๑๑.
คณะดุสิต
เนื่องจากเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๖
ได้มีการทำบุญคณะดุสิตที่รื้อสร้างใหม่กันไปแล้ว
จึงขอนำเรื่องราวของคณะดุสิตมาเล่าสู่กัน
ตัวอาคารคณะดุสิตนี้ได้เริ่มก่อสร้างมาพร้อมกับตึกคณะอื่นๆ
อีก ๓ คณะตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๗
หรือถ้านับอย่างปัจจุบันก็เป็นกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๘
เพราะเวลานั้นเรายีงเปลี่ยน พ.ศ. กันในวันที่ ๑ เมษายน
การก่อสร้างนี้เริ่มมาพร้อมๆ
กับการก่อสร้างตึกบัญชาการโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
หรือปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาพระฤกษ์ตึกคณะดุสิตนี้พร้อมกับตึกคณะอีก
๓ คณะ และหอประชุม เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๘
และถัดมาอีก ๒
สัปดาห์ก็เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาพระฤกษ์โรงเรียนข้าราชการพลเรือน
จ.ป.ร. เมื่อวันจันทร์ที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๘
มีข้อที่น่าสังเกตว่าพระฤกษ์วางศิลาพระฤกษ์โรงเรียนทั้งสองนั้น
พระยาโหราธิบดี (แหยม วัชรโชติ)
เจ้ากรมโหรหลวงได้คำนวณถวายตกในวันจันทร์ทั้งสองงาน
จะมีความในทางโหราศาสตร์ประการใดหรือไม่อย่างไร
คงต้องรอให้ท่านผู้รู้มาช่วยขยายความอีกที
 |
แบบพิมพ์เขียวโรงเรียนหลังที่ ๒ |
ตึกคณะดุสิตหรือที่ในเอกสารจดหมายเหตุระบุว่า โรงเรียนหลังที่
๒ นั้น มีโครงสร้างอาคารและผังพื้นที่เหมือนกันกับ โรงเรียนหลังที่
๑ หรือคณะผู้บังคับการในปัจจุบัน
ต่างกันที่ลวดลายปูนปั้นประดับอาคาร
จึงทำให้ราคาค่าก่อสร้างโรงเรียนหลังที่ ๒ สูงถึง ๑๓๐,๐๐๐
บาท ในขณะที่โรงเรียนหลังที่ ๑
ซึ่งมีลวดลายปูนปั้นประดับอาคารน้อยกว่ามีราคาค่าก่อสร้างเพียง
๑๒๐,๐๐๐ บาท ถัดไปคือโรเรียนหลังที่ ๔
หรือคณะพญาไทในปัจจุบัน ราคาค่าก่อสร้างอยู่ที่ ๑๒๕,๐๐๐
บาท ส่วนโรงเรียนหลังที่ ๓ หรือคณะจิตรลดาในปัจจุบัน
ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินผ่านเข้าสูโรงเรียนมาแต่แรกตั้งโรงเรียนที่สวนกระจังนั้น
ตัวอาคารจึงถูกกำหนดให้มีลวดลายปูนปั้นวิจิตรตระการตายิ่งกว่าทุกคณะ
เป็นการเฉลิมพระราชศรัทธา
ราคาค่าก่อสร้างตึกคณะนี้จึงสูงถึง
๑๔๕,๐๐๐ บาท
 |
คณะอภิรักษ์ราชฤทธิ์ เมื่อครั้งยังเป็นโรงเรียนมหาดเล็กหลวง |
การก่อสร้างหอประชุมซึ่งในเวลานั้นเรียกว่า หอสวด
กับตึกคณะทั้ง ๔ นั้นแล้วเสร็จในตอนกลางปี พ.ศ. ๒๔๕๙
แต่ยังขาดกระเบื้องมุงหลังคาที่สั่งทำมาจากประเทศจีนที่ยังทำไม่แล้วเสร็จ
เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล)
เสนาบดีกระทรวงวังซึ่งเป็นแม่กองหรือผู้อำนวยการก่อสร้างโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
จึงได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทขอพระราชทานเผากระเบื้องเคลือบขึ้นเพื่อมุงหลังคาหอประชุมและตึกคณะเป็นการชั่วคราว
เพื่อให้ทันการฉลองในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวครบ
๓ รอบ ที่เรียกกันว่า ๓ รอบ มโรงนักษัตร ในวันที่ ๑
มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๙
และเมื่อกระเบื้องที่สั่งมาเมืองจีนเข้ามาถึงในราวต้น พ.ศ.
๒๔๖๐
ก็ได้รื้อกระเบื้องดินเผาที่ทำขั้นในเมืองไทยแล้วเปลี่ยนมุงด้วยกระเบื้องจากเมืองจีน
แม้กระนั้นก็มีการบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่า
ประเทศไทยได้เริ่มเผากระเบื้องเคลือบสีอย่างที่ใช้มุงหลังคาวัดเป็นครั้งแรก
ในการทดลองทำกระเบื้องมุงหลังคาโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๕๙
ต่อจากนั้นการเผากระเบื้องเคลือบสีก็ได้มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับจนเลิกสั่งทำกระเบื้องจากเมืองจีนไปในที่สุด
 |
นักเรียนคณะอภิรักษ์ราชฤทธิ์
(นั่งเก้าอี้จากซ้าย) ๑.
พระอภิรักษ์ราชฤทธิ์ (พ้อง รจนานนท์)
ครูกำกับเรือน ๒. พระยาบรมบาทบำรุง (พิณ
ศรีวรรธนะ)
ผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง |
เมื่อการก่อสร้างตึกคณะแล้วเสร็จก็ได้จัดให้นักเรียนเข้าอยู่ในตึกคณะใหม่ทั้งสี่
โดยแต่ละคณะมีนักเรียนอยู่ราว ๓๐ ๔๐ คน
ในเวลานั้นคณะบรมบาทบำรุงหรือคณะผู้บังคับการในปัจจุบันจัดเป็นคณะเด็กเล็กสำหรับนักเรียนชั้นประถม
๑ ๓ แต่ก็มีเด็กโตไปประจำเป็นหัวหน้าคณะอยู่บ้าง ส่วนอีก
๓ คณะนั้นจัดเป็นคณะเด็กโตสำหรับนักเรียนมัธยม
ตึกคณะทั้ง ๔ ที่จัดเป็นหมู่ตึก ๓ หลังนั้น
ในยุคแรกเริ่มก่อสร้างได้กำหนดการใช้ประโยชน์เป็น ๓
ส่วนด้วยกันคือ ตึกใหญ่เป็นตึกที่พักของนักเรียน
ส่วนตึกเล็กที่เป็นปีกออกไป ๒ ข้างนั้น
ปีกหนึ่งที่พักของครูกำกับคณะและครอบครัว
ส่วนอีกปีกเป็นที่พักของอนุสาวนาจารย์ซึ่งเป็นครูชาวต่างประเทศ
ตึกคณะทั้ง ๔
นั้นคงเป็นที่พักของนักเรียนต่อเนื่องกันมาจนสงครามโลกครั้งที่
๒ ได้ลุกลามเข้าสู่ประเทศไทยในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
และเมื่อกรุงเทพฯ เริ่มประสบภัยทางอากาศใน พ.ศ. ๒๔๘๕
โรเรียนจำต้องย้ายไปเปิดการเรียนการสอนที่พระราชวังบางปะอินเป็นการชั่วคราว
ส่วนตัวโรงเรียนที่กรุงเทพฯ
นั้นส่วนราชการหลายหน่วยได้ขอย้ายมาใช้อาคารต่างๆ
ของโรงเรียนเป็นที่ทำการ ทั้งสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
กองตำรวจสันติบาล ฯลฯ
ที่สำคัญคือมีการย้ายโรงไฟฟ้าหลวงสามเสนซึ่งถูกระเบิดทำลายจนไม่สามารถเปิดทำการต่อไปได้
มาขอใช้พื้นที่สนามหลังเป็นที่ตั้งโรงจักรชั่วคราว
แล้วมีการขุดสนามฝังถังน้ำมันซึ่งเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าไว้ใต้ดินด้วย
การที่โรงไฟฟ้าหลวงสามเสนย้ายมาเปิดทำการที่สนามหลังนี้เอง
จึงเป็นเป้าหมายสำคัญที่ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรส่งเครื่องบินของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกามาทิ้งบอมบ์โรงไฟฟ้านี้
แต่จะเป็นเพราะเหตุไรไม่ปรากฏแน่ชัด
แต่เมื่อผู้เขียนเป็นนักเรียนตัวเล็กๆ เมื่อเกือบ ๕๐
ปีที่แล้ว ได้ยินพี่ๆ รุ่นโตท่านเล่าว่า
เมื่อเครื่องบินอเมริกันบินมาจะทิ้งระเบิดลงหอประชุม
พระมนูแถลงสารที่ประดิษฐานอยู่ที่ตึกวชิรมงกุฎท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ปัดให้ลูกระเบิดพลาดไปตกที่คณะดุสิตแทน
ที่ว่าเป็นพระมนูปัดลูกระเบิดไปนั้นเพราะเวลานั้นยังไม่มีพระบรมรูปล้นเกล้าฯ
รัชกาลที่ ๖ ประดิษฐานที่หน้าหอประชุม
ในเวลานั้นก็เชื่อคำบอกเล่าของพี่ๆ โดยสนิทใจ
เมื่อเติบโตขึ้นได้มีโอกาสศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม จึงทราบว่า
เรื่องที่เคยฟังจากพี่ๆ นั้นคงจะเป็นจริงไปไม่ได้
และเมื่อวิเคราะห์เหตุผลประกอบกับที่ได้ฟังคำบอกเล่าจากอดีตท่านผู้บังคับการ
ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา และคุณครูจิต พึ่งประดิษฐ์
ซึ่งท่านทั้งสองได้รู้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนั้นแล้ว
จึงพอจะเชื่อได้ว่า
การที่คณะดุสิตถูกระเบิดจนตึกใหญ่และปีกด้านทิศเหนือพังไปเมื่อกลางเดือนมกราคม
พ.ศ. ๒๔๘๖ นั้น
น่าจะเป็นผลมาจากการที่เครื่องบินอเมริกันตั้งใจจะมาทิ้งบอมบ์โรงไฟฟ้าหลวงที่สนามหลัง
หากแต่เกิดการผิดพลาดลูกระเบิดมาตกที่ตึกคณะดุสิต
และสะเก็ดระเบิดส่วนหนึ่งได้ปลิวไปตกที่โรงรถยนต์หลวงที่อยู่ติดกัน
แต่โรงรถยนต์หลวงเสียหายไม่มาก
การที่ตึกคณะดุสิตถูกระเบิดเสียหายคราวนั้น
เดชะบุญเป็นช่วงที่โรงเรียนย้ายไปเปิดสอนอยู่ที่พราชวังบางปะอิน
จึงไม่มีครูและนักเรียนได้รับอันตราย
แต่ก็ทำให้โรงเรียนต้องปิดการเรียนการสอนไปจนถึงปีการศึกษา
๒๔๘๘ และกลับมาเปิดเรียนอีกครั้งใน พ.ศ. ๒๔๘๙
ในระหว่างที่โรงเรียนต้องปิดเรียนไปนั้น
ภายในโรงเรียนได้มีการสร้างไม้หลังคาจาก
ยาวตลอดจากถนนหน้าหอประชุมขนานไปกับหอประชุมไปจนถึงสระน้ำหน้าโรงสควอช
และมีอีกส่วนหนึ่งยื่นลงไปทางอินดอร์สเตเดียมในปัจจุบัน
เรือนไม้หลังคาจากนี้
ทางราชการได้จัดเป็นค่ายกกกันเชลยศึกและชนชาติศัตรู
มีการนำชาวอังกฤษและชาติพันธมิตรมากักขังไว้ที่นี่
ซึ่งในจำนวนนั้นมีมิสเตอร์สจ๊วต มาร์
ผู้จัดการสายการเดินเรือของบริษัท บอเนียว
จำกัดรวมอยู่ด้วย
ท่านอดีตผู้บังคับการ ดร.กัลย์
อิศรเสนา อยุธยา ท่านเล่าให้ฟังว่า
ชนชาติศัตรูที่ถูกนำมาคุมขังที่โรงเรียนนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ที่รู้จักคุ้นเคยกันดีกับท่านอดีตผู้บังคับการ
พระยาภะรตราชา รวมทั้งตัวท่านผู้เล่า
ตลอดจนคุณครูในโรงเรียนอีกหลายท่านที่เป็นนักเรียนเก่าอังกฤษ
และโดยที่ทราบกันดีว่า
ม้างราชการจะได้ขอใช้โรงสควอชเป็นที่หุงหาอาหารเลี้ยงดูชนชาติศัตรูเหล่านี้แล้วก็ตาม
แต่ความขาดแคลนในยามสงครามจึงทำให้ชาวต่างชาติที่ตกเป็นเชลยสงครามนี้ได้รับการเลี้ยงดูแบบอดๆ
อยากๆ
ท่านอดีตผู้บังคับการและคุณครูทั้งหลายจึงมักจะนำอาหารใส่หอแล้วปาข้ามรั้วลวดหนามเข้าไปให้ผู้ที่ถูกควบคุมอยู่ในค่ายกักกันนั้นอยู่เสมอๆ
ด้วยน้ำใจของอดีตท่านผู้บังคับการตลอดจนคุณครูที่ช่วยให้ท่านเหล่านั้นรอดจากการอดอาหารมาได้
เมื่อสงครามสงบลงมิสเตอร์สจ๊วต มาร์
ได้มาขอบพระคุณท่านอดีตผู้บังคับการพระยาภะรตราชา
พร้อมกับปวารณาตัวที่จะช่วยเหลือโรงเรียนเป็นการตอบแทน
ท่านอดีตผู้บังคับการพระยาภะรตราชาจึงได้แจ้งให้มิสเตอร์ทาร์ทราบว่า
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงพระชนม์ชีพอยู่
เคยมีพระราชดำริที่จะจัดให้มีวงปี่สก๊อตสำหรับนำแถวเสือป่ากรมพรานหลวงรักษาพระองค์
ซึ่งเวลาสวนสนามนั้นเสือป่ากรมนี้มิได้เดินสวนสนามเหมือนเสือป่าเหล่าอื่นๆ
หากแต่วิ่งเหยาะๆ แทน
แต่เนื่องจากไม่มีครูสอนเทคนิคและวิธีการเป่าปี่สก๊อตที่ถูกต้อง
จึงปรากฏว่ามีข้าราชการกรมมหรสพเพียงรายเดียวชื่อนายบุญส่ง
(จำนามสกุลไม่ได้) เป่าปี่สก๊อตได้เพียงคนเดียว
และจะเป่าเป็นเพลงหรือไม่ก็ไม่ทราบ
เพราะนักเรียนเก่าพรานหลวงชุบ ยุวนวณิช
ผู้เล่าเรื่องนี้ก็มิได้บอกไว้
และในเวลานี้ก็ไม่เหลือตัวนักเรียนเก่าโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ให้สอบถามได้อีกเลย
 |
มิสเตอร์สจ๊วต มาร์
พร้อมวงปี่สก๊อตซึ่งไปร่วมบรรเลงในงานวันเซนต์แอนดรูว์
(วันชาติสก๊อตแลนด์) |
เมื่อมิสเตอร์มาทราบถึงแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นแล้ว
จึงได้มอบปี่สก๊อตของตัวท่านเองให้โรงเรียน ๑ คัน
และสั่งซื้อมาให้อีก ๓ คัน รวมกับที่โรงเรียนสั่งซื้อมาอีก
๔ คัน
จึงได้เริ่มจัดวงปี่สก๊อตขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่
๒ โดยมิสเตอร์มาร์ได้อุทิศเวลามาสอนด้วยตนเอง
จนสามารถฝึกนักเรียนให้เป่าปี่สก๊อตได้มากขึ้น
โรงเรียนจึงได้สั่งซื้อปี่พร้อมกลองมาเพิ่มจนจัดเป็นวงปี่สก๊อตที่ได้นำแถวนักเรียนไปในการพิธีต่างๆ
ต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ว่าจะเล่าเรื่องคณะดุสิตถูกระเบิด
แต่ไฉนเลี้ยวออกนอกเรื่องไปจนถึงเรื่องวงปี่สก๊อตได้อย่างไรหนอ
ครั้นจะวกกลับมาเรื่องคณะดุสิตก็ยังอีกยาว
จึงต้องขออนุญาตยกยอดไปตอนต่อไป
|