๒๑.
งานกรีฑา (๙)
 |
สาวพรมจารีย์ทำพิธีขอไฟจากดวงอาทิตย์ที่เทือกเขาโอลิมปัส
(เนินหอนาฬิกา) |
งานกรีฑาปีการศึกษา ๒๔๙๙ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๖
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๐ อันเป็นงานกรีฑาครั้งที่ ๖
ในรัชกาลปัจจุบัน ที่เริ่มมีการจุดคบเพลิงในงานกรีฑา
โดยสมมติให้เนินหอนาฬิกาเป็นภูเขาโอลิมปัส (Olympus)
เมื่อนักเรียนเดินแถวถวายตัวตามประเพณีแล้ว
จึงเริ่มพิธีขอไฟจากดวงอาทิตย์โดยมีนักเรียนแต่งตัวเป็นสาวพรมจารีย์ทำพิธีขอไฟจากดวงอาทิตย์
โดยใช้แว่นรวมแสงเมื่อได้ไฟแล้วได้ต่อไฟสู่คบเพลิงแล้วส่งต่อให้นักกีฬาวิ่งผลัดเปลี่ยนกันเป็นระยะๆ
รอบโรงเรียน เริ่มจากหอนาฬิกาตรงไปคณะผู้บังคับการ
ผ่านตึกพยาบาล (หอประวัติในปัจจุบัน)
เลี้ยวที่มุมสระน้ำตรงคณะดุสิต
วิ่งตรงผ่านข้างตึกวชิรมงกุฎ ผ่านตึกวิทยาศาสตร์ (ตึกเหลืองข้างหอประชุม
ปัจจุบันรื้อไปแล้ว) อ้อมวงกลมหน้าหอประชุม แล้วลงสู่สนาม
วิ่งผ่านหน้าที่ประทับ
วนรอบสนามหน้าแล้วไปจุดที่กระถางคยเพลิงใบใหญ่ที่ด้านหลังคณะพญาไท
ขณะนั้นเองเสียงแต่ดังกังวลขึ้นพร้อมกับการชักธงพระมนูแถลงสาร
และธงพระมหามงกุฎสีน้ำเงินอันเป็นธงกีฬาของโรงเรียน
กับธงประจำคณะต่างๆ ขึ้นสู่ยอดเสา
เป็นสัญญาณเริ่มการแข่งขันกรีฑา
ประเพณีวิ่งคบเพลิงนี้ต่อมาได้ย่นย่อลงเหลือวิ่งจากหอนาฬิกาไปยังกรางคบเพลิง
ซึ่งบางปีก็ย้ายมาอยู่มุมสนามหน้าด้านหอนาฬิกาบ้างก็มี
อนึ่ง ในงานกรีฑาปี พ.ศ. ๒๕๐๐ นี้
นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินี
จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานในงานดังเช่นทุกปีแล้ว
ในปีนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ
เสด็จมาสมทบในเวลาประทับทอดพระเนตรการแข่งขันกรีฑาและการแสดงของนักเรียนเป็นครั้งแรกด้วย
 |
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญาฯ
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดาฯ
และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้าวชิราลงกรณฯ
ประทับทอดพระเนตรการกรีฑาและการแสดงในงานกรีฑา |
ถัดมาใน พ.ศ. ๒๕๐๑
เป็นปีแรกที่เริ่มมีการแสดงตามแบบการแสดง
"ตำนานเสือป่า"
ซึ่งเป็นการแสดงตำนานชาติไทยที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดขึ้นที่สนามสโมสรเสือป่า พระราชวังดุสิต เมื่อ พ.ศ.
๒๔๕๔ และ ๒๔๕๕
แต่การแสดงของนักเรียนในวันนั้นเป็นการแสดงโขนเรื่อง ธรรมาธรรมะสงคราม
พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖
จบแล้วเป็นการฟ้อนรำของนักเรียนคณะเด็กเล็กที่แต่งตัวเป็นนางฟ้าออกมาร่ายรำ
และร้องเพลงนางนาคถวายพระพร
 |
|
 |
ม้าไม้และกระบวนรถศึกในการแสดงตำนานกรีกเรื่อง
ม้าไม้เมืองทรอย
ในงานกรีฑา เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์
๒๕๐๒ |
การแสดงในปีต่อมาเป็นการแสดงตำนานกรีกเรื่อง
"ม้าเมืองทรอย"
มีการสร้างฉากขนาดใหญ่ที่กลางสนามหน้าเป็นภาพวาดเมืองทรอย
รวมทั้งมีการสร้างม้าไม้ขนาดใหญ่ที่ใช้ประกอบการแสดงเป็นครั้งแรก
ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นผลงานที่รังสรรค์ขึ้นด้วยความสามัคคีของคุณครูศิลปะและนักเรียน
ที่พร้อมใจกันรังสรรค์ฉากที่ยิ่งใหญ่นั้นในช่วงเวลาว่างจากการเล่าเรียน
ทั้งนี้ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้าฯ
หาที่สุดมิได้
นอกจากผลงานการรังสรรค์ฉากขนาดใหญ่แล้ว
การแสดงชุดม้าเมืองทรอยนี้ยังมีการจัดสร้างรถศึกและมีม้าจริงที่ได้รับความอนุเคราะห์จากกองพันทหารม้าที่
๑
รักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมาเข้าฉาก
ซึ่งทำให้การแสดงดูสมจริงยิ่งขึ้นขึ้น
 |
การแสดงตำนานชาติไทย
ตอนสมเด็จพระนเรศวรปีนค่ายพม่า |
นับจากการแสดงเรื่องม้าเมืองทรอยใน พ.ศ. ๒๕๐๑
ซึ่งนักเรียนเป็นผู้คัดเลือกเรื่องที่จะแสดงแล้วนำเรียนท่านผู้บังคับการเพื่อขอความเห็นชอบในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว
ในปีต่อๆ มาทางโรงเรียนได้พิจารณาเห็นว่า ใน
"งานคณะเทอม ๒"
ซึ่งเป็นงานสังคมที่โรงเรียนกำหนดให้นักเรียนแต่ละคณะจัดขึ้นก่อนปิดภาคปวารณาในเดือนพฤศจิกายน
ในงานของคณะต่างๆ
นอกจากจะมีงานเลี้ยงสังสรรค์กันภายในคณะแล้ว
ยังมีการออกบัตรเชิญท่านผู้บังคับการ ผู้กำกับคณะ คณาจารย์
และนักเรียนที่ร่วมกิจกรรมของโรงเรียนโดยเป็นกรรมการในสมาคมต่างๆ
ไปร่วมเป็นเกียรติในงานของแต่ละคณะที่จัดหมุนเวียนกันไป ๔
วันติดต่อกัน
และในงานคณะนี้เองที่แต่ละคณะต่างก็ลงทุนจัดการแสดงมาประกวดประขันกัน
จึงเกิดการประกวดการแสดงระหว่างคณะ
และการแสดงของคณะที่ชนะเลิศในแต่ละปีใดก็จะได้รับการคัดเลือกไปจัดแสดงถวายทอดพระเนตรในงานกรีฑา
การแสดงในช่วงเวลาต่อมาจึงมีหลากหลายทั้งในรูปแบบการแสดงตำนานตะวันตก
เช่น คลีโอพัตรา หรือตำนานชาติไทย เช่น
สงครามยุทธหัตถีที่มีการสร้างช้างจำลองมาชนกันจริงๆ ในสนาม
หรือ "ตำนานวชิราวุธ"
ซึ่งกล่าวถึงอาวุธของพระอินทร์
อันทำให้เกิดศัพท์เฉพาะขึ้นในหมู่นักเรียน
เพราะผู้แสดงคนหนึ่งเกิดไปหลับในห้องเรียน
เมื่อถูกคุณครูปลุกพร้อมคำถามว่า "เมื่อคืนเธอไปทำอะไรมา
ถึงไม่ได้หลับได้นอน"
นักเรียนคนนั้นได้กล่าวตอบคุณครูด้วยความภาคภูมิใจว่า
"ไปเฝ้าพระอินทร์มาครับ"
นอกจากคำว่าไปเฝ้าพระอินทร์แล้ว
งานกรีฑายังทำให้เกิดคำศัพท์ขึ้นอีกคำคือ
"รถพระอินทร์"
รถพระอินทร์จะเกี่ยวข้องอย่างไรกับการแสดงตำนานวชิราวุธหรือไม่
ยังไม่พบข้อมูลที่แน่ชัด
แต่สมัยหนึ่งมีการจัดแสดงเห่เรือสุพรรณหงส์
เป็นการแสดงการพายเรือสุพรรณหงส์บนสนามหญ้าผ่านหน้าที่ประทับ
และมีการเห่ด้วยบทเห่เรือ "นาวาวชิราวุธ"
ซึ่งเป็นบทประพันธ์ของคุณครูจำรัส จันทรางศุ
 |
ภาพวาดรถพระอินทร์ ผลงาน ไตรธวีช ศีติสาร
OV46 |
เรือสุพรรณหงส์ที่นำมาพายเห่ถวายทอดพระเนตรนั้นมีโขลนเรือและลำเรือแกะสลักเป็นรูปเรือสุพรรณหงส์จริงๆ
เลยทีเดียว
แต่มีผ้าสีแดงปิดช่วงท้องเรือไปจนถึงพื้นสนามหญ้า
เปรียบได้กับเรือลอยอยู่บนสายน้ำ
ทั้งที่ภายในลำเรือนั้นเป็นโครงไม้มีล้อยางตันเรียงกันไป
ข้างฝ่ายนักเรียนก็แต่งเครื่องแบบสวมเสื้อราชปะแตนสวมหมวกทรงประพาสแสดงท่าพายเหมือนจริง
เสร็จงานแล้วก็มีการรื้อโครงเรือไปทำเป็นรถพระอินทร์สำหรับคนงานใช้ขนสิ่งของกันภายในโรงเรียน
และเป็นอุปกรณ์การเล่นของนักเรียนในยามว่างและในเวลาวิกาล
ซึ่งบางคราวรถพระอินทร์ก็ตกไปอยู่ในสระน้ำหลังตึกขาวบ้าง
บ้างก็ไปไกลถึงตลาดโต้รุ่งประตูน้ำ แถวๆ
ห้างสรรพสินค้าแพลตินั่มในปัจจุบัน
ในช่วงรื้อฟื้นการจัดงานกรีฑาในรัชกาลปัจจุบันนั้น
เป็นช่วงที่โรงเรียนเพิ่งจะฟื้นตัวจากความเสียหายที่ได้รับจากสงครามโลกครั้งที่
๒ ประกอบกับสมาคมนักเรียนเก่าฯ
ได้จัดสรรเงินรายได้จากการจัดงานวชิราวุธานุสรณ์มาให้โรงเรียนจัดสร้างถาวรวัตถุที่ยังขาดแคลนให้สมบูรณ์
ในการเสด็จพระราชดำเนินงานกรีฑาของโรงเรียนในแต่ละปี
ก่อนจะเสด็จขึ้นหอประชุมจึงมักจะมีกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดถาวรวัตถุต่างๆ
อยู่เสมอ
ซึ่งเมื่อทรงเปิดถาวรวัตถุนั้นแล้วเหตุการณ์ก็เป็นปกติมาทุกปี
จนถึงคราวเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดสระว่ายน้ำที่อยู่ระหว่างตึกพยาบาลกับสนามเทนนิสในตอนบ่าย
พอตกเย็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินกลับแล้ว
ก็มีการเปิดสระว่ายน้ำย่างไม่เป็นทางการโดยนักเรียนคณะพญาไท
เพราะในสมัยนั้นน้ำประปาในกรุงเทพฯ ไหลอ่อนมาก
โดยเฉพาะในเวลาเย็นเปิดก๊อกน้ำแต่ละทีแทบจะไม่มีน้ำไหลให้อาบกัน
แล้วต่อด้วยการเปิดสระรอบดึกโดยนักเรียนคณะผู้บังคับการ
ดุสิต และจิตรลดา
แต่การเปิดสระรอบดึกนั้นไม่พ้นสายตาครูอุดม รักตประจิต
ผู้กำกับคณะดุสิต
ซึ่งผลเป็นอย่างไรนักเรียนในช่วงเวลานั้นคงจำกันได้ดี
งานกรีฑาในแต่ละปีนั้นนับได้ว่าเป็นงานที่เชิดหน้าชูตาของโรงเรียนเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากการแข่งขันกรีฑาและการแสดง ของนักเรียนแล้ว
คุณหญิงภะรตราชา (ต่อมาเป็นท่านผู้หญิงขจร ภะรตราชา)
และคุณครูสตรียังได้ร่วมกันจัดพระสุธารสถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศ์
โดยมีนักเรียนทำหน้าที่มหาดเล็กตั้งเครื่อง
รวมทั้งจัดอาหารว่างเลี้ยงรับรองผู้มาร่วมงานเช่นเดียวกับที่เคยจัดกันมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
การแสงในแต่ละปีกว่าจะจบสิ้นลง
และเสร็จการพระราชทานถ้วยรางวัลในแต่ละปีนั้น
ก็ล่วงเวลาใกล้จะพลบค่ำลงทุกปี
แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และพระบรมวงศ์ก็ทรงพระมหากรุณาประทับให้เหล่าราชบริพารนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทและแสดงความจงรักภักดีให้ปรากฏแก่สายพระเนตรทุกปีมา
แต่เมื่อมีพระราชกรณียกิจสำคัญของประเทศชาติเพิ่มมากขึ้น
ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗
เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
จนเริ่มมีพระอาการประชวร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
เสด็จแทนพระองค์อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
ครั้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
เสด็จไปทรงศึกาวิชาการบินที่ต่างประเทศ ก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา
สิริโสภาพัณณวดี เสด็จแทนพระองค์ต่อมาจนประชวรด้วยโรคชรา
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
เสด็จแทนพระองค์มาอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินในงานกรีฑาครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗
แล้ว การแสดงในสนามก็เริ่มลดลงจนเลิกไปในที่สุด
แล้วการแสดงผลงานศิลปหัตถกรรมและผลงานทางวิทยาศาสตร์ก็ทยอยล้มเลิกตามไป
คงเหลือแต่งานพระราชทานประกาศนียบัตรและรางวัลที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
ได้ทรงรับพระราชภาระเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์เป็นประจำทุกปีมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนงานกรีฑาและการแสดงผลงานของนักเรียนเพิ่งจะมารื้อฟื้นจัดขึ้นเป็นกิจกรรมภายในของโรงเรียนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ในอดีตเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินกลับ
เป็อันเสร็จงานกรีฑาในแต่ละปีแล้ว
นักเรียนก็จะแยกย้ายกันกลับคณะอาบน้ำและแต่งชุดนักเรียนปกติไปร่วมงานเลี้ยงโต๊ะจีนที่สนามบาสเกตบอลข้างคณะผู้บังคับการ
(ต่อมาย้ายมาจัดที่อินดอร์สเตเดียมและสนามข้างหอประชุมตามลำดับ)
เสร็จจากรับประทานโต๊ะจีนแล้วก็แยกย้ายกันกลับคณะ
และก่อนจะเข้านอนในคืนนั้นมักจะมีกิจกรรม
"สามัคคีสี่คณะ ปาเจ๊กเฉ่า"
ซึ่งจะได้นำมาเล่าในโอกาสต่อไป
รุ่งขึ้นเก้านาฬิกาครูและนักเรียนทุกคนขึ้นหอประชุม
สวดมนต์แล้วท่านผู้บังคับการเชิญพระราชกระแสมาแจ้งให้นักเรียนทราบ
และกล่าวขอบใจทุกคนที่ร่วมกันจัดงานกรีฑาจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี
ถัดจากนั้นเป็นการมอบของที่ระลึกให้แก่นกเรียน
ซึ่งหัวหน้าแต่ละคณะเป็นผู้ออกไปรับมอบแล้วนำมาแจกจ่ายแก่นักเรียนในคณะ
แต่มีเหตุการณ์พิเศษอยู่สองเหตุการณ์ คือ
เมื่อมีการแจกเข็มขัดที่หัวเข็มขัดเป็นตราพระมหามงกุฎอย่างที่นักเรียนใช้กันอยู่ทุกวันนี้
ท่านผู้บังคับการได้ประกาศเรียกนักเรียนคณะจิตรลดาคนหนึ่งออกไปรับเข็มขัดที่มีขนาดพิเศษ
เพราะเข็มขัดปกติไม่สามารถรัดรอบเอวของนักเรียนคนนั้นได้
กับอีกเหตุการณ์หนึ่ง คือ ท่านผู้บังคับการประกาศเรียก
นายแวน เลณบุรี (ปัจจุบัน ร.ต.อ.แวน เลณบุรี)
นักเรียนคณะพญาไทออกไปรับของที่ระลึกพิเศษเป็นกระเป๋าหนังสีดำพิมพ์ลายพระมหาวชิรมงกุฎสีทอง
(ปัจจุบันกระเป๋าใบนี้อยู่ที่หอประวัติของโรงเรียน)
เหตุที่ท่านผู้บังคับการกล่าวเช่นนั้นเป็นเพราะ
นายแวน เลณบุรี
คนนี้เล่นรักบี้ทีมโรงเรียนมาตั้งแต่เรียนชั้น ม.ศ. ๑ (ปัจจุบันคือ
มัธยมปีที่ ๒) และติดทีมชาติตั้งแต่ ม.ศ. ๓ (ปัจจุบันคือ
มัธยมปีที่ ๔)
ได้รับเครื่องหมายสามารถกีฬาของโรงเรียนจนถึงชั้นสามารถพิเศษเหนือพิเศษ
จนสุดท้ายท่านผู้บังคับการต้องมอบกระเป๋าหนังให้เป็นพิเศษ
พร้อมกับกล่าวว่า "โรงเรียนไม่มีอะไรจะให้เธออีกแล้ว
จึงขอมอบกระเป๋าในบี้ให้
และถ้าเธอยังจะอยู่ต่อเห็นทีจะต้องปลูกบ้านให้เธออยู่ที่สนามหลัง"
นอกจากสองเรื่องข้างต้นแล้ว
ก็เห็นจะมีเหตุการณ์ในความทรงจำอีกเรื่องหนึ่ง คือ
การแจกรางวัลนักเรียนผู้กระทำพิธีเปิดสระว่ายน้ำตอนกลางดึก
ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องของงานกรีฑาในความทรงจำของนักเรียนวชิราวุธหลากรุ่นหลายวัย
ที่สามารถเล่าได้ไม่รู้จบ
แต่เห็นทีจะต้องขอจบเรื่องงานกรีฑาที่มีวิวัฒนาการมาแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ไว้แต่
เพียงนี้
|