมากร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพทยลาภพฤฒิยากร
เสด็จแทนพระองค์ไปทรงเททองหล่อพระบรมรูปขนาดเท่าพระองค์
ที่มณฑลพิธีพระราชอุทยานสราญรมย์
ในคราวเสด็จแทนพระองค์ทรงเปิดงานวชิราวุธานุสรณ์
เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๕
ในขณะเดียวกันคณะกรรมการสมาคมฯ
ก็ได้มอบหมายให้นักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย
เจือรวรี ชมเสวี
เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบแท่นฐานประดิษฐานพระบรมรูปที่หน้าหอประชุม
 |
พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อแรกประดิษฐานที่หน้าหอประชุมวชิราวุธวิทยาลัย |
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา
สิริโสภาพัณณวดี และพระนางเจ้าสุวัทนา
พระวรราชเทวี
ได้เสด็จมาทรงเป็นองค์ประธานในพิธีประดิษฐานพระบรมรูป
ณ พระบรมราชานุรณ์หน้าหอประชุมแล้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ที่หน้าหอประชุมในงานพระราชทานประกาศนียบัตรและรางวัล
เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๘