พระยาบรมบาทบำรุง (พิณ ศรีวรรธนะ) เกิดเมื่อวันที่ ๒๑
พฤษภาคม พ.ศ. ๑๓๒๘ เป็นบุตรหลวงพินิจโภคัย (พัฒน์
ศรีวรรธนะ) และนางพินิจโภคัย (น้อย ศรีวรรธนะ)
เมื่อยังเยาว์บิดาได้นำไปฝากศึกษาเล่าเรียนอักขรสมัยในสำนักพระศรีสมโพธิ
(แพ ติสฺสเทวะมหาเถระ - ต่อมาเป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
สมเด็จพระสังฆราช) ณ วัดสุทัศนเทพวราราม
ต่อมา พ.ศ. ๒๔๔๐
ได้เข้าเรียนต่อในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ
สอบไล่ได้ประโยค ๒ แผนกภาษาอังกฤษแล้ว
จึงย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนราชวิทยาลัย
จบการศึกษาจากโรงเรียนราชวิทยาลัยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕ แล้ว
ได้รับพระราชทานทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาต่อวิชาอักษรศาสตร์และครุศาสตร์
ณ มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (University of Manchester)
จบการศึกษาแล้วได้โดยเสด็จสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์
ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษากลับถึงกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๘
พระยาบรมบาทบำรุงเริ่มรับราชการครั้งแรกที่กรมศึกษาธิการ
กระทรวงธรรมการ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ย้ายไปเป็นอาจารย์โรงเรียนมหาดเล็ก
ซึ่งเปิดสอนอยู่ที่โรงเรียนราชกุมารเก่า ในพระบรมมหาราชวัง
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๙ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เริ่มจาก
นายราชบริรักษ์ หลวงเชษฐกาโรวาท และพระบรมบาทบำรุงตามลำดับ
ในระหว่างที่รับราชการเป็นอาจารย์โรงเรียนข้าราชการพลเรือน
จ.ป.ร. นั้น
นอกจากพระยาบรมบาทบำรุงจะได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ทำหน้าที่ผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์ฝ่ายต่างประเทศ
ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๒ - ๒๔๕๔
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตและถวายพระเพลิงพระบรมศพแล่วเสร็จจึงพ้นจากหน้าที่ดังกล่าว
คงเป็นอาจารย์โรงเรียนข้าราชการพลเรือน จ.ป.ร.ต่อมาแล้ว
ยังได้ใช้เวลาว่างเรียบเรียงตำรามูลบทภาษาอังกฤษสำหรับผู้เริ่มเรียนภาษาอังกฤษ
เพื่อใช้ในโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ และโรงเรียนอื่นๆ
ต่อมาได้ร่วมกับนาย บี. โอ. คาทไรท์ (B. O. Cartwright)
อาจารย์โรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ
เรียบเรียงตำราภาษาอังกฤษขึ้นชุดหนึ่ง
เรียกว่าแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ (The English Practice Book)
หนังสือชุดนี้มี ๓ เล่ม ทั้งยังได้รับคำยกย่องจากนายดับลยู.
ยี. ยอนสัน (W. G. Johnson)
ที่ปรึกษากระทรวงธรรมการได้ให้ความเห็นไว้ดังคำแปลต่อไปนี้
"ข้าพเจ้าเห็นว่าหนังสือหัดภาษาอังกฤษทั้งสามเล่มนี้
คงจะเป็นประโยชน์มาก
เนื้อเรื่องที่เลือกสรรมาเรียบเรียงไว้
ก็ล้วนแต่ดีๆ และเหมาะกับเด็กไทย
ส่วนแบบฝึกหัดทั้งหลายเหล่านั้นก็ย่อมจะเป็นที่ช่วยเหลือแก่ครูบาอาจารย์มากด้วยเหมือนกัน
เช่น แบบฝึกหัด D.2 ในบทที่ ๘ แห่งเล่ม ๓
เป็นต้น ขอยกขึ้นชี้ให้เห็นเป็นตัวอย่าง
แบบฝึกหัดที่ดีพิเศษของหนังสือชุดนี้
อนึ่ง
ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วยวิธีฝึกสอนไวยากรณ์
ตามลักษณะที่ได้เรียบเรียงไว้ในเล่มหนังสือนั้น
เป็นวิธีสอนให้เด็กรู้ไปในการเรียนภาษานั้นเอง
หาใช่ยกไวยากรณ์ขึ้นสอนเป็นบทๆ ไป
ตามวิธีที่ได้เคยใช้กันมาแต่เดิมนั้นไม่
วิธีนี้เป็นวิธีที่ข้าพเจ้าอยากจะให้ได้แพร่หลายมากขึ้น
ยิ่งกว่าที่เป็นมาแล้ว
ในที่สุดขอสรุปความว่า
หนังสือชุดนี้เป็นแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษอย่างดีมีประโยชน์มากได้ชุดหนึ่ง" |
หนังสือดีอีกเล่ม ๑
ที่พระยาบรมบาทบำรุงได้เรียบเรียงไว้ คือ
หนังสือสังเขปเทศนาเสือป่า
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีกระแสพระราชดำรัสทรงชมเชยว่า
"ของมันดีมาก"
หนังสือเล่มนี้ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ
ให้พิมพ์เพิ่มเติมอีก ๑๐,๐๐๐ เล่ม
แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานให้แจกจ่ายลูกเสือที่เข้าร่วมการชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ
ณ พระราชอุทยานสนราญรมย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
เลื่อน หัวหมื่น พระยาบริหารราชมานพ (ศร ศรเกตุ)
ผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเป็นเจ้ากรมโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์แล้ว
จึงได้โปรดเกล้าฯ
ให้ย้ายพระบรมบาทบำรุงอาจารย์โรงเรียนข้าราชการพลเรือน
จ.ป.ร. ไปดำรงตำแหน่งผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
พระราชทานยศเป็นรองหัวหมื่น แล้วเลื่อนขึ้นเป็น หัวหมื่น
พระยาบรมบาทบำรุงเป็นลำดับ
กับได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา
เป็นบำเหน็จความชอบ
การที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระยาบรมบาทบำรุงไปดำรงตำแหน่งผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงนั้น
พระประทัตสุนทรสาร (เหล่ง บุณยัษฐล)
อดีตรองผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยได้บันทึกไว้ว่า
"การที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ผู้ใดไปเป็นผู้บังคับบัญชาโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ก็จำต้องทรงเลือกเฟ้นบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิและเป็นผู้ที่ทรงรู้จักดี
ทั้งจะต้องเป็นผู้ที่ซาบซึ้งในพระบรมราโชบายด้วย
พระยาบรมบาทบำรุงก็ได้ปฏิบัติราชการในตำแหน่งนี้
โดยความอุตสาหะและวิริยะภาพ เป็นที่พอพระราชหฤทัยตลอดมา"
ในปี พ.ศ. ๒๔๖๓
พระยาบรมบำรุงได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ซึ่งเสด็จประพาสรอบโลก
กลับถึงกรุงเทพฯ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๔
แล้วได้เข้ารับราชการในตำแหน่งเดิมตราบจนสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว
ได้มีพระบรมราชโองการให้จัดระเบียบราชการกรมมหาดเล็กด้วยการยุบเลิกส่วนราชการลงบางส่วน
เมื่อพระยาบรมบาทบำรุงทราบข่าวว่า จะโปรดเกล้าฯ
ให้ยุบกรมโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์
รวมทั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวง โรงเรียนราชวิทยาลัย
และโรงเรียนพรานหลวงในการจัดระเบียบราชการคราวนั้น
ส่วนโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่นั้นมีพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ยุบเลิกไปก่อนหน้านั้นแล้ว
พระยาบรมบาทบำรุงจึงได้ถวายฎีกาขอพระราชทานดำรงโรงเรียนมหาดเล็กหลวงต่อไป
เพราะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างโรงเรียนนั้นขึ้นแทนวัดประจำรัชกาล
หากยุบเลิกโรงเรียนมหาดเล็กหลวงไปก็จะเท่ากับยุบวัดประจำรัชกาลไปด้วย
เมื่อพระบทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรฎีกาเรื่องโรงเรียนมหาดเล็กหลวงทั้งของพระยาบรมบาทบำรุง
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
เสนาบดีกระทรวงศึกษาธิการ และพระราชธรรมนิเทศ (เพียร
ไตติลานนท์) ผู้บังคับการโรงเรียนราชวิทยาลัยแล้ว
ได้มีพระบรมราชวินิจฉัยให้ยกโรงเรียนราชวิทยาลัยมารวมกับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
แล้วพระราชทานนามให้ใหม่ว่า โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
และได้โปรดเกล้าฯ
ให้พระยาบรมบาทบำรุงคงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยต่อมา
ส่วนโรงเรียนพรานหลวงคงถูกยุบเลิกไปพร้อมกรมโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์
พระยาบรมบาทบำรุง
คงสนองพระเดชพระคุณในตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยมาได้ไม่นาน
ก็เกิดมีความคิดเห็นขัดแย้งกับมหาเสวกโท
พระยาไพศาลศิลปสาตร์ (รื่น ศยามานนท์)
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการและกรรมการจัดการวชิราวุธวิทยาลัย
ในเรื่องที่พระยาบรมบาทบำรุงมีความเห็นว่า
วชิราวุธวิทยาลัยควรจะมีคณะเด็กรุ่นเล็ก
โดยรับเด็กตั้งแต่อายุ ๖ ขวบขึ้นไปไว้อบรมสั่งสอน
แล้วจึงทยอยส่งเข้าโรงเรียนเด็กใหญ่ ในทำนองเดียวกับ
Preparatory School ของอังกฤษ
ที่เป็นโรงเรียนสำหรับเตรียมเด็กเข้าศึกษาต่อในพับลิคสกูล
(Public School)
เพื่อที่จะได้อบรมและดัดนิสัยใจคอเด็กเสียตั้งแต่ยังเยาว์
หากรอไปรับเข้าเรียนตอนเป็นเด็กโตจะดัดนิสัยได้ยากกว่า
แต่ภากรรมการจัดการหรือคณะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัยในเวลานั้นเห็นต่างไปว่า
ตามหลักของพับลิคสกูลอังกฤษแล้วโรงเรียนจะรับนักเรียนอายุตั้งแต่
๑๔ ปี ขึ้นไป
ฉะนั้นวชิราวุธวิทยาลัยจึงควรรับนักเรียนตาแบบพับลิคสกูลของอังกฤษ
 |
พระยาบรมบาทบำรุง (นั่งกลางแถวบน)
เมื่อครั้งเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเยาวกุมาร
|
เมื่อสถานการณ์เป็นดังนั้น
พระยาบรมบาทบำรุงจึงได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย
แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า
เหตุที่ขัดแย้งกันนั้นเป็นเรื่องของหลักการ
และโดยส่วนพระองค์นั้นทรงพระราชดำริเห็นชอบด้วยความเห็นของพระยาบรมบาทบำรุง
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ย้ายพระยาบรมบาทบำรุงไปรับราชการเป็นผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์
กับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเยาวกุมาร
ซึ่งโปรดให้ตั้งขึ้นเป็นสถานศึกษาสำหรับเจ้านายและบุตรข้าราชบริพารที่ตึกกรมบัญชาการกองเสนาหลวงรักษาพระองค์เดิม
ใกล้กับพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน แล้วได้โปรดเกล้าฯ
ให้ย้ายมหาอำมาตย์ตรี พระยาปรีชานุสาสน์ (เสริญ ปันยารชุน)
จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยแทน
ในระหว่างที่พระยาบรมบาทบำรุงรับราชการสนองพระเดชพระคุณในหน้าที่ผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์และอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเยาวกุมารนั้น
นอกจากจะได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นมหาเสวกตรีแล้ว
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้โปรดเกล้าฯ
ให้เดินทางไปศึกษาดูงานด้านการศึกษา ณ ประเทศต่างๆ
ในยุโรปโดยทุนส่วนพระองค์เป็นเวลาราวปีหนึ่ง
และเมื่อพระยาปรีชานุสาสน์
ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยไปรับราชการในตำแหน่งปลัดกระทรวงธรรมการในตอนต้นปี
พ.ศ. ๒๔๗๖ แล้ว ก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้พระยาบรมบาทบำรุงกลับมาดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยอีกครั้ง
ในคราวหลังนี้พระยาบรมบาทบำรุงได้มีโอกาสจัดตั้งโรงเรียนเด็กเล็ก
เริ่มจากการจัดสร้างตึกคณะเด็กเล็กซึ่งปัจจุบันคือ
ตึกคณะสนามจันทร์
ในที่ดินฝั่งตรงข้ามโรงเรียนใหญ่ซึ่งเดิมพระราชทานให้เป็นที่ปลูกสร้างบ้านพักครูชาวต่างประเทศ
จัดเป็นโรงเรียนชั้นประถมสำหรับเด็กเล็กแยกไปจากโรงเรียนใหญ่โดยเด็ดขาด
จะมีไปร่วมกิจกรรมกับเด็กโตก็แต่เฉพาะในเวลามีงานพิธีสำคัญของโรงเรียนหรือในการประชุมฟังเทศน์ประจำเดือน
กิจการโรงเรียนคณะเด็กเล็กนี้ได้รับความนิยมจากผู้ปกครองเพิ่มขึ้นเป็นลำดับจนต้องขยายคณะเพิ่มอีก
๒
คณะในสมัยที่พระยาภะรตราชาเป็นผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย
อนึ่ง
ในสมัยที่พระยาบรมบาทบำรุงกลับมาเป็นผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยอีกครั้งนั้น
เป็นเวลาที่วชิราวุธวิทยาลัยประความขับคันทางการเงินเป็นอย่างมาก
เพราะรัฐบาลได้ปรับลดเงินอุดหนุนที่เคยจัดถวายปีละ ๙๐,๐๐๐
บาท ลงไปกว่าครึ่ง
พระยาบรมบาทบำรุงจึงได้พยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยปรับลดรายจ่ายของโรงเรียนลง
ดังที่พระประทัตสุนทรสารได้บันทึกถึงมาตรการในครั้งนั้นไว้ว่า
"เมื่อท่านมาเป็นผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยครั้งหลัง
งบประมาณที่โรงเรียนได้รับยอบแยบเต็มที
จำเป็นต้องกระเหม็ดกระแหม่ทุกทาง
ในสมัยนั้นไฟฟ้าและน้ำประปาที่ใช้ตามคณะต่างๆ
ในโรงเรียนมีหม้อเครื่องวัดรวมแห่งเดียว
ท่านก็จัดการแยกหม้อเครื่องวัดออกเป็นคณะๆ
ไป
และขอร้องให้ผู้กำกับคณะกวดขันนักเรียนให้ประหยัดการใช้น้ำใช้ไฟ
มิให้สาดเสียเทเสียโดยใช่เหตุดังเช่นที่ได้เป็นมาแต่ก่อน
พอสิ้นเดือนหนึ่งๆ
ท่านจะส่งค่าไฟฟ้าและค่านำประปาของทุกๆ
คณะรวมทั้งคณะของท่านให้ผู้กำกับคณะทราบ
และขอร้องให้พยายามประหยัดให้ยิ่งขึ้น
ท่านได้กระทำดังนี้อยู่เป็นเวลาหลายเดือนจนได้ตัวเลขที่ต่ำที่สุดที่ทุกคณะพอจะปฏิบัติตามได้
ท่านจึงออกคำสั่งว่าหากคณะหนึ่งคณะใดใช้น้ำและไฟเกินอัตราที่กำหนดให้
ผู้กำกับคณะจะต้องออกเงินส่วนตัวชดใช้
วิธีที่แต่ละคณะต่างช่วยกันประหยัดเช่นนี้ทำให้รายจ่ายค่าน้ำค่าไฟของโรงเรียนลดลงได้ถึงสามเท่าของแต่เดิม" |
นอกจากนั้นเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินไปรักษาพระองค์ที่ยุโรปครั้งสุดท้ายในปี
พ.ศ. ๒๔๗๗ ก่อนจะสละราชสมบัติในปลายปีเดียวกันนั้น
กล่าวกันว่า ในวันที่เสด็จพระราชดำเนินออกจากกรุงเทพฯ นั้น
มีเฉพาะนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยเท่านั้นที่ไปส่งเสด็จ
ในวันนั้นมีนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยหลายคนที่ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งน้ำพระเนตรขณะทรงโบกพระหัตถ์ลานักเรียน
การที่พระยาบรมบาทบำรุงนำนักเรียนไปส่งเสด็จคราวนั้นเองจึงทำให้ต้องถูกปลดจากตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยเมื่อวันที่
๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ และถึงอนิจกรรมเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๔๘๘ สิริอายุ ๖๑ ปี
พระยาบรมบาทบำรุง
ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดและบำเหน็จความชอบในพระองค์
ดังนี้
ทุติยจุลจอมเกล้า พร้อมพานทองเครื่องยศ
ตริตาภรณ์ช้างเผือก
ตริตาภรณ์มงกุฎไทย
เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา
Légion de Honneur (ประเทศฝรั่งเศศ)
แม้พระยาบรมบาทบำรุงจะถึงอนิจกรรมไปแล้ว
แต่หลักการสอนที่ท่านเคยกล่าวแก่ผู้ใกล้ชิดอยู่บ่อยๆ ว่า
การที่ครูจะสอนให้ได้ผลดีนั้นจะต้องยึดหลักว่า "สอนให้ทำ
นำให้คิด" มิใช่แต่เพียง "สอนให้จำ นำให้ฟุ้ง"
นั้นยังคงเป็นหลักการสอนที่สำคัญสืบมาจนถึงปัจจุบัน
สมกับที่ท่านได้รับการยกย่องว่า เป็นทั้งผู้ชำนัญการศึกษา
(Educationist) และครูโรงเรียน (School - master)
|