๓๘.
คณะ (๑)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓
ได้ให้ความหมายคำว่า "คณะ" ไว้ว่า "หมู่, พวก, ฝูง:
แผนกวิชาหนึ่ง ๆ ในมหาวิทยาลัย"
[๑]
แต่สำหรับนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยแล้ว คณะ
กลับมีความหมายถึงที่พักอาศัยซึ่งเปรียบเสมือนบ้านของนักเรียน
ซึ่งตรงกับคำว่า "House"
ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกที่พักของนักเรียนใน Public School
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรโรงเรียนแรฟเฟิลส์
(Raffle School) ซึ่งเป็น Public School
ที่อังกฤษจัดตั้งขึ้นที่สิงคโปร์แล้ว
ก็ได้มีพระราชดำริที่จะจัดให้มีโรงเรียนแบบ Public School
ขึ้นในประเทศไทย
เพื่อเตรียมนักเรียนออกไปศึกษาต่อต่างประเทศ
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงกรุงเทพฯ จึงได้โปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งโรงเรียนแบบ Public School
แห่งแรกขึ้นในประเทศไทยที่บ้านสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
(ช่วง บุนนาค) ที่ฝั่งธนบุรี
ทรงจ้างครูชาวอังกฤษเข้ามาเป็นครูใหญ่และครูผู้สอน
จัดการเรียนการสอนตามแบบ Public School
ของอังกฤษเต็มรูปแบบแล้ว จึงมีการนำคำว่า "บ้าน"
มาใช้เรียกที่พักนักเรียนแทนคำว่า House ใน Public School
และคำว่าบ้านนี้คงติดมากับโรงเรียนราชวิทยาลัย
แม้จะย้ายที่ตั้งมาตั้งที่สาวยสวลีสัณฐาคาร
และบางขวางในเวลาต่อมา
และแม้โรงเรียนราชวิทยาลัยจะถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ในชื่อ
โรงเรียน ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัยในยุคหลังนี้
ก็ยังคงเรียกที่พักเรียนนั้นว่า "บ้าน" ตลอดมา
ต่างกันแต่เพียงชื่อบ้านที่เดิมเรียกว่า บ้าน A, B, C, D
มาเปลี่ยนเป็นบ้าน ๑, ๒, ๓, ๔ ในยุค ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย
 |
ผังแสดงที่ตั้งโรงเรียนชั่วคราวที่สวนกระจัง
ตอนหน้า (ขวาของภาพ)
เป็นที่ตั้งหอประชุมและห้องเรียน
ตอนกลางเป็นเรือนพักนักเรียนเด็กโตเรียกว่า
เรือน ก, ข, ค, ง,จ และเรือนเด็กเล็ก |
แต่ที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นแทนพะอารามหลวงนั้น
ในยุคแรกตั้งโรงเรียนที่ในพระบรมมหาราชวังจะเรียกที่พักนักเรียนว่าอย่างไร
ไม่ปรากฏหลักฐาน
แต่เมื่อย้ายมาเปิดการเรียนการสอนที่โรงเรียนชั่วคราวในที่ดิน
"สวนกระจัง"
ที่พระราชทานให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนถาวรเมื่อเดือนมิถุนายน
พ.ศ. ๒๔๕๔ นั้น มีหลักฐานว่า
ที่พักนักเรียนมหาดเล็กหลวงนั้นแยกเป็น "เรือน"
เป็นเรือนไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงหลังคามุงจาก
ตั้งเรียงกันในแนวทิศตะวันออกไปตะวันตก รวม ๕ เรือน
มีนามเรียกขานเรียงกันว่า เรือน ก, ข, ค, ง, จ
 |
แผนที่เมืองนครเชียงใหม่ ๒๔๓๖
แสดงที่ตั้งวัดพันเตา วัดหอธรรม
วัดสบขมิ้น วัดสบฝาง
ที่รายล้อมพระเจดีย์หลวง
เจติยถานสำคัญประจำเมืองนครเชียงใหม่ |
อนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระมหากรุณาสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้นนั้น
มีพระราชประสงค์ให้โรงเรียนนี้เป็นประดุจพระอารามหลวงประจำรัชกาล
ฉะนั้นในการวางผังก่อสร้างโรงเรียน
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างหอสวดหรือปัจจุบันเรียกว่า
หอประชุมไว้ที่กึ่งกลางโรงเรียน
ให้หอสวดนั้นเป็นประดุจเจติยสถานสำคัญใจกลางเมืองเฉกเช่น
พระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช
พระบรมธาตุเจดีย์เมืองสุโขทัย
และพระเจดีย์หลวงนครเชียงใหม่
โดยมีตึกนอนนักเรียนตั้งประจำอยู่ที่ ๔ มุมโรงเรียน
ในทำนองเดียวกับที่พระเจดีย์สำคัญทั้ง ๓
องค์นั้นต่างก็มีพระอารามเป็นที่สถิตแห่งพระสงฆ์ประจำอยู่ที่
๔ มุมพระเจดีย์สำคัญนั้น
ครั้นการก่อสร้างตึกนอนนักเรียนที่ ๔ มุมโรงเรียนแล้วเสร็จ
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เรียกหมู่ตึกที่พักนักเรียนนั้นว่า คณะ
ในทำนองเดียวกับหมู่กุฎีสงฆ์ในพระอาราม
เพราะอีกนัยหนึ่งในเมื่อโรงเรียนนี้เปรียบเป็นพระอารามหลวงประจำรัชกาลแล้ว
ครูและนักเรียนที่อยู่ประจำในรงเรียนจึงเปรียบเสมือนพระภิกษุสามเณรที่จำพรรษาในพระอารามหลวงนั้น
 |
ภาพถ่ายทางอากาศแสดงตึกคณะที่ ๔
มุมโรงเรียน |
ตึกคณะแต่ละคณะที่ ๔ มุมโรงเรียนนั้น
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นหมู่ตึก ๓ หลัง
มีลวดลายปูนปั้นที่ด้านนอกตัวตึกแตกต่างกันไป
แต่พื้นที่ใช้สอยภายในมีเท่ากันทั้ง ๔ คณะ
ตึกหลังกลางใช้เป็นที่อยู่ของนักเรียนซึ่งในเวลานั้นมีอยู่ราวคณะละ
๔๐ คน ส่วนตึกอีก ๒
หลังที่มีทางเดินเชื่อมต่อกับตึกใหญ่นั้น
หลังหนึ่งจัดเป็นที่พักของครูกำกับเรือนนักเรียนและครอบครัว
ส่วนอีกหลังหนึ่งเป็นที่พักของอาจารย์ชาวต่างประเทศที่ทำหน้าเป็นอนุสาสกประจำคณะ
เว้นแต่คณะบรมบาทซึ่งในเวลานั้นจัดเป็นคณะเด็กเล็ก
แต่ครูกำกับเรือนคือ พระยาบรมบำรุง (พิณ ศรีวรรธนะ)
ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้บังคับการโรงเรียนด้วย
ได้แยกไปพักอยู่ที่ "โรงเรือ"
ที่ริมสระน้ำในบริเวณที่ปัจจุบันเป็นตึกรามจิตติ
ตึกที่จัดเป็นที่พักของครูกำกับคณะจึงใช้เป็นที่พักของหม่อมพะยอมในพระราชวรวงศ์เธอ
พระองค์ศรีวิไลยวรวิลาศ ซึ่งเป็นครูแม่บ้านประจำคณะแทน
 |
คณะอภิรักษ์ ราว พ.ศ. ๒๔๖๓
ขณะกำลังเปลี่ยนกระเบื้องจากเมืองจีนขึ้นมุงแทนกระเบื้องซิเมนต์เคลือบสี
ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้กระทรวงวังจัดทำขึ้นเป็นการชั่วคราว |
เมื่อแรกย้ายนักเรียนเข้าพักอาศัยในตึกใหม่ทั้ง ๔
นั้น นอกจากจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เปลี่ยนมาเรียกที่พักนักเรียนนี้ว่า "คณะ"
แล้ว ยังได้โปรดเกล้าฯ
ให้ออกชื่อคณะตามราชทินนามของครูผู้กำกับคณะนั้น
ๆ เช่น
 |
พระยาบรมบาทบำรุง (พิณ ศรีวะธนะ)
ผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง (นั่งเก้าอี้ที่
๖ จากซ้าย)
ถ่ายภาพพร้อมด้วย หลวงจรัสอักษรกูล (ม.ล.จรัส
อิศรรางกูร) ครูกำกับคณะ (นั่งเก้าอี้ที่
๕ จากซ้าย)
และนักเรียนคณะจรัส ราว พ.ศ. ๒๔๖๕ |
คณะบรมบาท |
มีพระยาบรมบำรุง (พิณ
ศรีวรรธนะ) เป็นครูกำกับคณะ
|
คณะอภิรักษ์ |
มีพระอภิรักษ์ราชฤทธิ์ (พ้อง
รจนานนท์) เป็นครูกำกับคณะ
|
คณะจรัส |
มีหลวงจรัสอักษรกูล (ม.ล.จรัส
อิศรางกูร) เป็นครูกำกับคณะ |
คณะจรูญ |
มีหลวงจรูญอักษรศักดิ์ (ฮี้
อุรัสยนันทน์)
เป็นครูกำกับคณะ |
|
 |
พระวิเศษศุภวัตร (เทศน์สุนทร กาญจนศัพท์)
ผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่ (นั่งเก้าอี้ที่
๕ จากซ้าย)
ถ่ายภาพพร้อมด้วยหลวงสนธิวิชากร (แดง
หงสวีณะ) ครูกำกับคณะสนธิ (นั่งเก้าอี้ที่
๔ จากซ้าย)
และนักเรียนคณะสนธิ
โรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่ ราว พ.ศ.
๒๔๖๕ |
สำหรับโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่ซึ่งแบ่งนักเรียนออกเป็น
๒ คณะนั้น
ก็มีการนำราชทินนามของครูกำกับคณะมาใช้เรียกเป็นชื่อคณะเหมือนกัน
ดังมีชื่อคณะเมื่อแรกตั้งโรงเรียนนั้นว่า
คณะวิเศษ |
มีหลวงวิเศษศภวัตร์ (เทศสุนทร
กาญจนศัพท์) เป็นครูกำกับคณะ |
คณะประทัต |
มีหลวงประทัตสุนทรสาร (เหล่ง
บุณยัษฐล) เป็นครูกำกับคณะ |
|