อนึ่ง
แม้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงห่วงใยและพระราชทานพระมหากรุณาแก่มหาดเล็กเด็กๆ
ก็ตาม ในเวลาเดียวกันก็ทรงกวดขันเด็กๆ
เหล่านี้ให้รู้จักรักษาหน้าที่ด้วยพระองค์เอง
ซึ่งหน้าที่สำคัญของเด็กๆ
ที่ทรงชุบเลี้ยงต้องปฏิบัติไม่ให้ขาดตกบกพร่อง คือ
เมื่อเลิกเรียนกลับมาถึงที่ประทับแล้ว
ต้องขึ้นเฝ้าทูลละอองพระบาทอยู่มิให้ขาด
ยามที่มหาดเล็กเด็กๆ
พากันละทิ้งหน้าที่จนทรงรู้สึกว่า เด็กๆ พากัน
วิ่งหนีไปตั้งกลุ่มกันเองเมื่อใดก็ตามก็ตามที่สามารถทำได้
[๑]
แล้ว ก็ไม่โปรดที่จะลงอาญาตีหรือขังแก่เด็กๆ
หากแต่ทรงเลือกวิธีลงทัณฑ์เด็กๆ
เหล่านั้นด้วยวิธีการแปลกๆ
ที่ทรงคิดขึ้นในเวลานั้น เช่น
ในระหว่างที่ประทับที่พระตำหนักจิตรลดา
เมื่อเสวยพระกระยาหารค่ำแล้ว
มักจะเสด็จลงทรงไพ่พร้อมด้วยข้าราชการผู้ใหญ่ที่พระตำหนักญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่บนเนินดินเตี้ยๆ
ข้างกำแพงวังด้านตะวันออก เริ่มตั้งแต่เวลา ๓
ทุ่มเศษ หรือ ๔ ทุ่ม
เรื่อยไปจนถึงเวลาเสด็จเข้าพระบรรทมราวยามสาม (๓
นาฬิกา)
ห้องที่ประทับทรงพระสำราญนั้นเป็นห้องโล่งๆ
ที่มุมห้องมีฝากั้นพอเป็นเครื่องบังตาได้นอกนั้นก็เปิดโล่งตลอด
ข้างฝ่ายพวกเด็กๆ
มีหน้าที่คอยเฝ้าอยู่ที่เฉลียงซึ่งเป็นชั้นลดลงมาเล็กน้อยจากที่ประทับ
คืนหนึ่งเมื่อมหาดเล็กเชิญเครื่องว่างมาถวายตามกำหนดเวลาคือ
๗ ทุ่ม (๑ นาฬิกา)
และนำข้าวต้มปรุงเครื่องมาตั้งเลี้ยงเด็กๆ
 |
พระยาคทาธรบดี
สีหราชบาลเมือง (เทียบ อัศวรักษ์)
เมื่อครั้งเป็น
นายวรการบัญชา
จางวางรถม้าพระที่นั่งในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
สยามมกุฎราชกุมาร
|
ครั้นเด็กๆ รับประทานอาหารว่างกันแล้ว
ประกอบกับการที่เหนื่อยอ่อนจากการเล่นซุกซนในตอนเย็น
จึงทยอยกันกลับขึ้นไปบนพระตำหนัก
พากันเอาที่นอนของตนมาปูเรียงกันที่เฉลียงด้านหลัง
เรียงรายกันไปตั้งแต่หน้าห้องพระบรรทมไปจนจรดหัวบันไดอย่างเคย
ขณะที่กำลังจัดที่นอนพร้อมกับหยอกเย้ากระเซ้าแหย่กันตามเคยนั้นเอง
พลันพระยาคทาธรบดี สีหราชบาลเมือง (เทียบ
อัศวรักษ์) ซึ่งในเวลานั้นยังเป็น นายวรการบัญชา
จางวางรถม้าในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
ก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับบอกว่า ทรงกริ้ว
มีรับสั่งให้จับพวกเด็กๆ มัดโยงทุกคน ไม่ให้นอน
ไม่ให้นั่ง
แต่แล้วเด็กคนหนึ่งก็ได้ร้องอุทธรณ์ขึ้นว่า
พวกผมเห็นใกล้เวลาเสด็จขึ้นแล้วก็เลยขึ้นมาปูที่หลับที่นอนให้เรียบร้อยเสียก่อน
ทำไมจึงทรงกริ้ว คุณวางวางจึงได้ชี้แจงว่า
นั่นน่ะซีใกล้เวลาเสด็จขึ้นแล้ว
ก็ควรรอตามเสด็จไม่ควรขึ้นมาก่อนเป็นการทิ้งพระองค์แล้วหนีมา
ว่าแล้วคุณจางวางก็สั่งให้เด็กๆ
ที่ต้องรับราชทัณฑ์ราว ๑๐ คน
รวมทั้งผู้ที่ขึ้นไปนอนหลับก่อนแล้วอีก ๒ คน
ไปยืนที่ราวอัฒจันทร์พระตำหนักตั้งแต่ท้องพระโรงขึ้นมา
เอาผ้ามัดมือคร่อมราวบันไดไว้เป็นคู่ๆ
เพื่อมิให้นั่งได้
เสร็จแล้วคุณจางวางก็เดินกลับไปคงปล่อยเด็กๆ
ถูกมัดติดอยู่กับราวบันไดจนถึงเวลาเสด็จขึ้นในราว
๑ ชั่วโมงถัดมา
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินผ่านเด็กๆ
ที่ยืนรับเสด็จที่ราวอัฒจันทร์เป็นตับนั้น
ทรงพระดำเนินผ่านไปเหมือนไม่มีเด็กๆ
ยืนรับเสด็จอยู่
แต่เมื่อเสด็จขึ้นถึงชั้นบนพระตำหนักแล้วจึงทรงผินพระพักตร์มาทอดพระเนตรเด็กๆ
แวบหนึ่ง แล้วเลยเสด็จเข้าห้องพระบรรทม
โดยไม่มีรับสั่งใดๆทั้งสิ้น
ข้างฝ่ายพวกผู้ใหญ่ที่ตามเสด็จขึ้นมาต่างก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่สนใจว่ามีเด็กๆ
ยืนอยู่
เมื่อเสด็จเข้าห้องพระบรรทมแล้วท่านผู้ใหญ่เหล่านั้นก็ถวายบังคมลาเดินผ่านเด็กๆ
ลงสู่ท้องพระโรงชั้นล่าง
แล้วต่างคนต่างก็กลับบ้านของตน ทำเอาเด็กๆ
พากันวิตกว่า คงจะต้องถูกมัดไปจนตลอดรุ่งเป็นแน่
แต่เมื่อเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงคุณจางวางจึงโผล่ขึ้นมาจากท้องพระโรง
แล้วบอกแก่เด็กๆ ว่า มีรับสั่งให้ปล่อยพวกเธอแล้ว
แล้วก็แก้มัดให้เด็กๆ ได้กลับไปนอนตามที่ของตน
อีกคราวหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อคราวเสด็จไปประทับที่นครปฐมเพื่อทรงอำนวยการบูรณะพระปฐมเจดีย์ในตอนปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
คราวนั้นมหาดเล็กเด็กๆ ซึ่งตามเสด็จไปด้วย
วันหนึ่งราวบ่าย ๒ โมง
ระหว่างเสวยพระกระยาหารกลางวัน
กรมวังผู้หนึ่งซึ่งได้ร่วมโต๊ะเสวยอยู่ด้วย
ได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบว่า เด็กๆ
ไปที่สถานีรถไฟ
โดยนั่งรุมล้อมกันอยู่ที่ริมทางรถไฟ
พอรถแล่นมาก็เอาสตางค์วางลงที่ราง
รถไฟยังไม่ทันหยุดดีก็เอื้อมมือเข้าไปหยิบสตางค์
ในวันนั้นนอกจากจะทรงกริ้วและมีรับสั่งว่า
เล่นหาที่ตาย ปล่อยให้เล่นอย่างนี้ไม่ได้
น่ากลัวมาก แล้ว ยังทรงลงทัณฑ์เด็กๆ
ที่ไปเล่นกันที่สถานีรถไฟนั้น
โดยโปรดให้ยืนเรียงแถวที่เฉลียงตั้งแต่หน้าห้องทรงพระอักษรไปจนจรดอัฒจันทร์ทางขึ้นพระตำหนัก
แล้วให้ทำท่าขับรถไฟพร้อมกับทำเสียง ชึ่ก - ชึ่ก -
ชี่ก ไปด้วย ทรงกำชับให้ขับเรื่อยไป
ถ้าหยุดจะลงพระราชอาญา
รถไฟขบวนนี้จึงต้องขับเรื่อยไปจนถึงเวลาราวบ่าย ๓
โมงเศษเสด็จขึ้นมาบนพระตำหนัก พวกเด็กๆ
ก็พากันระดมกันขับรถไฟเสียง ชึ่กชั่ก - ชึ่กชั่ก
แต่เสียงไม่ค่อยจะออกจากลำคอ
มือก็ทำท่าเปิดปิดคันขับเหมือนขับรถราง
เพราะเคยเห็นแต่คนขับรถรางไม่เคยเห็นคนขับรถไฟ
ด้วยหวังว่าจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ
เมื่อทรงพระดำเนินผ่านขบวนรถไฟพิเศษนั้น
ทรงชำเลืองพระเนตรพร้อมกับทรงพระสรวลน้อยๆ
แล้วเสด็จเข้าห้องทรงพระอักษรโดยไม่มีรับสั่งประการใด
ขบวนรถไฟพิเศษนั้นจึงต้องแล่นอยู่หน้าพระที่นั่งต่อมาอีกราวชั่วโมงเศษจึงได้รับพระราชทานพระมหากรุณาให้เลิกขบวนรถพิเศษนี้
การที่โปรดลงโทษเด็กๆ ด้วยวิธีการพิเศษดังกล่าว
ก็ด้วยมีพระราชดำริว่า
การลงอาญาด้วยการตีและขังนั้น
น่าจะไม่เปนประโยชน์
เพราะลูกผู้ดีไม่ใช่สัตว์เดียรฉาน
ที่จะบังคับบัญชาได้ด้วยอาญา
ถึงแม้จะใช้อาญาเท่าใด
ถ้าแม้ลูกผู้ดีจะเกิดมัทิฐิมานะขึ้นมาแล้วไซร้
จะห้ามปรามยึดเหนี่ยวไว้ไม่ได้เลย
แต่ถ้าแม้ว่าตัวลูกผู้ดีนั้นรู้สึกเห็นว่าสิ่งใดผิด
ก็จะไม่พักให้ใครต้องใช้อาญา
คงจะต้องรักตัวรักชื่อเสียงและอดสิ่งที่ชั่วที่ผิดนั้นเสียเอง
[๒]
ต่อมาเมื่อทรงรับรัชทายาทเสด็จดำรงสิริราชสมบัติสืบสนองพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ แล้ว
 |
ม.ล.เฟื้อ
พึ่งบุญ (เจ้าพระยารามราฆพ)
มหาดเล็กเชิญหีบพระศรีตามเสด็จ
|
เมื่อเสร็จพระราชพิธีประดิษฐานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทแล้ว
(เขา) อัญเชิญเสด็จ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ให้ประทับที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทด้านตะวันออก
เข้าพระที่ใน ห้องไปรเวท จัดพระปรัศว์
ด้านตะวันออกเป็นที่เสวย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้หม่อมเจ้าปิยบุตร จักรพันธุ์ ๑
หม่อมเจ้าชัชวลิต เกษมสันต์ ๑ หม่อมหลวงเฟื้อ
พึ่งบุญ ๑ หม่อมหลวงฟื้น พึ่งบุญ ๑
ร่วมโต๊ะเสวยด้วย และโปรดเกล้าฯ ให้ทั้ง ๔
คนนี้นอนที่พระปรัศว์องค์ที่เสวยนี้
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับที่พระที่นั่งจักรีจนกระทั่งการซ่อมแซมพระที่นั่งบรรณาคมสรณีย์เสร็จ
จึงเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งองค์นั้น
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทั้ง ๔
คนที่กล่าวมาแล้วนั้นเข้าไปอยู่ใกล้ที่ประทับ
(ชื่อพระที่นั่งอะไรยังนึกไม่ออก
[๓] แต่เรียกกันว่า
ห้องเขียว
[๔])
ทั้ง ๔ คนนี้มีหน้าที่ตามเสด็จทุกหนทุกแห่ง
รวมทั้งพระราชพิธีต่างๆ ด้วย
การตามเสด็จนี้ผลัดกันเชิญหีบพระศรีและพระสุพรรณศรี
(ข้าหลวงเดิม ซึ่งมหาดเล็กเชิญตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในปัจจุบันนี้)
ในการเฉลิมพระราชมณเฑียรเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เสด็จเข้าพระที่ในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ๔
คนนี้เข้าไปนอนในห้องโถงในพระที่นั่งองค์นั้น
การรับใช้ใกล้ชิดพระองค์เป็นไปจนกระทั่งจัดระเบียบการปกครองกรมมหาดเล็กหลวงใหม่
๓ คนนั้นไปรับราชการตามทำเนียบ
ส่วนหม่อมเจ้าชัชวลิตตกเป็นคนหลักลอย
ไม่มีตำแหน่งอะไรเลย
นอกจากนั่งโต๊ะเสวยและรับใช้ทั่วไป
[๕] |
ส่วนมหาดเล็กเด็กๆ ที่ยังอยู่ในวัยเล่าเรียน
เมื่อทรงตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้นแล้ว
ก็โปรดเกล้าฯ มหาดเล็กเด็กๆ
เหล่านั้นย้ายไปเล่าเรียนที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงจนจบการศึกษา
แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการในกรมมหาดเล็ก
ส่วนผู้ที่มีผลการเรียนดีก็พระราชทานทุนเล่าเรียนส่วนพระองค์ให้ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศบ้าง
ในสถาบันการศึกษาชั้นอุดมศึกษาในประเทศบ้าง
อนึ่ง
ด้วยเหตุที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีมหาดเล็กในพระองค์เป็นเพื่อนผู้ใกล้ชิดมาแต่แรกเสด็จพระราชดำเนินกลับจากทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษ
จึงมักจะมีผู้เข้าใจไปว่า
รัชกาลที่ ๖
ทรงวางพระองค์ให้ห่างพระบรมวงศานุวงศ์
ซึ่งผิดกับสมัยรัชกาลที่ ๕
และพระมหากษัตริย์โดยมาก
นอกจากทรงห่างเหินพระญาติพระวงศ์แล้ว
ยังทรงไว้พระองค์เป็นพระเจ้าเหนือหัวของเจ้านายอีกด้วย
[๖]
แต่หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล
ซึ่งเป็นพระอนุวงศ์ฝ่ายในที่ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมากที่สุดพระองค์หนึ่งกลับทรงมีความเห็นว่า
สำหรับตัวข้าพเจ้า,
ตั้งแต่ได้เฝ้าในหลวงมาไม่เคยได้ยินทรงติเตียนเจ้านายแต่อย่างหนึ่งอย่างใด.
ปีหนึ่งในงานวัดเบ็ญจมฯ
ยังเคยทรงใช้ให้ข้าพเจ้าไปที่ร้านพระนางเจ้าสุขุมาลย์มารศรี,
ด้วยตรัสว่า เมื่อคืนนี้, ฉันพาพระ (สงฆ์)
ไปเที่ยว. ถึงร้านเสด็จป้า
เขาเอาอะไรไม่รู้มาให้หนึ่งห่อโตๆ
เป็นรอยว่าราคาสักพันสองพัน
ฉันกำลังพูดกับพระอยู่ก็เลยบอกให้เขารอแล้วก็เลยลืม.
เธอไปถามและรับของมา, แล้วเอาเงินไปใช้เสียทีเถอะ,
ได้ไหม? ข้าพเจ้ากราบทูลรับว่าได้
แต่กราบทูลถามว่า เสด็จป้ากรมหลวง (สมรรัตน์)
หรือเพคะ? ท่านทรงตรัสตอบอย่างเบิกบานว่า ไม่ใช่,
จำไว้นะ! ฉันมีสมเด็จป้าองค์หนึ่ง (สมเด็จพระพันวัสสา) [๗]
เสด็จป้าองค์หนึ่ง (พระนางเจ้าสุขุมาลย์) [๘]
เสด็จป้ากรมหลวงฯ (สมรรัตน์)
[๙]
องค์หนึ่ง พี่หญิง (ทูลกระหม่อมหญิงสุธาทิพย์) [๑๐]
องค์หนึ่ง และน้องหญิงคนหนึ่ง (ทูลกระหม่อมหญิงวไล)
[๑๑]
ทรงเล่าและอธิบายพระราชทานอย่างรักพระญาติวงษ์ด้วยความสุจริตพระราชหฤทัย
และตรัสถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า
ทูลกระหม่อมปู่ของเรากับข้าพเจ้าอยู่เสมอ
ข้าพเจ้าจึงเข้าใจไม่ได้อย่างคนอื่นคิด.
[๑๒] |