คนหลวงในยุคก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น
คือ
ผู้ที่ได้ถวายดอกไม้ธูปเทียนเข้ารับราชการในพระราชสำนักทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน
ซึ่งมีทั้งโอรสธิดาของเจ้านาย บุตรธิดาของข้าราชการตลอดจนพ่อค้าประชาชน
ผู้ที่ได้ถวายตัวเป็นคนหลวงแล้ว
ถือว่าขาดการปกครองจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองมาอยู่ในความชุบเลี้ยงของพระมหากษัตริย์
ซึ่งจะได้รับพระราชทานเงินตราผ้านุ่งผ้าห่มตามฐานานุรูป
และมีฐานะเป็นคนข้อมือขาว
หรือผู้ที่ได้รับการยกเว้นจากการเกณฑ์แรงงานเข้ารับราชการ
จึงไม่ต้องสักเลขหมู่กรมกองที่สังกัดไว้ที่ท้องแขนเช่นประชาชนทั่วไป
 |
เสมาอักษรพระบรมนามาภิไธย ร.ร.๖
พระมหามงกุฎ |
คนหลวงที่ยังอยู่ในวัยเยาว์นั้นมีหน้าที่หลักคือการเรียนรู้ข้อราชการ
เพื่อนำไปใช้ปฏิบัติราชการทั้งในพระราชสำนัก
หรือในส่วนราชการอื่นๆ
สุดแต่จะทรงพระราชดำริเห็นสมควร
บรรดาคนหลวงจึงต้องเป็นผู้ที่ต้องประพฤติดีและปฏิบัติชอบห้ต้องด้วยพระราชนิยม
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไม่ต้องด้วยพระราชอัธยาศัยก็มักจะถูกกริ้ว
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
"ผู้ที่ถูกกริ้วจริงๆ
จะต้องสั่งย้ายให้ไปอยู่ที่อื่น เช่นกระทรวงวัง
กรมมหรสพ กรมพระอัศวราช"
[๑]
ซึ่งมีโอกาสเติบโตในราชการน้อยกว่าอยู่ในกรมมหาดเล็กรับใช้
หรือมีบางรายถึงกับต้องปลดเป็นกองหนุนรับพระราชทานเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญตามแต่กรณี
"พอหายกริ้ว
ก็ต้องได้รับเครื่องหมายส่วนพระองค์ มีเสมา ว.ป.ร.
ลงยา เข็มพระปรมาภิไธยลงยา ดุมหน้าอกทอง
ดุมเสื้อเชิ้ตแหนบปากกระเป๋า เหรียญรัตนาภรณ์ ฯลฯ"
[๒]
เป็นเครื่องหมายว่า
มิได้ทรงผูกใจเจ็บ
แต่ต้องทรงลงพระราชอาญาเพื่อให้หลาบจำ
อนึ่งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น
มีมหาดเล็กอีกจำพวกหนึ่งเรียกกันว่า "เวรถูกกริ้ว"
ผู้ที่เป็นเวรถูกกริ้วนี้ล้วนเป็นมหาดเล็กกองตั้งเครื่อง
ซึ่งอยู่ในข่ายได้รับพระราชทานพระมหากรุณาพิเศษ
เช่น พระยาบำรุงราชบริพาร (เสมียน สุนทรเวช)
จมื่นมานิตย์นเรศ (เฉลิม เศวตนันทน์)
และจมื่นเทพดรุณาธร (เปรื่อง กัลยาณมิตร)
เมื่อถึงเวรถวายงานรับใช้ที่โต๊ะเสวยทั้งกลางวันและกลางคืน
เป็นต้องถูกกริ้วทุกครั้ง
เหตุที่ทรงกริ้วนั้นกล่าวกันว่า
ไม่มีเรื่องผิดคิดร้ายอะไร
แต่ไม่ว่าจะทำอะไรเป็นไม่ต้องด้วยพระราชอัธยาศัยทั้งนั้น
นอกจากไม่ต้องด้วยพระราชอัธยาศัยแล้วยังทรงค่อนแคะต่างๆ
นานา แต่ก็ไม่ปรากฏว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พวกเวรถูกกริ้วนี้ต้องย้ายออกจากกรมมหาดเล็กรับใช้ไปรับราชการที่กรมอื่นในพระราชสำนักเช่นผู้ที่ถูกกริ้วจริงๆ
ทั้งยังโปรดเกล้าฯ
พระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนยศบรรดาศักดิ์
พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
รวมทั้งบำเหน็จความชอบในพระองค์ให้ตามควรแก่โอกาส
จึงกล่าวกันว่า
ที่ทรงกริ้วนั้นเหมือนจะทรงยั่วให้ผู้ที่ถูกกริ้วนั้นโกรธ
เพื่อจะได้แสดงอุปนิสัยใจคอให้ทรงรู้จักโดยถ่องแท้
ผู้ที่ปฏิบัติตนไม่ต้องด้วยพระราชนิยม เช่น
ประพฤติตนเป็นนักเลงผู้หญิง หรือเสพสุราเป็นอาจิณ
ก็มักจะได้รับพระอาญาหนักเบาต่างกันไปตามโทษานุโทษ
เช่น
ริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์แต่ยังคงให้อยู่ในตำแหน่งราชการบ้าง
ถอดจากยศบรรดาศักดิ์และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์บ้าง
เมื่อสำนึกผิดและถวายสัตย์ปฏิญญาจะไม่กระทำผิดอีก
ก็มักจะได้รับพระมหากรุณาให้กลับเข้ารับราชการอีกครั้ง
แต่หากยังขืนกระทำผิดซ้ำอีกก็อาจจะโปรดเกล้าฯ
ให้ขับออกจากราชสำนัก
เป็นอันว่าหมดเขตที่จะทรงพระมหากรุณาชุบเลี้ยงอีกต่อไป
ส่วนผู้ที่กระทำผิดอาญาบ้านเมืองนั้น
นอกจากจะโปรดเกล้าฯ
ให้ส่งตัวไปดำเนินคดีในศาลสนามสถิตยุติธรรมแล้ว
ยังจะต้องรับพระราชอาญาขับพ้นจากราชสำนัก
พร้อมกับถอดจากยศบรรดาศักดิ์และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์และของพระราชทานทั้งปวงด้วย
นอกจากนั้นคนหลวงยังมีธรรมเนียมที่ต้องถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด
เช่น
เมื่อจะทำการสมรสหรืออุปสมบทจะต้องนำความกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตในฐานะที่ทรงเป็นผู้ปกครอง
เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทก็จะโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ตามควรแก่กรณี เช่น
โปรดให้จัดการสมรสพระราชทาน
หรือพระราชทานผ้าไตรพร้อมวัตถุปัจจัยในการอุปสมบท
และเมื่อลาสิกขาแล้วก็ต้องเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระราชกุศลตามประเพณี
หรือในกรณีมีเหตุต้องไปจากพระนคร
ไม่ว่าด้วยหน้าที่ราชการหรือส่วนตัว
ก็ต้องเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบถวายบังคมลา
ครั้นกลับเข้ามาถึงพระนครก็ต้องเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นการประจำทุกครั้ง
ในกรณีที่พระราชวงศ์หรือคนหลวงเดินทางออกไปจากพระนครโดยไม่กราบถวายบังคมลานั้น
ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดกฎมณเฑียรบาลต้องรับพระราชอาญาตามควรแก่กรณี
ดังเช่นเมื่อเกิดคดีพญาระกาในเดือนมิถุนายน พ.ศ.
๒๔๕๓ แล้วพระเจ้าลูกยาเธอ
กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม
เสด็จออกไปประทับเสียที่ศาลเจ้าองครักษ์ปลายคลองรังสิต
โดยมิได้กราบถวายบังคมลาตามพระราชประเพณี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็โปรดเกล้าฯ
ให้ทรงออกจากราชการ
และมิได้เสด็จกลับเข้ารับราชการอีกเลย
จนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเสวยสิริราชสมบัติ
 |
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
เมื่อครั้งทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ |
แล้ว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เสด็จกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการใน
พ.ศ. ๒๔๕๕
และได้ทรงดำรงตำแหน่งนั้นมาจนสิ้นพระชนม์
เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๓
ส่วนพระราชวงศ์และข้าราชการในพระราชสำนักฝ่ายในนั้น
เมื่อ
"ถวายตัวเป็นคุณพนักงานแล้วจะออกไปไหนไม่ได้เพราะเป็นคนของหลวง
คุณพวกนี้อยู่ในวังหลวงเป็นคุณพนักงานกินเบี้ยหวัดเงินปี
รับราชการจัดโน้นจัดนี้เวลามีงานพระราชพิธี
มีสิทธิมีที่อยู่อาศัยเป็นแห่งๆ
ในวังหลวงจนตลอดชีวิต
เมื่อถวายตัวแล้วจากพระมเหษีองค์ใดองค์หนึ่งของพระองค์ท่าน
ถ้าพระองค์ท่านโปรดเกล้าฯ
คนใดเป็นพิเศษมากก็จะโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งขึ้นเป็น "เจ้าจอม"
หรือมิฉะนั้นก็อยู่ไปจนมีอายุได้รับตำแหน่งคุณเถ้าแก่
คุณท้าวอบรมสั่งสอนวิชาพิเศษแก่คุณพนักงานรุ่นต่อไป
ถ้าเสียชีวิตก็จะได้รับพระราชทานหีบทอง
ข้าราชการฝ่ายในขึ้นตรงต่อองค์เสด็จอธิบดีคือพระองค์เจ้าหญิงนภาพรฯ"
[๓] |
พระราชวงศ์และคุณพนักงานที่เป็นคนหลวงฝ่ายใน
เมื่อประสงค์จะออกไปนอกพระราชฐานต้องนำความกราบบังคมทูลพระกรุณา
เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว
จึงเสด็จหรือออกไปปฏิบัติกิจธุระตามพระประสงค์หรือความประสงค์ได้
โดยมีท้าวนางกับกรมวังทำหน้าที่ติดตามและกำกับข้างในที่เสด็จหรือไป
ณ ที่ต่างๆ
เพื่อให้กรมวังช่วยแก้ปัญหาในยามที่มีอุปสรรคในการเดินทาง
ส่วนคุณเถ้าแก่นั้นก็ให้ไปรู้เห็นเป็นพยานว่า
มิได้ประพฤติไปในทางที่เสื่อมเสียต่อพระเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดิน
จึงทำ
 |
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี |
ให้คนหลวง เช่น
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี
ซึ่งทรงได้รับการฝึกหัดมาอย่างตะวันตกตั้งแต่ก่อนจะทรงหมั้นกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงรู้สึกว่า เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้เสด็จไปประทับในพระราชฐานชั้นในภายหลังจากที่ทรงเลิกการหมั้นแล้วเป็นเสมือนการถูกส่งไป
"ขังวังหลวง"
นอกจากนั้นในกรณีที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ฝ่ายหน้าเข้าไปปฏิบัติหน้าที่สนองพระเดชพระคุณในพระราชฐานชั้นใน
เช่น
เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้มีการนำภาพยนตร์จากโรงภาพยนต์พัฒนาการมาฉายถวายสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี
พระบรมราชินี
[๔]
ทอดพระเนตรพร้อมด้วยคุณพนักงานฝ่ายใน เนื่องจาก
"คนฉายเป็นผู้ชายมาจากโรงหนัง
จึงต้องมีกรมวังและโขลนขึ้นมาคุมอยู่"
[๕]
อนึ่ง
ในหมู่พระราชวงศ์ฝ่ายในยังมีธรรมเนียมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง
คือ
พระราชวงศ์ฝ่ายในหากมิได้ถวายตัวเป็นพระมเหสีในพระมหากษัตริย์แล้ว
ก็จะจะทรงเสกสมแต่เฉพาะในวงเจ้านายด้วยกัน
หรือมิฉะนั้นก็จะไม่ทรงเสกสมรสเลยตลอดพระชนม์ชีพ
ธรรมเนียมนี้เพิ่งจะเลิกไปภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
โดยผลแห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสมรสพระราชวงศ์แก้ไขเพิ่มเติม
พุทธศักราช ๒๔๗๕
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราขึ้นไว้เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๕
โดยกฎมณเฑียรบาลฉบับนี้มีบทบัญญัติให้
"พระราชวงศ์ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไป
ถ้าจะทำการสมรสกับผู้ใด
ท่านว่าต้องนำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต"
[๖]
และ "เจ้าหญิงองค์ใด
ถ้าจะทำการสมรสกับผู้อื่นซึ่งมิใช่เจ้าในพระราชวงศ์
อันเป็นการไม่ต้องด้วยพระราชประเพณีนิยมดั่งนั้นไซร้
ท่านว่า
ต้องกราบถวายบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์เสียก่อน"
[๗]
ในกรณีที่พระราชวังฝ่ายในละเมิดกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสมรสพระราชวงศ์
ดังรายหม่อมเจ้าอุบลพรรณี วรวรรณ
ที่ทำการสมรสกับชายโดยมิได้นำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตนั้น
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้ถอดหม่อมเจ้าอุบลพรรณี วรวรรณ
ออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์
เป็นการทรงขับพระราชวงศ์พระองค์นั้นออกจากการเป็นสมาชิกแห่งราชตระกูล
แต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงห้ามมิให้พระราชวงศ์ฝ่ายในเสกสมรสกับสามัญชน
ดังตัวอย่างเช่นเมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า
"พระยาสุรบดินทร์
[๘]
, อุปราชมณฑลภาคพายัพ,
ได้มีจดหมายบอกมายังเจ้าพระยารามราฆพว่า
เจ้าราชสัมพันธวงศ์เมืองเชียงใหม่ (วงศ์ตวัน
ณ เชียงใหม่, บุตรเจ้าแก้วนวรัฐ)ได้ชอบพอรักใคร่กันกับหม่อมเจ้าหญิงกังวาฬสุวรรณ
ในกรมหลวงสรรพสาตร์ศุภกิจ
[๙]
, ว่าญาติฝ่ายผู้หญิงเต็มใจที่จะยกให้,
และว่าหม่อมเจ้าหญิงกังวาฬจะขึ้นไป
เชียงใหม่ ณ วันที่ ๒๕ เดือนนี้
เพื่อได้ไปพบปะกับญาติฝ่ายผู้ชาย.
พระยาสุรบดินทร์ถามว่าจะควรตัดรอนหรือไม่,
ถ้าจะตัดรอนก็ควรจัดการตัดรอนทางฝ่ายหญิงจะสดวกกว่า.
ฝ่ายเราเองเห็นว่าถ้าจะตัดรอนก็เกรงจะไม่ได้ผลดี,
แต่อาจจะมีผลร้ายได้;
อย่างน้อยก็อาจที่จะตามกันไป, เปนการ
เสื่อมเสียชื่อเสียง; แต่อีกอย่าง ๑
ซึ่งสำคัญกว่าคือ
เรื่องนี้จะมีความในอย่างไรบ้างหรือไม่ก็ยังทราบไม่ได้,
ฉนั้นถ้าฉวยว่าไปตัดรอนไม่ยินยอม
พวกเจ้านายเมืองเชียงใหม่ (หรือผู้ใดๆ
ที่เฃ้าสนับสนุนเพื่อใช้พวกนั้นเปน
เครื่องมือ)
อาจที่จะฉวยโอกาศเพื่อแค้นและคิดอะไรๆ
ให้รำคาญใจยิ่งไปกว่าการยอมสละหม่อมเจ้าหญิงคน
๑. สรุปความว่า เราเห็นควรดำเนิน-การอย่าง
"ตกบรรไดพลอยโจน",
ยอมอนุญาตให้แต่งงานกันและจัดแต่งให้เสียด้วย,"
[๑๐] |
ส่วนข้าราชการในพระราชสำนักฝ่ายใน
ซี่งเรียกว่า "นางห้าม" หรือ "ห้าม" นั้น
แม้จะไม่มีข้อห้ามที่จะสมรสกับบุคคลอื่น
แต่ก็มีธรรมเนียมว่า
"พวกห้ามนี้ถ้าใครอยากจะได้ก็ต้องทำหนังสือขอพระราชทาน
มีจานเงินจานทอง ๑ คู่
ดอกไม้เงินดอกไม้ทอง ๑ คู่
แล้วนำทูลเกล้าฯ ถวายเข้ามาตามลำดับ
ซึ่งเป็นประเพณีมาแต่โบราณ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะพระราชทานเสมอไป
การที่จะพระราชทานหรือไม่นั้นย่อมสุดแต่พระบรมราชวินิจฉัย"
[๑๑] |
 |
นายจ่าเรศ (แจ่ม สุนทรเวช) และนางจ่าเรศ (อุทุมพร
สุนทรเวช)
ภายหลังจากทรงเจิมและพระราชทานน้ำสังข์สมรสที่พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ |
ฉะนั้นเมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า
นายเล่ห์อาวุธ (แจ่ม สุนทรเวช)
มหาดเล็กในพระองค์รักใคร่ชอบพออยู่กับนางสาวอุทุมพร
วีระไวทยะ ธิดาของนายพลตรี พระยาดำรงแพทยาคุณ (ฮวด
วีระไวทยะ)
อดีตแพทย์หลวงประจำพระองค์สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนี พันปีหลวง กับคุณหญิง
แต่เมื่อพระยาดำรงแพทยาคุณถึงอนิจกรรมไปแล้ว
มีข้าราชการผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งตกพุ่มม่ายเพราะคุณหญิงผู้เป็นภรรยาเสียชีวิต
ได้ส่งเถ้าแก่มาสู่ขอและคุณหญิงสงวน ดำรงแพทยาคุณ
ผู้เป็นมารดาของนางสาวอุทุมพร
วีระไวทยะได้ตอบตกลงที่จะให้ธิดาของตนสมรสกับข้าราชการผู้ใหญ่ท่านนั้นแล้ว
จึงโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวอินทสุริยา (เชื้อ พึ่งบุญ)
พนักงานพระภูษาและพระสุคนธ์ไปรับคุณหญิงสงวนเข้าเฝ้าทูลทูลละอองธุลีพระบาท
มีพระราชกระแสด้วยคุณหญิงสวน ดำรงแพทยาคุณว่า
เมื่อคุณหญิงได้ถวายธิดาคนเดียวนั้นให้สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนี พันปีหลวงทรงชุบเลี้ยงมา
ฉะนั้นเมื่อสมเด็จพระพันปีหลวงเสด็จสวรรคตแล้ว
บรรดาคุณข้าหลวงในสมเด็จพระบรมราชชนนี พันปีหลวง
ซึ่งรวมถึงธิดาของคุณหญิงสงวนฯ
ย่อมเป็นพระราชมรดกตกทอดเป็นคนของหลวง เรียกว่า "ห้าม"
คุณหญิงฯ
จึงหมดสิทธิ์ที่จะเอาไปยกให้ใครโดยไม่นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาก่อน
นอกจากนั้นยังได้มีพระราชกระแสทรงอ้างสิทธิมนุษยชนที่ว่าบุคคลแม้จะเป็นใหญ่หรือบุพการีก็ตาม
ไม่ควรบังคับกดขี่น้ำใจใคร
มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ในตัวของตัวเองที่จะเลือกเคารพบูชาหรือรัก
สรรเสริญบุคคล ชาติ ลัทธิ ศาสนาใดๆ ได้
ก็ควรที่ผู้เจริญแล้วจะเข้าใจและไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยกัน
จึงเป็นอันว่าคุณหญิงสวน ดำรงแพทยาคุณ
ต้องแพ้คดีถึงสองกระทง แม้กระนั้นล้นเกล้าฯ
ก็ทรงมีพระมหากรุณาปลอบคุณหญิงสงวนว่า
ขออย่าเสียใจและเข้าใจผิด
การครั้งนี้ไม่ได้ทรงกระทำอย่างเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินที่ใช้พระราชอำนาจกดขี่ข่มเหงราษฎร
แต่เนื่องจากทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า
นายเล่ห์อาวุธ (แจ่ม สุนทรเวช) มหาดเล็กในพระองค์
กับธิดาของคุณหญิงนั้นรักใคร่ขอบพอกันอยู่
จึงทรงรับเป็นเจ้าภาพฝ่ายชาย
ทรงสู่ขอนางสาวอุทุมพร
วีระไวทยะให้สมรสกับนายเล่ห์อาวุธ
และจะพระราชทานความช่วยเหลือทุกอย่าง ทรงรับรองว่า
จะชุบเลี้ยงทั้งสองคนนั้นไม่ให้ต้องอับอายไปในภายหน้า
ต่อมาเมื่อนายเล่ห์อาวุธได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นนายจ่ารง
และนางสาวอุทุมพร วีระไวทยะ
สำเร็จการศึกษาวิชาพยาบาลจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์แล้ว
ก็ได้โปรดเกล้าฯ จัดการสมรสพระราชทานเมื่อวันที่
๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ ณ พระที่นั่ง
เทวราชสภารมย์
พระราชวังพญาไท