หมวดหน้าที่และความรับผิดชอบพะแนกการกรีฑา
*******************
๑.
จัดให้มีการเล่นที่สมควรขึ้นในโรงเรียน
ออกระเบียบแบบแผนและข้อบังคับการเล่นนั้นๆ
๒.
กะและวางรูปที่เล่นให้พอแก่การ
อะไรที่พะแนกพนักงานและสถานที่จะต้องทำให้เช่นปราบและแต่งสนามเล่น
ก็ขอให้พะแนกนั้นทำให้
๓. จัดหาเครื่องเล่นให้ครบ
และรักษาเครื่องเล่นนั้นๆ
ให้ใช้ได้ถาวร
สิ่งใดจะต้องซื้อก็ขออนุญาตเงิน
ต้องมีบาญชีพัสดุเครื่องเล่นและรักษาไว้โดยเรียบร้อย
ให้มอบพะแนกสมุห์บาญชีทำบาญชีให้
๔.
แบ่งปันเวรให้นักเรียนได้ฝึกซ้อมการเล่นทั่วกัน
และให้ทุกๆคนได้เล่นพอแก่ความต้องการแห่งพละศึกษา
จะเลือกใหใครได้เล่นมากในทางไหนซึ่งแล้วแต่เหมาะแก่วิสัยของเขา
เพื่อเปนการบำรุงความสามารถในการเล่นฉะเภาะสิ่งฉะเภาะอย่างให้เปนชื่อเสียงแก่โรงเรียนและบุคคลผู้เล่นก็ได้
๕.
ฝึกสอนนักเรียนให้เกิดความรู้ความสามารถในการเล่น
และปลูกนิสัยสันดานให้เกิดคุณสมบัติอันจะพึงได้จากการเล่น
๖.
กำหนดการแข่งขันและเวลาแข่งขันกันเองภายในโรงเรียนหรือเชื้อเชิญชักชวนนัดหมายการแข่งขันกับโรงเรียนอื่นๆ
๗.
กำกับและตัดสินการฝึกซ้อมและการแข่งขันทุกอย่างไป
๘.
เจ้าหน้าที่รับผิดชอบพะแนกการกรีธานี้
เรียกว่าหัวหน้าพะแนกกรีฑา
มีกรรมการเปนที่ปฤกษาและช่วยเหลือการงาน
ซึ่งหัวหน้าเปนผู้ขอเลือกเอง
และอาจารย์ใหญ่เปนผู้ประกาศตั้ง
หัวหน้าพะแนกกรีฑาเปนนายก
หัวหน้าพะแนกปกครองเปนอุปนายกของกรรมการตามหน้าที่
กรรมการที่ปฤกษานั้น
ให้เลือกครูบ้างนักเรียนบ้าง
รวมให้ไม่น้อยกว่า ๕ คน
และไม่ให้มากกว่า ๑๒ คน
หมวดหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้กำกับลูกเสือ
*******************
๑.
รับและจำหน่ายลูกเสือในกองของตนโดยอนุมัติของอาจารย์ใหญ่
๒.
ฝึกสอนลูกเสือในกองของตนให้ได้ตามข้อพระราชประสงค์
ซึ่งปรากฏในปลุกใจเสือป่าและมีอยู่ในเบื้องต้นของสมุดข้อบังคับลักษณปกครองลูกเสือ
กับรักษาระเบียบในกองลูกเสือซึ่งตนเปนผู้บังคับให้เปนไปตามข้อบังคับนั้น
๓.
ฝึกหัดวิชาลูกเสือให้ได้ความรู้ความชำนาญตามแบบสั่งสอนเสือป่าและลูกเสือที่ลงพิมพ์แล้ว
และแบบอื่นๆ ตามแต่จะมี
การฝึกหัดอันใดที่เกี่ยวข้องด้วยหน้าที่พะแนกอื่นช่วยทำอยู่แล้ว
เช่นพะแนกกรีฑา พะแนกวิชา
พะแนกปกครอง เปนต้น
ก็ให้อุดหนุนให้ได้ประโยชน์จากความช่วยเหลือของพะแนกนั้นโดยเต็ม
๔.
ชมเชยหรือติโทษลูกเสือตามสมควรแก่ความชอบและความผิด
มีเอาชื่อขึ้นแผ่นทองหรือหนังสุวานและฆ่าชื่อออกจากเปนลูกเสือเปนที่สุด
๕. รายงานความเปนไปในกองของตน
และทำการติดต่อกับผู้ตรวจการลูกเสือ
ในข้อที่เกี่ยวข้องด้วยการโรงเรียนต้องทำด้วยความรู้เห็นของอาจารย์ใหญ่
๖. รักษาทะเบียนบาญชีต่างๆ
ตามระเบียบการปกครองลูกเสือ
ทะเบียนบาญชีเหล่านี้
ให้มอบพะแนกสมุห์บาญชีทำให้ตามความประสงค์
 |
ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
กองลูกเสือหลวงที่หน้าท้องพระโรงวังวรดิศ |
(ยืนแถวหน้า) ๑. นายหมู่ตรี ขุนหัดดรุณพล
(จ้อย พลทา)
ครูโรงเรียนมหาดเล็กหลวงผู้กำกับลูกเสือ |
(ยืนแถวที่ ๒ จากซ้าย) ๒.
นายหมู่ตรี พ้อง รจนานนท์
พระอภิรักษ์ราชฤทธิ์)
ครูโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ผู้กำกับลูกเสือ ... ๔.
นายกองตรี
พระอภิรักษ์ราชฤทธิ์ (ศร
ศรเกตุ)
อาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ผู้กำกับลูกเสือ ๕.
พระยาไพศาลศิลปสาตร์ (สนั่น
เทพหัสดิน ณ อยุธยา
-
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
ผู้อำนวยการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ผู้ตรวจการลูกเสือ
๖. นายหมู่เอก
หลวงอภิบาลบุริมศักดิ์ (ม.ล.ทศทิศ
อิศรเสนา)
ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ผู้กำกับลูกเสือ |
ระเบียบการลงโทษของโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
*******************
ว่าด้วยโทษ |
โทษแบ่งออกเปน ๒ อย่าง
คือ โทษเบาอย่าง ๑
โทษหนักอย่าง ๑
|
|
|
|
โทษเบาแบ่งออกเปน
๓ สถาน สถานที่ ๑
ภาคทัณฑ์ สถานที่
๒
ทรมานซึ่งไม่ให้ร้ายแก่ร่างกายและจิตรใจของเด็ก
สถานที่ ๓
หักคะแนน |
|
|
|
โทษหนักแบ่งออกเปน
๓ สถาน สถานที่ ๑
ให้ตีต้นขาด้วยไม้เรียว
กำหนดการตีเปน ๒
ภาค ภาค ๑
ตีครั้งหนึ่งไม่เกินกว่า
๘ ที ภาค ๒
ตีครั้งหนึ่งไม่เกินกว่า
๑๕ ที สถานที่ ๒
ให้ขัง
การขังแบ่งออกเปน
๒ ภาค ภาค ๑
ขังไม่เกินกว่า ๓
วัน ภาค ๒
ขังไม่เกินกว่าวิก
๑ สถานที่ ๓
ให้ประกาศไล่ออกจากโรงเรียน
ถ้าเปนความผิดร้ายแรง
เพิ่มการตีต้นขาอีกโสดหนึ่งก็ได้ |
|
|
ว่าด้วยอำนาจ |
อำนาจที่จะลงโทษนักเรียนได้ตามอัตราโทษที่ได้ว่ามาแล้วนั้น
โทษเบา
สถานที่ ๑ และที่
๒
หัวหน้านักเรียนลงโทษได้
โทษเบาทั้ง ๓
สถาน ครูประจำ
ชั้น
ครูปกครองนักเรียนประจำห้องลงโทษได้
โทษเบาทั้ง ๓
สถาน
และโทษหนักสถานที่
๑ ภาค ๑ สถานที่
๒ ภาค ๑
ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาและฝ่ายปกครองทำโทษได้
โทษเบาทั้ง ๓
สถาน
โทษหนักสถานที่ ๑
และที่ ๒
อาจารย์ใหญ่ทำโทษได้
โทษหนัก
สถานที่ ๓
ต้องได้รับอนุญาตจากกรรมการผู้อำนวยการโรงเรียนก่อนจึงจะทำโทษได้ |
|
|
ว่าด้วยประโยชน์ของการลงโทษ
และวิธีลงโทษ |
การลงโทษนักเรียนที่ทำผิดนั้น
เพื่อประโยชน์ ๒
อย่างคือ |
|
(๑)
เพื่อจะให้นักเรียนผู้ผิดเข็ดหลาบ
ไม่ทำผิดเช่นนั้นอีก
กับ (๒)
เพื่อจะให้เปนตัวอย่างแก่คนอื่น
เปนการป้องกันและให้ได้ประโยชน์ทั่วกัน
ผู้มีหน้าที่ลงโทษจะต้องระวังให้การลงโทษเปนไปตามความประสงค์ทั้ง
๒ ข้อนี้ |
|
|
|
การลงโทษต้องไม่ห้พร่ำเพรื่อจึงจะได้ประโยชน์จริง
และต้องให้เปนธรรม
ปราศจากอคติทั้ง
๔
ผู้ผิดจึงจะนับถือและยำเกรง
ก่อนที่จะลงโทษควรชี้แจงให้ผู้ผิดเข้าใจและทราบความผิดของตนโดยชัดเจนด้วย
การลงโทษเช่นทรมานหรือขัง
จะต้องระวังอย่าให้เกินสมควร
ซึ่งจะเปนเหตุให้เกิดป่วยไข้หรือให้ร้ายแก่ร่างกายและจิตรใจของเด็ก
ตัวอย่างเช่น
กักไม่ให้พักจนนานเกินไป
หรือให้ยืนให้นั่งอยู่ท่าเดียวนานๆ
จนเปนการยากที่เด็กจะทนได้
หรือกักไว้ให้ล่วงเวลากินและให้อดอาหาร
หรือประจานเด็กจนเด็กนั้นหน้าด้าน
เหล่านี้ยอมให้ร้ายแก่ร่างกายและจิตรใจของเด็กไม่มากก็น้อย
ไม่ควรทำเปนอันขาด |
|
|
|
อนึ่งการลงโทษบางอย่างเปนที่รังเกียจของหมู่คณะ
เช่น
กล่าวคำหยาบมีด่าเปนต้น
หรือทำด้วยกิริยาหยาบคาย
มีตบหน้า ทุบ
เปนต้น
เหล่านี้นับว่าเปนการลงโทษทีไม่สมควรจะกระทำแก่นักเรียน
ห้ามไม่ให้ใช้เปนอันขาด |
|
|
|
การลงโทษที่จะให้เปนแบบเดียวกันไปหมดไม่ได้
เพราะเหตุว่า
เด็กย่อมมีนิสัยต่างๆ
กัน
บางคนถูกทำโทษแต่เล็กน้อยก็หลาบจำ
บางคนลงโทษต่อหน้าคนมากๆ
ไม่ได้
มีความละอายจนเกิดโทสะ
อาจทำอะไรที่ผิดๆ
ได้อีกในเวลาต่อหน้าคน
เหตุฉะนั้นผู้มีหน้าที่ลงโทษจะต้องใช้สติปัญญาตรึกตรองแสวงหาอุบายและวิธีทำโทษให้ชอบและให้เหมาะแก่นิสัยของเด็กผู้กระทำผิด. |
|
 |
|