หัวหมื่น พระยาบริหารราชมานพ เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม
พ.ศ. ๒๔๓๐ ในรัชกาลที่ ๕ นามเดิม ศร
ได้รับพระราชทานนามสกุล "ศรเกตุ"
ในรัชกาลที่ ๖ เป็นนามสกุลพระราชทานลำดับที่ ๒๐๘
เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๖
ได้ศึกษาเล่าเรียนในสำนักโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ
กับโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์
สอบไล่ได้จบหลักสูตรตามยุคบัญญัติ
แล้วเข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณมาตั้งแต่วันที่ ๔
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ขณะมีอายุ ๑๙ ปี
สืบมาจนถึงอนิจกรรมเมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม พระพุทธศักราช
๒๔๖๑ เวลา ๐๔.๕๕ น. ในคราวเกิดไข้หวัดใหญ่ระบาด
คงได้รับราชการอยู่ ๑๔ ปี อายุได้ ๓๒ ปี
ในระหว่าง ๑๔ ปี ที่ได้รับราชการมานี้
แรกได้เป็นครูโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรเป็นเวลา ๔ ปี
แล้วย้ายไปเป็นครูโรงเรียนมัธยมพิเศษวัดปทุมคงคาเป็นเวลา ๒
ปี ครั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้นเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๔๕๓ แล้ว เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน
ณ อยุธยา) ซึ่งเวลานั้นยังคงมีบรรดาศักดิ์เป็น
พระยาไพศาลศิลปสาตร เจ้ากรมตรวจ กรมศึกษาธิการ
กระทรวงธรรมการ และกรรมจัดการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ได้คัดเลือกตัวมาเป็นครูชุดแรกของโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ดังมีความปรากฏในหนังสือที่พระยาไพศาลศิลปสาตรกราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ว่า
"จำเดิมแต่ข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตเมื่อวันที่
๒๘ ธันวาคม
ให้เปิดการสอนที่โรงเรียนราชกุมาร
ข้าพระพุทธเจ้าได้เลือกและรับครูจากกรมศึกษาธิการ
๓ คน คือ นายสอน นายสนั่น [๑]
นายทองอยู่
ซึ่งเปนครูมีประกาศนียบัตร์ทั้งสามคน
เริ่มการสอนในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ ๒๙
ธันวาคม ซึ่งเปนวันพฤหัศบดีวันครู
...
ในวีกต้นข้าพระพุทธเจ้าได้เอาใจใส่วางรูปการเรียนในห้องเรียนให้ลงที่เสียก่อน
แล้วได้เรียกนักเรียนมาสนทนาเรียงตัวครั้งละ
๒ คน ๓ คน ตามแต่จะมีเวลามากและน้อย
เพื่อจะได้เปนโอกาสให้ข้าพระพุทธเจ้าได้รู้จักนักเรียนเฉภาะตัวได้ทั่วกัน
ครั้นต่อมาพอจะก้าวไปถึงการฝึกหัดและปกครองนอกห้องเรียนได้
ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้หารือกับหลวงพิทักษ์มานพ
[๒]
เห็นพร้อมกันว่า
ตำแหน่งผู้ช่วยผู้ปกครองซึ่งยังว่างอยู่ตำแหน่งหนึ่งนั้น
ถ้าเอาครูแซกเข้ามาประจำการในตำแหน่งนี้คนหนึ่งจะเปนกำลังช่วยหลวงพิทักษ์มานพในทางปกครองได้มาก
จึงได้รับพระราชทานเลือกนายสอนหัวหน้าในครูทั้ง
๓ คน
ให้อยู่ประจำโรงเรียนเปนผู้ช่วยหลวงพิทักษ์มานพ"
[๓] |
พระยาบริหารราชมานพจึงได้เริ่มรับราชการในโรงเรียนมหาดเล็กหลวงในตำแหน่งผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ฝ่ายปกครอง
แล้วได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงอภิรักษ์ราชฤทธิ์
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๕
เมื่อกระทรวงธรรมการจะให้หลวงอนุภาณสิศยานุสรรค์ (เรื่อ
หงสกุล)
มาทำหน้าที่อาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงแทนพระยาโอวาทวรกิจ
(เหม ผลพันธิน) ซึ่งกระทรวงธรรมการขอตัวกลับคืนไปนั้น
แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยว่า
หลวงอภิรักษ์ราชฤทธิ์ได้สนองพระเดชพระคุณในหน้าที่ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ฝ่ายปกครองมาด้วยดีเป็นเวลานาน
สมควรที่จะให้ทดลองทำการในหน้าที่อาจารย์ใหญ่ไปก่อน
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้หลวงอภิรักษ์ราชฤทธิ์เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงมาแต่บัดนั้น
และเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ยกกองลูกเสือหลวงขึ้นเป็นกรมนักเรียนเสือป่าหลวง
เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๗ แล้ว ได้โปรดเกล้าฯ
ให้อาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
เป็นผู้บังคับการกรมนักเรียนเสือป่าหลวงโดยตำแหน่ง
ต่อมาในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระอภิรักษ์ราชฤทธิ์
อาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงเป็นผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเป็นคนแรก
พระอภิรักษ์ราชฤทธิ์ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น
พระยาบริหารราชมานพ
ได้ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงมาจนถึงปี
พ.ศ. ๒๔๕๙ เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ยกโรงเรียนราชวิทยาลัยจากกระทรวงยุติธรรมมาขึ้นสภากรรมการจัดการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงแล้ว
จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาบริหารราชมานพ
เป็นผู้บัญชาการโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์อีกตำแหน่งหนึ่ง
ให้มีหน้าที่ปกครองบังคับบัญชาราชการในโรงเรียนทั้งสอง
และเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่อีกแห่งหนึ่ง
ทำให้ราชการในโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ขยายตัวเพิ่มขึ้น
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งกรมโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ขึ้นในกรมมหาดเล็ก
และได้โปรดเกล้าฯ
ให้พระยาบริหารราชมานพพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์และผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
แล้วโปรดเกล้าฯ
ให้เป็นเจ้ากรมโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ทำหน้าที่ปกครองบังคับบัญชาราชการในโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ทั้ง
๔ โรงเรียน คือ โรงเรียนมหาดเล็กหลวง โรงเรียนราชวิทยาลัย
โรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่ และโรงเรียนทหารกระบี่หลวง
(ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนพรานหลวง)
ต่อมาตราบจนถึงอนิจกรรม
พระยาบริหารราชมานพ
ได้รับราชการอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ ๖ ปี
ได้รับพระราชทานเงินเดือนตั้งแต่เดือนละ ๖๕ บาท
จนถึงเดือนละ ๑๐๐ บาท
และได้ย้ายมารับราชการในพระราชสำนักเป็นเวลา ๘ ปี
ได้รับพระราชทานเงินเดือนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
จนท้ายที่สุดได้รับพระราชทานเงินเดือนในตำแหน่งเจ้ากรมชั้น
๑ เดือนละ ๖๐๐ บาท
เมื่อถึงอนิจกรรมแล้วยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานเงินเดือนเท่าที่ได้รับพระราชทานในที่สุดเป็นจำนวนอีก
๓ เดือน ให้เป็นกำลังแก่บุตรแลภรรยาต่อมา
การที่ได้มาเป็นข้าในพระราชสำนักนี้ในระหว่าง๘
ปีนั้น หัวหมื่น พระยาบริหารราชมานพ
ได้รับพระมหากรุณาอีกหลายประการ กล่าวโดยสังเขป คือ
 |
กองลูกเสือหลวงถ่ายภาพพร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาที่วังวรดิศ |
(ยืนกลางแถวหน้าจากซ้าย) |
: นายกองตรี
พระอภิรักษ์ราชฤทธิ์ (ศร
ศรเกตุ)
อาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง |
|
: นายหมู่โท
พระยาไพศาลศิลปสาตร (สนั่น
เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
กรรมการจัดการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง |
|
: นายหมู่เอก
หลวงอภิบาลบุริมศักดิ์ (ม.ล.ทศทิศ
อิศรเสนา)
ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาโรงเรียนมหาดเล็กหลวง |
|
๑.ได้มีโอกาสถวายตัวเป็นมหาดเล็กหลวง
เป็นข้าในหลวงที่ได้มีโอกาสเฝ้าใกล้ชิดใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ได้ฟังกระแสพระราชนิยมเป็นทางปฏิบัติราชการแลปฏิบัติตนให้เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้นได้อยู่เสมอ
๒.ได้พระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์มีนาม อภิรักษ์ราชฤทธิ์
ตั้งแต่ชั้นหลวงถึงชั้นพระ จนได้เป็นพระยาบริหารราชมานพ
มีตำแหน่งราชการในกรมมหาดเล็กสืบมา
๓.ได้รับพระราชทานยศตั้งแต่ชั้น หุ้มแพร จ่า
รองหัวหมื่น จนเป็น หัวหมื่น ตามลำดับในกรมมหาดเล็ก
๔.ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าชั้นตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ
พร้อมด้วยเครื่องยศโต๊ะทอง กาทอง
ตรามงกุฎสยามตั้งแต่ชั้นที่ ๕ ถึงชั้นที่ ๓
ตราช้างเผือกสยามตั้งแต่ชั้นที่ ๕ ถึงชั้นที่ ๔
ตราวชิรมาลา เหรียญบรมราชาภิเษก เหรียญราชจูรี
เหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลที่ ๖ ชั้นที่ ๔ เหรียญดุษฎีมาลา
เข็มศิลปวิทยา
๕.ได้รับพระราชทานเสื้ออาจารย์ กับเหรียญครู
เครื่องหมายของโรงเรียนมหาดเล็กหลวงตามตำแหน่งและวุฒิ
๖.เมื่อได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตั้งกองเสือป่าขึ้น
ได้สมัครเป็นสมาชิกเสือป่ารับราชการเสือป่าด้วยอีกส่วนหนึ่ง
มาตั้งแต่แรก ๆ
จนได้รับพระราชทานสัญญาบัตรยศนายเสือป่าถึงชั้นนายกองโท
มีตำแหน่งเป็นราชองครักษ์เสือป่าด้วย
หัวหมื่น พระยาบริหาราชมานพ ได้ทำการวิวาหมงคลกับ
คุณหญิงทรัพย์ บริหารราชมานพ มีบุตรชายแลหญิง รวม ๗ คน ชาย
๑ หญิง ๖ ส่วนบุตรชาย ๑ กับบุตรหญิง ๓ คนนั้น
ได้ถึงแก่กรรมเสียแต่ยังเยาว์ คงเหลืออยู่แต่บุตรหญิง ๓ คน
จึงทำให้ขาดผู้ผู้ดำรงสกุลศรเกตุต่อมา
หัวหมื่น พระยาบริหารราชมานพ
เริ่มล้มป่วยเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ เวลาเช้า
ที่บ้านตำบลหลังวัดเทพธิดา
ในสมัยเมื่อไข้หวัดใหญ่กำลังแพร่หลาย
ชั้นต้นก็ป่วยเป็นไข้หวัดธรรมดา
แล้วจึงกลายเป็นไข้หวัดใหญ่ หุ้มแพร หลวงศรีวโรสถ (ศิริ
ศิริเวทิน) กับมหาดเล็กวิเศษ บุญรอด โรจนารุณ
แพทย์ประจำโรงเรียนมหาดเล็กหลวงได้ตรวจอาการและรักษา
มีอากาทรงแลทรุดเป็นลำดับมา ครั้นวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ.
๒๔๖๑ แพทย์เห็นอาการทวีขึ้นทำให้ปอดพิการ
จึงได้เชิญนายพันโท พระศักดาพลรักษ์ (ชื่น พุทธิแพทย์)
[๔]
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มาช่วยรักษา นายพันโท
พระศักดาพลรักษ์
ตรวจดูอาการแล้วแนะนำให้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
เมื่อได้ไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น
นายแพทย์ได้พร้อมกันจัดการรักษาด้วยวิธีต่างๆ
เต็มตามความสามารถ แต่หากเป็นเวลาที่ หัวหมื่น
พระบริหารราชมานพ ได้ถึงกาลกำหนดแห่งอายุ
อาการของโรคจึงกำเริบขึ้นสุดวิสัยที่นายแพทย์จะรักษาได้
ครั้นวันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ เวลา ๐๔.๕๕ น.
ถึงแก่อนิจกรรม
ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานน้ำหลวงอาบศพและหีบทองทึบเป็นเกียรติยศ
ภายหลังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดการพระราชทานเพลิงศพเป็นของหลวงเป็นเกียรติยศพิเศษ
ณ วัดจักรวรรดิราชาวาส เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๓
และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานที่ดินแลบ้านเรือนให้บุตรและภรรยาอีกด้วย
หัวหมื่น พระยาบริหาราชมานพ
เป็นผู้มีสติปัญญาสุขุมและอัธยาศัยเยือกเย็น
โอบอ้อมอารีแก่ผู้น้อย มีกิริยาอันสุภาพ
ทั้งประกอบด้วยความจงรักภักดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้รับราชการฉลองพระเดชพระคุณโดยความสุจริต
และดำเนินการตามกระแสพระบรมราโชวาททุกประการ
เป็นที่พอพระราชหฤทัยตลอดมา
ดังจะเห็นได้จากเมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานรางวัลนักเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์
เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๑
ยังได้พระราชทานกระแสพระราชดำรัสถึงพระยาบริหารราชมานพว่า
"ข้าพเจ้ารู้สึกอยู่ว่าต้องอาศัยผู้ที่เต็มใจช่วยอยู่มาก
การจึงได้สำเร็จเป็นผลได้ถึงเท่าที่เห็นในเวลานี้.
เพราะฉะนั้นเมื่อได้มายืนอยู่ในสถานที่ศึกษานี้
จึงทำให้รำพึงถึงผู้ที่ได้รับใช้ในการอันนี้มาแล้วโดยเต็มสติกำลังและความสามารถ
รู้สึกขอบคุณผู้ที่ได้รับใช้เหล่านั้นเป็นอันมาก
และจะเว้นเสียมิได้ที่จะกล่าวแสดงความอาลัยในส่วนตัวพระยาบริหารราชมานพ
ซึ่งได้เคยเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนมหาดเล็กหลวง,
เป็นผู้บังคับการ
และเป็นเจ้ากรมโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นคนแรก
และได้ตั้งอกตั้งใจที่จะดำเนินการตามราโชบายของข้าพเจ้าอยู่เสมอ
เมื่อมาสิ้นอายุลงในเวลาที่ยังไม่ถึงความชราภาพเช่นนี้
ก็เป็นที่น่าเสียดายนัก
เชื่อว่าท่านทั้งหลายคงจะเห็นพ้องกับข้าพเจ้าว่า
สมควรที่จะรำลึกถึงคุณความดีของพระยาบริหารราชมานพ
และถือเป็นตัวอย่างที่จะปฏิบัติการต่อไป" |
|