ส่วนการถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
[๑]
นั้น
ก็พบความใน เรื่องเบ็ดเตล็ดของพระยาเทพหัสดินฯ
ซึ่งพลเอก พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
ได้กล่าวถึงการถวายตัวเมื่ออายุได้ ๕ ปีไว้ว่า
ข้าพเจ้าเกิดในสกุลข้าหลวงเดิมต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์
บิดาข้าพเจ้าเป็นเด็กที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเลี้ยงดูมาแต่อายุได้
๗ ขวบ เพราะท่านเป็นบุตรข้าหลวงเดิม
ผู้เคยเป็นทั้งพระพี่เลี้ยงและเจ้ากรมมาก่อนเสด็จขึ้นเถลิงราชสมบัติ
เพราะฉะนั้นตามคตินิยมในสกุลของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจึงต้องเป็นมหาดเล็ก
มิฉะนั้นย่อมถือกันว่าเป็นการขาดความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
และในการที่จะเป็นมหาดเล็กนั้นถือกันว่าจะไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กเจ้านายองค์หนึ่งองค์ใดนั้นไม่ได้
ลูกข้าหลวงเดิมต้องเป็นมหาดเล็กหลวง
พออายุข้าพเจ้าได้ ๕ ขวบ
ท่านบิดาก็ได้จัดดอกไม้ธูปเทียนนำข้าพเจ้าไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กหลวง
ฯ ล ฯ
ท่านผู้ใหญ่เคยเล่าให้ฟังว่า
เมื่อท่านบิดานำข้าพเจ้าไปถวายตัวนั้น
มีพระราชกระแสรับสั่งเป็นใจความว่า
เด็กคนนี้หน้าตาดีและคล่องแคล่ว
ทั้งอายุอานามก็ไร่เลี่ยกับฟ้าชายใหญ่
ให้นำดอกไม้ธูปเทียนไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กฟ้าชายใหญ่เถิด
จะได้เป็นเพื่อนเล่นกัน
แต่ให้คงรับเบี้ยหวัดทางกรมมหาดเล็กหลวง คำว่า ฟ้าชายใหญ่
ในที่นี้หมายถึงทูลกระหม่อมพระองค์ใหญ่ คือ
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ.
ท่านบิดาจึงได้มอบให้คุณยายนำข้าพเจ้าเข้าไปถวายตัวที่พระตำหนักระพันวษาอัยยิกาเจ้า
[๒]
ซึ่งเป็นพระชนนีของทูลกระหม่อมพระองค์ใหญ่
แต่ขณะนั้นทูลกระหม่อมยังบรรธมกลางวันอยู่
ต้องคอยอยู่นานจนข้าพเจ้ารู้สึกร้อน
เริ่มต้นกวนและร้องไห้ คุณยายไม่รู้จะทำประการใด
ต้องพาข้าพเจ้าไปถอดเสื้อผ้าอาบน้ำให้
เพราะฉะนั้นเวลาถวายตัวจริง
ทั้งเจ้าทั้งข้าจึงอยู่ในสภาพตัวปล่าวเปลือย
เพราะเมื่อทรงรับดอกไม้ธูปเทียนของข้าพเจ้านั้น
ทูลกระหม่อมเพิ่งสรงน้ำใหม่ๆ พระองค์ยังไม่ทันแห้ง
เป็นเรื่องขันที่ผู้ใหญ่เล่าต่อกันมาเรื่องหนึ่ง.
[๓] |
นอกจากนั้นยังมีมหาดเล็กอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า มหาดเล็กยาม
จัดอยู่ในพวกไม่มีสัญญาบัตรเช่นเดียวกับมหาดเล็กวิเศษ
แต่มหาดเล็กยาม
มักจะเป็นบุตรหมู่มหาดเล็กมาตั้งแต่เดิมพวก ๑
เป็นพวกรักษาพระที่นั่งที่เรียกว่าเด็กชา
แล้วเลิกเสียรวมมาเป็นมหาดเล็กยามจำพวก ๑
กับคนที่ไม่มีมูลนายสมัครเข้ามาขอเข้าบัญชีอยู่ในสังกัดมหาดเล็ก
ซึ่งจางวางจะอนุญาตให้รับจำพวก ๑ รวมเรียกว่า
มหาดเล็กยาม
มีทะเบียนอยู่ในเวรสิทธิ์ซึ่งจะเป็นเวรสำหรับทำการโยธาหรือแห่แหนเป็นต้น
คนพวกนี้ไม่มีตำแหน่งเฝ้า
แต่ต้องรับพระราชทานน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
[๔] |
สำหรับมหาดเล็กเด็กๆ นั้น
นอกจากจากการเฝ้าแหนตามกำหนดเวลาแล้ว
หน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของมหาดเล็กเด็กๆ ก็คือ
การเป็นเพื่อนเล่นของเจ้านายที่ทรงพระเยาว์
ดังเช่นที่พลเอก พระยาเทพหัสดิน ได้เล่าไว้ใน เรื่องเบ็ดเตล็ดของพระยาเทพหัสดินฯ
ว่า
เมื่อตัวท่านได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารแล้ว
 |
สามเณรสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
สยามมกุฎราชกุมาร
และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเฑอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
กรมขุนเทพทวาราวดี |
แต่นั้นมา ข้าพเจ้าก็ต้องเข้าเฝ้าแหน
เล่นหัวกับเจ้านายเล็กๆ หลายพระองค์
คือนอกจากสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศแล้ว
ก็มีสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
[๕]
และเจ้านายชั้นพระองค์เจ้า
และหม่อมเจ้าอีกหลายองค์ เท่าที่จำได้คือ
พระองค์เจ้าหญิงอาภา [๖]
ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระสวัสดิวัตนวิสิษฐ
ซึ่งขณะนั้นยังเป็นหม่อมเจ้า หม่อมเจ้าอัปสรสมาน
ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ
ส่วนเจ้านายผู้ชายนั้นที่จำได้แน่ก็มี
หม่อมเจ้าดนัยจักรพันธ์ [๗]
กับหม่อมเจ้าทองฑีฆายุ
[๘]
เพราะท่านทั้งสองนี้ถึงแม้จะจะเป็นชั้นเล็กก็ซนมากจึงจำได้ดีกว่าองค์อื่นๆ
ข้าพเจ้าเป็นไพร่คนเดียวที่ได้รับพระราชทานเกียรติยศให้เข้าเฝ้าและเล่นหัวกับเจ้านาย
นานๆ ทีก็มี ม.ร.ว.ปุ้ม (เจ้าพระยาธรรมา )
[๙]
เข้าไปร่วมวงด้วยอีกคนหนึ่ง
ส่วนมหาดเล็กคนอื่นๆ
รวมทั้งเจ้ากรมและพระพี่เลี้ยงทั้งสี่นั้นเฝ้าได้แต่ข้างนอก
เห็นจะเป็นเพราะเขาเป็นหนุ่มแล้วเข้าข้างในไม่ได้
[๑๐] |
 |
พระราชวังสราญรมย์ |
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัติพระนครแล้ว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดพระราชวังสราญรมย์เป็นที่ประทับ
แล้วพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้ผู้ที่เคยถวายตัวเป็นมหาดเล็กมาแต่ก่อนเสด็จออกไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษ
เช่น นายพงษ์ สวัสดิ์ - ชูโต
[๑๑]
รวมทั้งโปรดเกล้าฯ
ให้มหาดเล็กข้าหลวงเดิมในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เช่น
จางวางสาย หรือ นายจ่ายง (สาย ณ มหาชัย)
โอนมาสมทบเป็นมหาดเล็กในพระองค์
รวมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยืมตัวนายพลพัน
หุ้มแพร มาเป็นหัวหน้ามหาดเล็กห้องพระบรรทม
กับให้นายพิจารณ์สรรพกิจ [๑๒]
มาเป็นผู้รับผิดชอบการตั้งเครื่องเสวย
จนสามารถฝึกหัดมหาดเล็กในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
สามารถปฏิบัติหน้าที่ตั้งเครื่องพระกระยาหารเช้า
และเดินโต๊ะถวายในเวลาประทับเสวยพระกระยาหารกลางวันและกลางคืนได้คล่องแคล่วแล้ว
นายพิจารณ์สรรพกิจจึงได้กราบถวายบังคมลากลับไปรับราชการทางกรมมหาดเล็ก
คงมอบหน้าที่ให้นายเล็ก โกมารภัจ
[๑๓]
มหาดเล็ก เป็นหัวหน้ามหาดเล็กเดินโต๊ะเสวยต่อมา
นอกจากนั้นยังพบว่า ในเวลาต่อมาได้โปรดเกล้าฯ
ให้ข้าราชการในพระราชสำนักมาประจำรับราชการในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
อีกหลายคน อาทิ หลวงบุรีนวราษฐ
[๑๔]
(จันทร์ จิตรกร) เป็นปลัดกรมขอเฝ้าฯ
หลวงอภิรักษ์ราชฤทธิ์
[๑๕]
(นกยูง วิเศษกุล) เป็นราชเลขานุการในพระองค์
และนายวรการบัญชา [๑๖]
(เทียบ อัศวรักษ์) เป็นจางวางรถม้า ขุนวิรัชเวชกิจ
[๑๗]
(สุ่น สุนทรเวช) เป็นแพทย์ประจำพระองค์
นอกจากมหาดเล็กข้าหลวงใหญ่ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้มาประจำรับราชการในพระองค์แล้ว
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี
พันปีหลวง ได้โปรดเกล้าฯ
ให้บุตรธิดาทั้งสามของพระนมทัด พึ่งบุญ
อันประกอบด้วย นางสาวเชื้อ พึ่งบุญ
มารับราชการเป็นพนักงานพระภูษาและพระสุคนธ์ ส่วนม.ล.เฟื้อ
พึ่งบุญ และ ม.ล.ฟื้น พึ่งบุญ
ก็ได้ถวายการรับใช้ในหน้าที่มหาดเล็กห้องพระบรรทมในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
ณ พระราชวังสราญรมย์
ต่อจากนั้น การถวายตัวเป็นข้าให้ทรงใช้สอยก็ตั้งต้น
เด็กหนุ่มๆ
มากมายทั้งลูกเจ้านายและข้าราชการทุกชั้นบรรดาศักดิ์
[๑๘]
และ
แม้บุตรหลานของสามัญชนบางคนก็ยังทรงรับการถวายตัวและทรงเลี้ยงไว้ในฐานะเดียวกันกับหม่อมเจ้าบุตรข้าราชการ
[๑๙]
เด็กๆ
ในพระอุปการะทั้งหมดได้รับพระราชทานทั้งเครื่องอุปโภคบริโภค
และการศึกษา
และยังพระราชทานเงินค่าขนมอย่างต่ำเดือนละ ๕ บาท
อย่างสูงเดือนละ ๓๐ บาท อาหารที่พระราชทานนั้น ๓
เวลา ทั้งเช้า กลางวัน
และเย็นสำหรับหม่อมเจ้านั้นมื้อกลางวันและกลางคืนทรงพระกรุณาให้มาร่วมโต๊ะเสวย
การศึกษานั้นทรงจัดให้ตามใจสมัคร
บางคนขอพระราชทานไปโรงเรียนนายร้อยทหารบกบ้าง
โรงรียนนายเรือบ้าง โรงเรียนราชวิยาลัยบ้าง...
วันหนึ่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชโปรดเกล้าฯ
ให้บุตรข้าราชการคนหนึ่ง
ซึ่งเรียนอยู่ที่โรงเรียนวัดมหาธาตุอ่านหนังสือถวายให้ทรงสดับ
นักเรียนผู้นั้นก็อ่านไม่ออก
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระยาอจิรการประสิทธิ์ [๒๐](นกยูง
วิเศษกุล) เป็นอาจารย์ใหญ่
ให้เลขานุการในพระองค์คนหนึ่งเป็นครูสอน
และให้เด็กที่เรียนอยู่ตามโรงเรียนวัดต่างๆ
กับเด็กที่ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนหนึ่งโรงเรียนใดเข้าเรียนในโรงเรียนที่ตั้งใหม่
สำหรับภาษาไทยนั้นใช้หนังสือมูลบทบรรพกิจเป็นหลัก
นอกจากเรียนหนังสือแล้ว โปรดให้หัดโขนด้วย...
นอกจากโขนยังต้องหัดแถวทหาร
ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทหารมหาดเล็กมาหัด
เป็นอยู่เช่นนี้จนเสวยราชย์
[๒๑] |