๒๘.
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
กับ
วชิราวุธวิทยาลัย
(ตอนที่ ๑)
นับแต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติสืบต่อจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่
๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ แล้ว
ก็ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเกี่ยวด้วยวชิราวุธวิทยาลัยมาโดยลำดับ
ซึ่งจะขอหยิบยกขึ้นกล่าวตามลำดับ ดังนี้
จัดระเบียบราชการในพระราชสำนัก พ.ศ. ๒๔๖๙
สืบเนื่องมาจากในตอนต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เกิดเหตุวิกฤติในแบงก์สยามกัมมาจล
หรือปัจจุบันคือธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) ในปัจจุบัน
ทำให้พระคลังข้างที่ต้องได้รับความเสียหายไปกว่า ๑.๖
ล้านบาท
ประกอบกับการที่ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวนมากในการจัดตั้งส่วนราชการต่างๆ
เพื่อการป้องกันประเทศ เช่น ทรงตั้งกรมทหารรักษาวัง ว.ป.ร.
กองเสือป่าและลูกเสือ รวมทั้งทรงตั้ง กรมมหรสพ
และกรมศิลปากรขึ้นในพระราชสำนัก
เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูงานนาฏดุริยางคศิลป์
งานวิจิตรศิลปกรรมไทย
นอกจากนั้นยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์เป็นจำนวนมากในแต่ละปีเพื่อการ
"สร้างคน" ตามแนวพระราชดำริ
ผ่านทางโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์
ผลจากการที่ได้ทรงใช้จ่ายพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นจำนวนมากในแต่ละปีดังกล่าว
แต่ในขณะเดียวกันกระทรวงพระคลังมหาสมบัติซึ่งเคยสัญญามาแต่ต้นรัชกาลว่าจะจัดเงินปีถวายเพิ่มปีละ
๕๐๐,๐๐๐ บาท จากปี พ.ศ. ๒๔๕๔ ที่จัดถวายปีละ ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ก็หาได้จัดถวายจนเวลาล่วงมาหลายปีจึงได้ทยอยจัดถวายจนครบจำนวนปีละ
๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท
แล้วก็มิได้จัดถวายเพิ่มตามที่สัญญาไว้อีกต่อไป
คงถวายเพียงปีละ ๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาตราบจนเสด็จสวรรคต
เนื่องมาจากเงินที่รัฐบาลจัดถวายในแต่ละปีมิได้สัมพันธ์กับรายจ่ายในพระราชสำนักนั้นเอง
จึงส่งผลให้ในตอนปลายรัชสมัยเกิดวิกฤติรายจ่ายในพระราชสำนัก
และทำให้จำต้องทรงจัดให้มีองคมนตรีตรวจตัดงบประมาณรายจ่ายในพระราชสำนัก
โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ
ทรงเป็นสภานายก และ มีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ
กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเป็นกรรมการ
กรรมการตรวจตัดรายจ่ายในพระราชสำนักได้ประชุมพิจารณากันแล้ว
ได้มีมติให้เริ่มตัดรายจ่ายด้วยการยุบเลิกกองพันที่ ๓
กรมทหารรักษาวัง ว.ป.ร. ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งขึ้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
เพื่อทำหน้าที่ป้องกันพระราชอาณาเขตในคาบสมุทรมลายู
ซึ่งรัฐบาลสยามมีข้อตกลงลับกับอังกฤษที่จะไม่ส่งกองทหารลงไปประจำการ
กับยุบเลิกโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่
เสียตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๘
แต่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่นั้นคงให้เปิดการเรียนการสอนต่อไปจนนักเรียนสอบไล่ประจำปีแล้วเสร็จ
แล้วจึงให้ยุบเลิกให้เสร็จสิ้นเสียตั้งแต่วันที่ ๓๑ มกราคม
พ.ศ. ๒๔๖๘ (สมัยนั้นยังเปลี่ยนปี พ.ศ. กันในวันที่ ๑
เมษายน)
ซึ่งการยุบเลิกส่วนราชการทั้งสองนั้นทำให้สามารถประหยัดพระราชทรัพย์ลงได้ปีละ
๓๒๐,๐๐๐ บาท แยกเป็นส่วนของกองพันที่ ๓ ทหารรักษาวัง
ว.ป.ร. ปีละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท
และโรงเรียนมหาดเล็กหลวงมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่ ปีละกว่า
๑๒๐,๐๐๐ บาท
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
นอกจากจะมีพระราชดำริให้ดำเนินการตัดทอนรายจ่ายในพระราชสำนักต่อจากที่ดำเนินมาในตอนปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว
ยังได้โปรดเกล้าฯ
ให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติปรับลดเงินปีที่เคยจัดถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวปีละ
๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ลงเหลือเพียงปีละ ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท
เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ เป็นต้นมา
และด้วยเหตุที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รัฐบาลจัดถวายเงินปีในจำนวนที่ลดน้อยลงถึง ๑ ใน ๓
เช่นนั้น
จึงทำให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องปรับลดส่วนราชการในพระราชสำนักให้เหมาะสมกับจำนวนเงินที่ลดลง
ในการนี้จึงได้โปรดเกล้าฯ
ให้ยุบเลิกส่วนราชการในพระราชสำนักลงบางส่วน อาทิ
ยุบเลิกกรมมหรสพ กรมศิลปากร ยุบรวมกรมพระอัศวราช กรมชาวที่
เข้ากับกรมมหาดเล็ก
แล้วยกกรมมหาดเล็กที่เดิมเป็นส่วนราชการอิสระขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปรวมเป็นกรมหนึ่งในกระทรวงวัง
พร้อมกันนั้นยังได้โปรดเกล้าฯ
ให้ปรับอัตรากำลังกรมทหารรักษาวัง ว.ป.ร. จากเดิม ๒
กองพันๆ ละ ๔ กองร้อย ลงเหลือเพียง ๒ กองร้อย
ผลของการปรับลดส่วนราชการในพระราชสำนักคราวนั้น
นอกจากจะทำให้ส่วนราชการจำนวนมากจำต้องถูกยุบเลิกไปแล้ว
ยังทำให้ข้าราชการในพระราชสำนักอีกกว่าพันคนทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยต้องถูกดุลยภาพออกรับพระราชทานบำเหน็จบำนาญ
อนึ่ง ในการยุบเลิกส่วนราชการในพระราชสำนักในคราวนั้น
นอกจากกรมบัญชาการกลางมหาดเล็กซึ่งบังคับบัญชากรมโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์จะถูกยุบเลิกไปแล้ว
ยังส่งผลให้โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์อีก ๓ โรงเรียน คือ
โรงเรียนมหาดเล็กหลวงมหาดเล็กหลวง โรงเรียนราชวิทยาลัย
และโรงเรียนพรานหลวงต้องถูกยุบเลิกไปพร้อมกันในวันที่ ๑
เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๙ ด้วย
แต่เนื่องด้วยเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ
อยุธยา) เสนาบดีกระทรวงศึกาธิการ
อดีตกรรมการจัดการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
และพระยาบรมบาทบำรุง (พิณ ศรีวรรธนะ)
ผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ต่างก็ถวายฎีกาคัดค้านโดยอ้างว่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้นเฉลิมพระราชศรัทธาแทนการสถาปนาพระอารามหลวงตามโบราณราชประเพณี
ฉะนั้นหากจะโปรดเกล้าฯ ให้ยุบเลิกโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเสีย
ก็จะเป็นการยุบพระอารามหลวงประจำรัชกาลซึ่งเป็นการผิดำระราชประเพณี
ในขณะเดียวกันพระราชธรรมนิเทศ (เพียร ไตติลานนท์)
ผู้บังคับการโรงเรียนราชวิทยาลัยก็ได้ถวายฎีกาคัดค้าน
โดยอ้างว่า
เมื่อกระทรวงยุติธรรมรับโอนโรงเรียนราชวิทยาลัยมาจากกระทรวงธรรมการในตอนปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น
กระทรวงธรรมการได้จัดสรรงบประมาณให้กระทรวงยุติธรรมเป็นค่าใช้จ่ายของโรงเรียนราชวิทยาลัยปีละ
๑๒๐,๐๐๐ บาท
และเมื่อกระรวงยุติธรรมขอพระราชทานถวายโรงเรียนราชวิทยาลัยมาขึ้นสภากรรมการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงใน
พ.ศ. ๒๔๕๙
กระทรวงยุติธรรมก็ได้โอนเงินจำนวนดังกล่าวมาให้กรมมหาดเล็กเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของโรงเรียนราชวิทยาลัยต่อมา
และเมื่อมีพระราชดำริให้จัดตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวงที่จังหวัดเชียงใหม่ในตอนปลาย
พ.ศ. ๒๔๕๙ นั้น ก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้กรมมหาดเล็กทำความตกลงกับกระทรวงธรรมการขอตัดโอนเงินจำนวน
๓๐,๐๐๐ บาท จากยอดเงินสนับสนุนโรงเรียนราชวิทยาลัยปีละ
๑๒๐,๐๐๐ บาท
ไปเป็นงบประมาณรายจ่ายของโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่
โรงเรียนราชวิทยาลัยจึงคงเหลือเงินสนับสนุนจากงบประมาณกระทรวงธรรมการปีละ
๙๐,๐๐๐ บาท
และได้ใช้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวรวมกับเงินส่วนพระราชทานเป็นรายปีในการบริหารจัดการโรงเรียนราชวิทยาลัยมาตราบจนโรงเรียนต้องปิดลงเพราะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต
แต่เนื่องจากพระราชธรรมนิเทศเห็นว่า
หากจะให้โรงเรียนราชวิทยาลัยคงเปิดดำเนินการต่อไปโดยอาศัยเงินสนับสนุนจากกระทรวงศึกษาธิการปีละ
๙๐,๐๐๐ บาทแล้ว ก็น่าจะคงเปิดโรงเรียนราชวิทยาลัยต่อไปได้
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรฎีกาทั้ง
๓ ฉบับแล้ว ได้มีพระบรมราชวินิจฉัยว่า หากจะโปรดเกล้าฯ
ให้ดำรงโรงเรียนต่อไปก็ไม่มีพระราชทรัพย์พอที่จะทรงอุดหนุนโรงเรียนนี้เช่นในรัชกาลก่อน
เพราะได้โปรดเกล้าฯ ให้ตัดทอนรายจ่ายในพระราชสำนักลงถึง ๑
ใน ๓ เพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนเงินที่รัฐบาลจัดถวายปีละ
๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท และหากจะทรงยุบเลิกโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเสีย
ก็จะเป็นการผิดพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นจำนวนมากจัดสร้างโรงเรียนถาวรไว้ที่สวนกระจังในเขตพระราชวังดุสิต
เพื่อให้เป็นประดุจพระอารามหลวงประจำรัชกาล
จึงมีพระราชดำริว่า
หากทรงยุบเลิกโรงเรียนราชวิทยาลัยและโปรดเกล้าฯ
ให้โอนเงินที่กระทรวงศึกษาธิการจัดถวายปีละ ๙๐,๐๐๐ บาท
มาเป็นค่าใช้จ่ายของโรงเรียนมหาดเล็กหลวงแล้ว
ก็จะทรงรักษาโรงเรียนมหาดเล็กหลวงที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชศรัทธาให้สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวงไว้แทนพระอารามหลวงไว้ได้
ในที่สุดจึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ยกโรงเรียนราชวิทยาลัยมารวมกับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
กับได้โปรดเกล้าฯ
ให้โอนครูและข้าราชการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงไปเป็นข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ
มาตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๙
ส่วนชื่อโรงเรียนมหาดเล็กหลวงนั้น ทรงพระราชดำริว่า
โดยที่ชื่อของโรงเรียนนั้นส่อให้เข้าใจไปว่า
นักเรียนที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนี้แล้วจะได้เข้ารับราชการในกรมมหาดเล็ก
เช่นเดียวกับที่นักเรียนนายร้อยเมื่อสำเร็จการศึกษาย่อมได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นนายทหารในกองทัพบก
ซึ่งชื่อโรงเรียนที่เป็นเช่นนั้นไม่ต้องด้วยพระราชนิยม
จึงมีพระราชประสงค์ให้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็นอย่างอื่น
ครั้นเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้รับสนองพระราชดำริและได้คิดชื่อโรงเรียนใหม่ขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาเรียนพระราชปฏิบัติเมื่อต้นเดือนเมษายน
พ.ศ. ๒๔๖๙ แล้ว จึงได้โปรดเกล้าฯ
ให้ออกประกาศพระบรมราชโองการวางรูปการและพระราชทานนามโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ซึ่งมีเนื้อความดังนี้
"ประกาศ
วางรูปการและพระราชทานนามโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
**********************************
มีพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรหาประชาธิปก
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรัสเหนือเกล้าฯ
สั่งว่า โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ซึ่งสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช
พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๖
ได้ทรงสถาปนาขึ้น เพื่อให้เปนอนุสาวรีย์
ดุจพระอารามหลวงประจำรัชกาลของพระองค์
โดยพระราชประสงค์ให้เปนสถานศึกษาอันดีของกุลยุตร์
และดำรงอยู่ได้มั่นคงสืบไปภายหน้า
จึงได้ทรงวางรูปการอันเป็นหลักสำคัญไว้แล้ว
๒ ประการ คือ
ได้พระราชทานทุนทรัพย์ไว้เป็นกำลัง
เพื่อให้โรงเรียนมีผลประโยชน์เลี้ยงตัวเองได้ในภายหน้า
ประการ ๑
ได้ทรงตั้งหลักวิธีปกครองด้วยสภากรรมการไว้สำหรับดูแลจัดการให้เปนไปในทางที่ควร
ประการ ๑
บัดนี้ทรงพระราชดำริห์ว่า
เปนการสมควรที่จะส่งเสริมฐานะของโรงเรียนนี้ให้สถาพรพัฒนายิ่งขึ้น
เพื่อเปนที่เชิดชูพระเกียรติยศแห่งสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศสถิติของโรงเรียนดังต่อไปนี้ คือ
๑. ให้โรงเรียนอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์
๒. ให้ขึ้นแก่สภากรรมการจัดการ
ส่วนนามของโรงเรียนนั้น
ทรงพระราชดำริห์ว่า
บัดนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้โรงเรียนนี้กับโรงเรียนราชวิทยาลัยรวมเปนโรงเรียนเดียวกันแล้ว
สมควรจะมีนามอันทรงไว้ซึ่งความเปนอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช
และโรงเรียนราชวิทยาลัยด้วย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานนามโรงเรียนว่า
โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
ประกาศมา ณ วันที่ ๑๖ เมษายน
พุทธศักราช ๒๔๖๙ เปนปีที่ ๒
ในรัชกาลปัจุบันนี้" |
|
 |
|
|
********************************** |
|
|