พระยาภะรตราชา (ม.ล.ทศทิศ อิศรเสนา)
เป็นบุตรของหลวงราชดรุณรักษ์ (ม.ร.ว.กระจ่าง อิศรเสนา)
โอรสหม่อมเจ้าจันตรี ในพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ ชั้น ๒
กรมหมื่นกษัตริย์ศรีศักดิเดช พระองค์เจ้าพงศ์อิศเรศ)
กับนางราชราชดรุณรักษ์ (เอี่ยม อิศรเสนา)
เกิดที่บ้านถนนพระสุเมรุ ตำบลผ่านฟ้าลีลาศ อำเภอชนะสงคราม
จังหวัดพระนคร (ซึ่งปัจจุบันเป็นธนาคารกรุงเทพจำกัด(มหาชน)
สาขาสะพานผ่านฟ้า) เมื่อวันอาทิตย์ เดือนอ้าย แรม ๙ ค่ำ
ปีจออัฐศก จุลศักราช ๑๒๔๘ ตรงกับวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ.
๒๔๒๙
เมื่อเยาว์วัยได้เล่าเรียนหนังสือไทยที่บ้านโดยมีพระยาเกษตร์หิรัญรักษ์
(อุ่ม คุวานเสน) น้าชายเป็นผู้สอน เมื่ออายุ ๘
ขวบได้เข้าเรียนภาษาไทยที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ
ในพระบรมมหาราชวัง
เมื่อแรกเข้าเรียนทางโรงเรียนจัดให้เข้าเรียนชั้น “กอ, ขอ,
นอโม” ซึ่งเป็นชั้นเรียนเริ่มแรกของโรงเรียน
แต่เนื่องจากได้เรียนหนังสือ “มูลบทบรรพกิจ”
จบเล่มมาจากที่บ้านแล้ว
พอสิ้นปีจึงได้เลื่อนขึ้นไปเรียนชั้นประโยคหนึ่ง
ซึ่งต้องเรียนเลขเป็นวิธีที่ยากขึ้น และต้องใช้หนังสือ
"วาหนิตินิกร"
และ "อักษรประโยค"
เป็นแบบเรียน เรียนชั้นนี้อยู่ ๑ ปี ก็สามารถสอบประโยค ๑
ได้ และควรจะต้องเลื่อนขึ้นไปเรียนประโยคสอง
แต่ในปีนั้นกระทรวงธรรมการเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาใหม่
เพิ่มวิชาใหม่ๆ เข้ามา การเรียนประโยค ๑ และ ๒
จึงต้องขยายเวลาเล่าเรียนเป็นประโยคละ ๓ ปี เรียกว่า
ประโยคหนึ่ง ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง และชั้นสาม กับประโยคสอง
ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง และชั้นสาม
ด้วยเหตุที่มีการเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาเป็นเช่นที่กล่าวมา
ม.ล.ทศทิศ อิศรเสนา จึงต้องเรียนต่อในประโยคสอง ชั้นหนึ่ง
ชั้นสอง และชั้นสามตามลำดับ
ในระหว่างที่กำลังเรียนประโยคชั้นสองชั้นหนึ่งอยู่นั้น
โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบต้องย้ายแผนกภาษาอังกฤษไปเปิดสอนที่ตึกแม้นนฤมิตร
วัดเทพศิรินทราวาส
เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็นโรงเรียนสวนกุหลาบ (ตัดคำว่าพระตำหนักออก)
ส่วนแผนกไทยย้ายไปเปิดสอนที่ศาลารายวัดมหาธาตุ
ได้เรียนที่โรงเรียนวัดมหาธาตุจนจบประโยคสอง ชั้นสาม
ขณะมีอายุเพียง ๑๔ ปี
ก็ประจวบกับทางราชการได้เพิ่มหลักสูตรประโยคสาม ชั้นหนึ่ง
ชั้นสอง และชั้นสามขึ้นอีก จึงได้เรียนต่อประโยคสาม
ชั้นหนึ่ง และในปีเดียวกันนี้ได้สมัครสอบแก้ปัญหาธรรม ณ
มหามกุฏราชวิทยาลัย (วัดบวรนิเวศวิหาร)
สามารถสอบไล่ได้ตั้งแต่ชั้น ๓ เรื่อยมาจนถึงชั้น ๑
อันเป็นชั้นสูงสุดในรวดเดียว
เมื่อสอบประโยคสาม ชั้นหนึ่งได้แล้ว
อยากจะไปศึกษาต่อต่างประเทศ
จึงลาออกจากโรงเรียนวัดมหาธาตุไปเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนราชวิทยาลัย
ซึ่งเวลานั้นตั้งอยู่ที่บ้านสมเด็จเจ้าพระยา
แต่โดยที่หลักสูตรภาษาอังกฤษจัดการเล่าเรียนไม่เหมือนหลักสูตรภาษาไทย
เรียกชั้นสูงสุดว่า "ชั้นหก"
ภาษาอังกฤษที่เรียนมาในประโยคสาม ชั้นหนึ่ง
รวมทั้งที่เรียนพิเศษในเวลากลางคืนมานั้น
มีความรู้พอเข้าเรียนชั้น ๕ ในโรงเรียนราชวิทยาลัย
จึงต้องเรียนต่อจนสอบไล่ได้ชั้น ๖ เมื่ออายุได้ ๑๗ ปี
เนื่องจากระบบการศึกษาในสมัยนั้น ผู้ที่สอบชั้น ๖ อังกฤษ
ได้คะแนนตั้งแต่อันดับที่ ๑ ถึงที่ ๕
จะได้รับพระราชทานทุนเล่าเรียนไปศึกษาวิชา ณ ต่างประเทศ
ผู้ที่ได้ที่ ๑ และ ๒
สามารถเลือกไปเรียนวิชาอะไรก็ได้ตามใจชอบ
เวลาที่เรียนสำเร็จกลับมาแล้วจะรับราชการหรือไม่ก็ได้
แต่ผู้ที่สอบไล่ได้ในลำดับที่ ๓ ถึง ๕
ต้องเรียนวิชาตามที่กระทรวงธรรมการกำหนด
และจะต้องกลับมาเป็นครูเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว
โดยเหตุที่หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา สอบไล่ได้เป็นที่ ๓
จึงต้องไปศึกษาวิชาครูตามต้องการของกระทรวงธรรมการ
ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบถวายบังคมลาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพื่อออกไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ
พร้อมด้วยหม่อมเจ้าสกลวรรณากร วรวรรณ และพระยาศรีบัญชา (ทวน
ธรรมาชีวะ) เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๖
แรกเดินทางถึงประเทศอังกฤษ ม.ล.ทศทิศ อิศรเสนา
ได้เข้าศึกษาต่อที่พับลิคสกูลชื่อ เอาน์เดิล (Oundle)
เป็นเวลา ๓ ปี สอบไล่ได้ School Certificate
ตามหลักสูตรร่วมของมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด (Oxford
University) และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge
University) และ Matriculation ของมหาวิทยาลัยลอนดอน
(University of London) แล้ว
จึงได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยลอนดอนในหลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตร์ในสาขาวิชา
Pure Mathematics, Applied Mathematics, Chemistry
ควบไปกับวิชาการศึกษา (Education)
ตามหลักสูตรนี้ผู้เรียนจะต้องเรียน ๓ ปีจึงจะได้ปริญญา
B.Sc. แต่เมื่อเรียนจบ ๒
ปีแล้วจะต้องสอบไล่เสียตอนหนึ่งก่อน
ผู้ที่สอบไล่ได้ในตอนนี้หากประสงค์จะออกไปเป็นครู
ทางมหาวิทยาลัยจะออก Diploma รับรองคุณวุฒิให้
แต่ถ้าประสงค์จะรับปริญญาต้องเรียนเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์ต่อไปอีก
๓ ภาคเรียนหรือ ๑ ปี
เมื่อสำเร็จการศึกษาในปีที่สองและสอบไล่ได้ Diploma
โดยได้รับเกียรติชั้นที่ ๑ แล้ว หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา
ได้สมัครเรียนต่อในชั้นปริญญา แต่เรียนไปได้เพียง ๒ ภาค
เหลืออีกเพียงภาคเรียนเดียวจะได้รับปริญญาก็ถูกทางราชการเรียกตัวกลับเข้ารับราชการ
เพราะมีการเปิดหลักสูตรการศึกษาใหม่ และครูที่จะสอนในชั้น
๗ และ ๘ มีไม่พอ จึงต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ
และได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสกลับจากการศึกษาต่างประเทศ เมื่อวันที่ ๒๖
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ณ พระที่นั่งอภิเษกดุสิต
ม.ล.ทศทิศ อิศรเสนา
เริ่มรับราชการครั้งแรกเป็นอาจารย์โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
และเมื่อโรงเรียนเลิกในตอนบ่ายแล้วยังได้ไปทำหน้าที่เลขานุการส่วนตัวของเจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร
(ม.ร.ว.คลี่ สุทัศน์) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ
ต่อมาได้ย้ายไปรับราชการเป็นอาจารย์โรงเรียนราชวิทยาลัยซึ่งเวลานั้นเปิดสอนอยู่ที่สายสวลีสัณฐาคาร
(โรงเลี้ยงเด็ก)
จนโรงเรียนราชวิทยาลัยย้ายไปสังกัดกระทรวงยุติธรรม
และย้ายไปเปิดสอนที่ตำบลบางขวาง จังหวัดนนทบุรี
จึงย้ายกลับมาสอนที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
พร้อมกับทำหน้าที่เลขานุการสามัคยาจารย์สมาคมต่อมาอีก ๔ ปี
จนได้รับเหรียญทองลงยาของสมาคม
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๔
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ย้ายไปเป็นอาจารย์โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ในชั้นต้นเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ
อยุธยา)
กรรมการจัดการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระบรมราชานุญาตให้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงเลยทีเดียว
แต่มีพระราชดำริว่า "ม.ล.ทศทิศนั้นมีบกพร่องข้อใหญ่อยู่ข้อหนึ่งคือเรื่องอายุยังอ่อนอยู่มาก
เกรงว่าจะไม่เป็นผู้ใหญ่พอแก่หน้าที่"
จึงได้โปรดเกล้าฯ
ให้เป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชา
และพระราชทานยศมหาดเล็กให้เป็น รองหุ้มแพร (เทียบเท่านายร้อยโท)
ในระหว่างนี้ทรงจัดตั้งกองเสือป่าขึ้น ม.ล.ทศทิศก็ได้สมัครเข้าเป็นเสือป่า
ได้รับพระราชทานยศเป็น นายหมู่ตรีและนายหมู่โทตามลำดับ
และในปีเดียวกันนั้นก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น
หลวงอภิบาลบุริมศักดิ์
กับได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นหุ้มแพร (เทียบเท่านายร้อยเอก)
 |
นายหมู่เอก หลวงอภิบาลบุริมศักดิ์ (ม.ล.มศทิศ
อิศรเสนา) ถ่ายภาพพร้อมด้วย
พระยาไพศาลศิลปสาตร (สนั่น เทพหัสดิน ณ
อยุธยา) ผู้ตรวจการลูกเสือ
นายกองตรี พระอภิรักษ์ราชฤทธิ์ (ศร ศรเกตุ)
อาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
แลพกองลูกเสือกรุงเทพฯ ที่ ๑ (ลูกเสือหลวง)
ที่หน้าท้องพระโรงวังวรดิศ
เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๕๖ |
เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งกองลูกเสือกองแรกของประเทศขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ก็ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ
ตั้งให้เป็นหนึ่งในสามผู้กำกับลูกเสือชุดแรกของประเทศ [๑]
กองลูกเสือกองแรกนี้ได้ทำพิธีเข้าประจำกองเฉพาะพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่สนามหน้าสโมสรสถานเสือป่า พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๒
กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๔ ในโอกาสนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ขนานนามกองลูกเสือกรุงเทพฯ ที่ ๑
โรงเรียนมหาดเล็กหลวงนี้ว่า "กองลูกเสือหลวง"
ต่อมาในตอนปลายปี พ.ศ. ๒๔๕๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ยกกองลูกเสือหลวงขึ้นเป็นกรมนักเรียนเสือป่าหลวง
ย้ายการบังคับบัญชาไปขึ้นแก่เสนาธิการเสือป่า
หลวงอภิบาลบุริมศักดิ์จึงได้รับพระราชทานยศเสือป่าเป็นนายหมวดตรี
และเลื่อนเป็นนายหมวดโทในปีเดียวกัน
ถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘
กระทรวงธรรมการขาดเจ้าหน้าที่บริหาร จึงได้ขอตัว จ่า
หลวงอภิบาลบุริมศักดิ์
กลับไปรับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการกระทรวงธรรมการ
ขาดจากราชการทางกรมมหาดเล็กจึงได้รับพระราชทานเปลี่ยนไปใช้ยศ
อำมาตย์ตรีตรี ทางข้าราชการพลเรือน
และรับพระราชทานเปลี่ยนราชทินนามเป็นหลวงประพนธ์เนติประวัติ
ในปลายปีเดียวกันนั้นได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นอำมาตย์โท
เปลี่ยนตำแหน่งเป็นพนักงานจัดการโรงเรียนจังหวัดพระนครกลาง
กับเป็นปลัดกรม กรมสามัญศึกษาอีกตำแหน่งหนึ่ง
ในส่วนราชการเสือป่าได้เป็นรองผู้ตรวจการลูกเสือกรุงเทพฯ
แล้วได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นนายหมวดเอกสังกัดกองเสนารักษาดินแดนกรุงเทพฯ
และเป็นราชองครักษ์เสือป่าตามลำดับ
 |
คณะฟุตบอลแห่งชาติสยาม ชุด พ.ศ. ๒๔๕๙
ถ่ายภาพพร้อมด้วย พระปรีชานุสาสน์ (ม.ล.ทศิศ
อิศรเสนา) ผูกรรมการกำกับเส้น
ที่สโมสรเสือป่าพระราชวังดุสิต |
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙
ได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระปรีชานุศาสน์
และได้รับเลือกตั้งเป็นเลขาธิการกรรมการฟุตบอลแห่งสยาม (เลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งกรุงสยาม
ในพระบรมราชูปถัมภ์) เป็นคนแรก ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๖๐
ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นอำมาตย์เอก และปี พ.ศ. ๒๔๖๑
ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้แต่งเครื่องยศมหาดเล็กชั้นรองหัวหมื่น
(เทียบเท่านายพันโท) เป็นพิเศษ
แล้วได้รับพระราชทานเลื่อนยศเสือป่าเป็นนายกองตรี
ราชองครักษ์เสือป่าต่อไป ถึงปี พ.ศ. ๒๔๖๓
ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รั้งเจ้ากรม
กรมการสอบไล่อีกตำแหน่งหนึ่ง
และยังคงต้องทำหน้าที่พนักงานตรวจการโรงเรียนควบคู่กันไปด้วย
อนึ่ง
ในปีเดียวกันนี้เสนาบดีกระทรวงธรรมการได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น
พระยาทศทิศอิศรเสนา แต่ไม่ต้องด้วยพระราชนิยม
จึงทรงคิดราชทินนามให้ใหม่ว่า “พระยาภะรตราชา”
เป็นบรรดาศักดิ์พิเศษในทำเนียบของพระราชสำนัก
|