๑๒.
คณะดุสิต (๒)
ฝากเรื่องราวไว้กับน้องๆ
ตอนที่แล้วได้กล่าวถึงการวางศิลาพระฤกษ์ตึกคณะดุสิตนี้พร้อมกับหอประชุมและตึกคณะอีก
๓ คณะ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๘
โดยตอนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า ถัดมาอีก
๒
สัปดาห์ก็เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาพระฤกษ์โรงเรียนข้าราชการพลเรือน
จ.ป.ร. เมื่อวันจันทร์ที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๘
เมื่อบทความดังกล่าวได้เผยแพร่ผ่านหน้าเวบของโรงเรียนแล้ว
ได้มีท่านผู้อ่านส่งคำทักท้วงมาว่า
ผู้เขียนระบุวันที่เสด็จพระราชดำเนินวางศิลาพระฤกษ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยผิดปีไปหรือเปล่า
เพราะถ้าห่างกัน ๒ สัปดาห์ดังที่ว่า
วันที่เสด็จพระราชดำเนินวางศิลาพระฤกษ์โรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ
ก็น่าจะเป็นวันจันทร์ที่ ๓ มกราคม ๒๔๕๙
ข้อทักท้วงของท่านผู้อ่านนั้นเป็นกำลังใจสำหรับผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง
แม้ข้อผิดพลาดเล็กๆ ท่านยังกรุณาแจ้งมาให้ทราบ
ซึ่งทำให้ระลึกขึ้นมาได้ว่า ตอนที่เขียนบทความนั้นอยู่
ก็นึกอยู่เหมือนกันว่า น่าจะต้องอธิบาไว้ด้วยว่า
สมัยก่อนนั้นสยามประเทศเราเคยใช้ปฏิทินจันทรคติกันมาแต่โบราณ
เพิ่งจะเปลี่ยนมาใช้ปฏิทินสุริยคติที่แบ่งเป็น ๑๒ เดือนๆ
หนึ่งมี ๓๐ หรือ ๓๑ วันเช่นทุกวันนี้
ก็เมื่อกว่าร้อยปีมานี้เอง
เนื่องจากการคำนวณหาวันทางจันทรคตินั้นเป็นเรื่องซับซ้อน
บางปีมีเดือนแปดสองครั้ง
การอ้างอิงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์จึงเป็นเรื่องที่ผิดพลาดได้ง่าย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้โปรดเกล้าฯ
โปรดให้เปลี่ยนมาใช้วิธีนับวันแบบสุริยคติดังเช่นสากลนิยม
โดยโปรดให้เริ่มนับเดือนเมษายนเป็นเดือนแรกของปี
จากนั้นมาไทยเราจึงได้ใช้วันที่ ๑ เมษายน
เป็นวันเริ่มต้นปี และไปสิ้นสุดปีในวันที่ ๓๑ มีนาคม
และในคราวเดียวกันนั้นก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้เลิกใช้จุลศักราชหรือ จ.ศ.
ซึ่งใช้กันมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
เปลี่ยนมาใช้รัตนโกสินทรศก หรือ ร.ศ. ซึ่งเริ่มนับ ร.ศ. ๑
ตั้งแต่ปีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนากรุงเทพฯ
เป็นพระมหานครแทนกรุงธนบุรีแทน
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชดำริว่า
...ศักราชรัตนโกสินทร
ซึ่งใช้อยู่ในราชการเดี๋ยวนี้
มีข้อบกพร่องสำคัญอยู่
คือเปนศักราชที่สั้นนัก
จะกล่าวถึงเหตุการณใดๆ ในอดีตภาคก็ขีดข้อง
ด้วยว่าพอกล่าวถึงเรื่องราวที่ก่อนสร้างกรุงขึ้นไปแล้วก็ต้องหันไปใช้จุลศักราชบ้าง
มหาศักราชบ้าง และในฃ้างวัดใช้พุทธศักราช
ฝ่ายคนไทยสมัยใหม่ที่อยากจะกล่าวถึงเหตุการณ์อันมีมาก่อนสร้างกรุงรัตนโกสินทร์นี้
ก็มักหันไปใช้คฤสตศักราช
ซึ่งดูเปนการเสียรัศมีอยู่
จึ่งเห็นว่าควรใช้พุทธศักราช
จะเหมาะดีด้วยประการทั้งปวง
เปนศักราชที่คนไทยเรารู้จักซึมทราบดีอยู่แล้ว
ทั้งในประกาศใช้พุทธศักราชอยู่แล้ว
และอีกประการ ๑
ในเวลานี้ก็มีแต่เมืองไทยเมืองเดียวที่มีพระเจ้าแผ่นดินถือพระพุทธศาสนา
ดูเปนการชอบมาพากลอยู่มาก ...ในส่วนทางพุทธจักรเสด็จ [๑]
ก็ทรงยอมรับแล้วว่าให้เริ่มปีวันที่ ๑
เมษายน เพราะกรมเทววงษ์ [๒]ได้ทรงคำนวณดูตามทางปักขคณ
ได้ความว่า วันประสูติ ตรัสรู้
และปรินิพพาน
แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น
อันที่จริงตกในกลางเดือนเมษายน
ที่คลาศเคลื่อนเลื่อนเลยไปนั้น
เปนโทษแห่งประดิทินที่เทียบผิดคลาศมาทีละน้อยๆ
เท่านั้น...
[๓] |
จากนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เริ่มใช้พุทธศักราชเป็นศักราชในทางราชการมาตั้งแต่วันที่
๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖
ซึ่งการใช้พุทธศักราชในทางราชการของไทยเราก็จะครบ ๑๐๐
ปีในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖ นี้แล้ว
ไทยเราได้ใช้วันที่ ๑
เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่มาจนถึง พ.ศ. ๒๔๘๓
สภาผู้แทนราษฎรจึงได้พร้อมกันลงมติเห็นชอบให้เปลี่ยนปีปฏิทินให้เหมาะสมแก่กาลสมัย
และคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลได้โปรดเกล้าฯ
ให้ตรา พระราชบัญญัติปีประดิทิน พุทธศักราช ๒๔๘๓
ขึ้นไว้เมื่อวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๓
ซึ่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้บัญญัติให้
ปีประดิทินนั้นให้มีกำหนดระยะเวลาสิบสองเดือน
เริ่มแต่วันที่ ๑ มกราคม
และสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม
ปีซึ่งเรียกว่า ปีพุทธศักราช ๒๔๘๓
ให้สิ้นสุดลงวันที่ ๓๑ ธันวาคม
ที่จะถึงนี้ และปีซึ่งเรียกว่า
ปีพุทธศักราช ๒๔๘๔ ให้เริ่มแต่วันที่ ๑
มกราคม ต่อไป
[๔] |
นับแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔
ประเทศไทยจึงได้เปลี่ยนมาใช้ปีปฏิทินเช่นเดียวกับนานาประเทศ
ฉะนั้นการนับปีสำหรับเหตุการณ์ในระหว่างเดือนมกราคม -
มีนาคม ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔
จึงยังต้องนับปีปฏิทินแบบเก่า ที่เริ่มปีใหม่ในวันที่ ๑
เมษายน
-----------------------------------
ในตอนปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น
ได้มีพระราชหัตถเลขาฉบับหนึ่งลงวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๗
พระราชทานไปยังไปยังนายเมนาร์ด วิลโลบี คอลเชสเตอร์-วีมซ
(Maynard Willoughby Colchester-Wemyess) พระสหายชาวอังกฤษ
มีความตอนหนึ่งว่า
ที่คุณถามมาในจดหมายฉบับที่
๓๑๓ เกี่ยวกับฐานทัพเรือที่สิงคโปร์นั้น
ฉันเกรงว่าจะไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก
คงได้แต่ให้ความเห็นส่วนตัวของฉัน
ถ้าจะมีค่าอะไรบ้าง
ฉันคิดว่าทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าฐานทัพนี้จำเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าบริเทนใหญ่ตั้งใจจะเสนอความช่วยเหลือที่ได้ผลจริงๆ
ต่อออสเตรเลีย
หากว่าทวีปนั้นถูกคุกคามด้วยกองกำลังต่างชาติ
โดยไม่ต้องพูดอ้อมค้อมทุกคนรู้ (แม้ว่าน้อยคนจะยอมรับ)
ว่า
กองกำลังซึ่งอาจคุกคามออสเตรเลียก็คือญี่ปุ่น
และคนญี่ปุ่นก็รู้ข้อเท็จจริงดีว่าฐานทัพเรือสิงคโปร์นั้นจะสร้างขึ้นเพื่อเป็นเสมือนเครื่องสกัดกั้นความทะเยอทะยานของตน
ในสำนวนไทยของเรา
ฐานทัพที่สิงคโปร์ในสายตาของญี่ปุ่นคือ ก้างขวางคอ
เพราะฐานทัพนี้จะหยุดยั้งการใช้กำลังโจมตีออสเตรเลียโดยฉับพลันได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
ถ้าหากญี่ปุ่นเกิดมุ่งหมายจะทำอะไรแบบนั้น
แน่นอนที่ปัจจุบันนี้ญี่ปุ่นไม่อยู่ในสภาพที่จะขยายจักรวรรดิออกไปและจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีกเป็นเวลานานหลายปีทีเดียว
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าญี่ปุ่นได้ล้มเลิกความความทะเยอทะยานทั้งหมด
ญี่ปุ่นไม่เคยทำเช่นนั้นเลย
คนญี่ปุ่นมีความอดทนที่น่าอัศจรรย์อย่างที่สุด
และเขาอาจต้องรอคอยเป็นปีๆ
หรือแม้กระทั่งหลายชั่วอายุคน
ก่อนที่จะสมารถหวังที่จะทำให้เป็นความจริงขึ้นมา...
[๕]
|
 |
แผนที่แสดงการยกกำลังเข้ารุกรานประเทศไทยของกองทัพญี่ปุ่น
เมื่อเช้ามืดวันที่ ๘ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๔๘๔ |
ต่อมาในตอนเช้ามืดของวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
ญี่ปุ่นก็ได้ส่งกำลังรุกรานประเทศไทย
แล้วได้บังคับให้รัฐบาลไทยต้องเข้าร่วมวงไพบูลย์กับญี่ปุ่นในมหาสงครามเอเชียบูรพา
โดยประกาศสงครามกับชาติสัมพันธมิตร
จากนั้นกองทัพอากาศสหรัฐในฐานะชาติสัมพันธมิตรก็ได้ส่งเครื่องบินเข้ามาโจมตีทิ้งระเบิดทั้งในกรุงเทพฯ
และจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ
เมื่อกรุงเทพฯ ต้องประสบภัยสงครามทางอากาศ
โรงเรียนจึงได้รับพระราชทานพระมหากรุณาให้ย้ายไปเปิดสอนที่พระราชวังบางปะอินเป็นการชั่วคราว
ในระหว่างที่โรงเรียนย้ายไปเปิดสอนที่พระราชวังบางปะอินนั้นเอง
คืนวันหนึ่งในตอนกลางเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๘๖
เครื่องบินข้าศึกได้มาทิ้งระเบิดถูกตึกคณะดุสิตพังทลายลง ๒
หลัง คือตึกใหญ่หลังกลาง กับตึกเล็กทางด้านทิศเหนือ
คาดกันว่าเป้าหมายของการทิ้งระเบิดความนั้นคือ
โรงไฟฟ้าหลวงที่ย้ายมาเปิดทำการที่สนามหลัง
แต่เดชะบุญที่ระเบิดพลาดเป้าหมายไปตกที่คณะดุสิตแทน
หากระเบิดลงตรงเป้าหมายที่สนามหลังความเสียหายคงจะมากกว่านี้จนยากที่จะคาดคะเน
เพราะในพื้นที่สนามหลังนั้นนอกจากจะเป็นที่ตั้งโรงไฟฟ้าหลวงแล้ว
ที่ใต้พื้นดินยังมีถังน้ำมันขนาดใหญ่ที่สำรองไว้ใช้ในการเดินเครื่องจักรปั่นกระแสไฟฟ้าด้วย
และเมื่อโรงไฟฟ้าท่านย้ายกลับไปที่ตั้งเดิมภายหลังสงครามนั้น
ทางโรงไฟฟ้ามิได้ปรับสภาพสนามหลังให้กลับสู่สภาพที่ดีดังเดิม
นักเรียนวชิราวุธในยุคหลังสงครามเรื่อยมาจนถึงรุ่นผู้เขียนและรุ่นต่อๆ
มาอีกหลายปี
จึงได้ใช้สนามหลังในสภาพที่อุดมไปด้วยหลุมบ่อเต็มไปหมดทั้งสนาม
ยิ่งเวลาที่ฝนตกลงมาด้วยแล้วสนามหลังก็จะแปรสภาพไปเป็นปลักควายในทันที
การก่อสร้างหอประชุมซึ่งในเวลานั้นเรียกว่า หอสวด
กับตึกคณะทั้ง ๔ นั้นแล้วเสร็จในตอนกลางปี พ.ศ. ๒๔๕๙
แต่ยังขาดกระเบื้องมุงหลังคาที่สั่งทำมาจากประเทศจีนที่ยังทำไม่แล้วเสร็จ
เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล)
เสนาบดีกระทรวงวังซึ่งเป็นแม่กองหรือผู้อำนวยการก่อสร้างโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
จึงได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทขอพระราชทานเผากระเบื้องเคลือบขึ้นเพื่อมุงหลังคาหอประชุมและตึกคณะเป็นการชั่วคราว
เพื่อให้ทันการฉลองในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวครบ
๓ รอบ ที่เรียกกันว่า ๓ รอบ มโรงนักษัตร ในวันที่ ๑
มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๙
และเมื่อกระเบื้องที่สั่งมาเมืองจีนเข้ามาถึงในราวต้น พ.ศ.
๒๔๖๐
ก็ได้รื้อกระเบื้องดินเผาที่ทำขั้นในเมืองไทยแล้วเปลี่ยนมุงด้วยกระเบื้องจากเมืองจีน
แม้กระนั้นก็มีการบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่า
ประเทศไทยได้เริ่มเผากระเบื้องเคลือบสีอย่างที่ใช้มุงหลังคาวัดเป็นครั้งแรก
ในการทดลองทำกระเบื้องมุงหลังคาโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๕๙
ต่อจากนั้นการเผากระเบื้องเคลือบสีก็ได้มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับจนเลิกสั่งทำกระเบื้องจากเมืองจีนไปในที่สุด
 |
ภาพถ่ายทางอากาศเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน
พ.ศ. ๒๔๘๙
แสดงให้เห็นตึกคณะดุสิตที่ถูกระเบิดทำลาย
จนเหลือเพียงตึกเล็กด้านทิศใต้เพียงหลังเดียว
กับ
เรือนไม้หลังคาจาก
ที่ต่อมาได้ใช้เป็นคณะดุสิตชั่วคราวระหว่าง
พ.ศ. ๒๔๘๙ - ๒๕๐๕ |
ท่ามกลางภัยสงครามซึ่งทำให้โรงเรียนต้องย้ายไปเปิดการเล่าเรียนที่พระราชวังบางปะอินอยู่ชั่วระยะหนึ่ง
แต่เมื่อภัยสงครามทางอากาศตามไปถึงบางปะอินอีก
โรงเรียนจึงต้องปิดตัวลงและส่งนักเรียนทั้งหมดกลับบ้าน
ในขณะที่ภายในโรงเรียนก็เต็มไปด้วยหน่วยราชการที่มาขอใช้สถานที่ของโรงเรียนเป็นสถานที่ทำการ
รวมทั้งยังมีการมาสร้างเรือนไม้หลังคาจากเป็นค่ายกักกันเชลยศึกและชนชาติศัตรูแล้ว
แม้กระนั้นทางราชการตำรวจสันติบาลก็ยังเห็นประโยชน์จากตึกคณะดุสิตที่ถูกระเบิดทลายลงจนเหลือเพียงตึกเล็กด้านทิศใต้เพียงหลังเดียวนั้น
โดยได้ใช้ตึกคณะดุสิตที่เหลืออยู่นั้นเป็นที่หลยซ่อนของเสรีไทยที่ลักลอบเข้าเมืองมา
ทั้งยังใช้เป็นที่ตั้งสถานีวิทยุที่ส่งข่าวสารออกไปยังกองบัญชาการพันธมิตรที่เมืองแคนดี
ประเทศศรีลังกา สมดังคำกล่าวที่ว่า
สถานที่ที่ล่อแหลมที่สุดคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด
เมื่อสงครามโลกยุติลงและโรงเรียนได้กลับมาเปิดการเล่าเรียนอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม
พ.ศ. ๒๔๘๙ อีกครั้ง
ปัญหาสำคัญในเวลานั้นคือตึกคณะที่เคยมีอยู่ ๔ คณะ
กลับเหลืออยู่เพียง ๓ คณะ
แล้วนักเรียนคณะดุสิตจะไปอยู่กันที่ใด
ในที่สุดโรงเรียนจึงได้ตัดสินใจใช้เรือนไม้หลังคาจากที่เคยเป็นค่ายกักกันเชลยศึกนั้นเป็นอาคารคณะดุสิตเป็นการชั่วคราว
แต่กว่าจะหาเงินมาสร้างตึกใหม่แทนอาคารเดิมที่ถูกระเบิดพังไปในระหว่างสงครามโลกก็ล่วงไปเกือบ
๒๐ ปี
อุปสรรคสำคัญคือเงินที่รัฐบาลจัดสรรมาให้เป็นค่าก่อสร้างตึกคณะดุสิตทดแทนนั้นน้อยมาก
จนแทบจะไม่พอสร้างอาคารขึ้นใหม่
แต่ท่านผู้บังคับการพระยาภะรตราชาก็ได้กะเบียดกระเสียนรายจ่ายของโรงเรียน
รวมกับรายได้จากการจำหน่ายหนังสือและอุปกรณ์การเรียนอีกจำนวนหนึ่งจึงมีเงินพอที่จะสร้างตึกคณะดุสิตขึ้นใหม่
แต่การก่อสร้างนั้นก็มีอุปสรรคอีกประการคือสถาปนิกผู้ออกแบบก่อสร้างแจ้งให้ทราบว่า
จำนวนเงินที่โรงเรียนมีอยู่นั้นหาเพียงพอที่จะสร้างตึกคณะดุสิตให้เหมือนอาคารเดิมได้
จำจะต้องสร้างเป็นอาคารสมัยใหม่
และได้เสนอให้ทุบปีกด้านทิศใต้ที่ยังเหลือนั้นทิ้งไปเสีย
เพื่อสร้างอาคารใหม่ขึ้นแทน
แต่แนวความคิดที่จะทุบปีกด้านทิศใต้นั้นกลับถูกคณะกรรมการอำนวยการโรงเรียนในเวลานั้นทัดทานไว้
และคงจะด้วยเดชะพระบารมีปกเกล้าฯ ที่จู่ๆ
ก็ทำให้สถาปนิกที่เสนอให้ทุบปีกด้านทิศใต้นั้นเกิดขอถอนตัวจากการออกแบบก่อสร้างตึกคณะดุสิตใหม่นั้นไปเสียเฉยๆ
กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ส่งสถาปนิกท่านใหม่มาออกแบบก่อสร้าง
ซึ่งสถาปนิกท่านใหม่นี้กลับมีความเห็นให้รักษาปีกด้านทิศใต้ไว้และสร้างตึกใหญ่ต่อออกมาจากปีกด้านทิศใต้แทน
จากนั้นการก่อสร้างตึกคณะดุสิตใหม่จึงได้เริ่มขึ้นใน พ.ศ.
๒๔๙๖
และก่อสร้างมาเรื่อยตามกำลังเงินที่มีอยู่จนแล้วเสร็จในตอนต้น
พ.ศ. ๒๕๐๕
จึงได้ย้ายนักเรียนคณะดุสิตจากเริอนไม้หลังคาจากเข้าอยู่ในตึกคณะใหม่มาตั้งแต่วันที่
๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งเป็นวันเปิดภาคเรียนวิสาขะปีการศึกษา ๒๕๐๕
ส่วนเรือนไม้หลังคาจากซึ่งเป็นอาคารชั่วคราวนั้นก็ได้รื้อย้ายไปปลูกสร้างเป็นโรงยาวที่ริมสนามหลังด้านหลังคณะผู้บังคับการขนานกันไปกับแนวรั้วโรงเรียนด้านถนนสุโขทัย
และได้ใช้เป็นที่พักของนักเรียนคณะเด็กเล็ก ๒ (นันทอุทยาน)
ในระหว่างรื้อถอนเรือนไม้และก่อสร้างตึกคณะเด็กเล็ก ๒
ใหม่ในระหว่างปีการศึกษา ๒๕๐๕ - ๐๖
 |
เรือนไม้หลังคาจากซึ่งเคยใช้เป็นคณะดุสิตชั่วคราวในระหว่าง
พ.ศ. ๒๔๘๙ - ๒๕๐๕ |
นักเรียนเก่าคณะดุสิตหลายท่านที่ได้เคยอาศัยเรือนไม้หลังคาจากในระหว่างที่โรงเรียนยังไม่สามารถจัดสร้างตึกคณะดุสิตขึ้นมาใหม่
ได้เล่าถึงบรรยากาศในยุคเรือนจากไว้ว่า
ยามที่ฝนตกหากเป็นเวลารับประทานอาหารก็จะต้องรับประทานอาหารไปพร้อมน้ำฝน
หรือเวลาเข้าเพรบก็ต้องยกโต๊ะเก้าอี้หลบฝน
ยามกำลังหลับหากฝนตกก็ต้องลูกขึ้นเก็บมุ้งและย้ายที่นอนเพราะฝนรั่วใส่ที่หนอนดังนี้
ยามปกติเวลาเดินไปมาบนเรือนก็ต้องระวังมิให้ตกร่อง
ห้องน้ำห้องส้วมก็ลำบากแสนสาหัส
อนึ่งเนื่องจากตึกคณะดุสิตนั้นเป็นเพียงคณะเดียวที่มีภาพลักษณ์แตกต่างไปจากคณะอื่นๆ
อีกสามคณะ ฉะนั้นในระหว่างเตรียมการจัดงาน ๑๐๐ ปี
ผู้เขียนจึงได้นำเสนอความฝันของผู้เขียนผ่านทางหน้าเวบของสมาคมนักเรียนเก่าฯ
โดยในฝันนั้นผู้เขียนบรรยายไว้ว่า ในโอกาสที่จะฉลอง ๑๐๐
ปีโรงเรียนนั้น
น่าจะมีการสร้างอาคารคณะดุสิตกลับขึ้นมาใหม่ให้มีรูปลักษณ์เหมือนอาคารเดิมที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างไว้
หากทำได้จริงคงจะเป็นการเฉลิมพระราชศรัทธายิ่งกว่าการสร้างอนุสรณ์ใดๆ
ในรอบ ๑๐๐ ปีของโรงเรียน
ภายหลังจากที่ได้เล่าความฝันนั้นผ่านหนเกระดานสนทนาในเวบสมาคมนักเรียนเก่าฯ
ไปแล้ว
ก็ได้รับฟังเสียงสะท้อนกลับมาทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
บ้างก็ว่าไม่จำเป็นต้องรื้ออาคารเดิม
แต่ให้ทำลวดลายแบบของเดิมแล้วไปติดทับที่ผนังอาคารที่มีอยู่
แต่เมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายในการทำลวดลายไปปิดทับอาคารเดิมแล้ว
งบประมาณค่าใช้จ่ายคงจะไม่แตกต่างกันมากนัก
ในที่สุดพลเรือตรี อาวุธ เงินชูกลิ่น
อดีตอธิบดีกรมศิลปากรจึงได้เสนอแนะให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมใหม่ออก
แล้วสร้างกลับไปให้สมบูรณ์เหมือนอาคารเดิมเมื่อแรกสร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในที่สุดคณะกรรมการอำนวยการโรงเรียนจึงได้อนุมัติงบประมาณให้รื้อถอนตึกคณะดุสิตส่วนที่สร้างขึ้นใหม่นั้นออก
และมอบหมายให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดแชฟ้า
เป็นผู้รับจ้างเหมาปลูกสร้างตึกใหญ่หลังกลางและตึกเล็กด้านทิศเหนือจนสำเร็จสวยงามเหมือนตึกคณะอื่นๆ
อีก ๓ คณะเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๕๕
และได้มีการทำบุญคณะใหม่ไปแล้วเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๖
ส่วนตอนเย็นก็เป็นการเลี้ยงสังสรรค์ฉลองคณะใหม่ โดยมี พี่เหม
อดิศักดิ์ เหมอยู่ นักเรียนเก่าคณะดุสิตเป็นแม่งาน
และเมื่อเปิดภาคเรียนวิสาขะปีการศึกษา ๒๕๕๖ ในเดือนพฤษภาคม
พ.ศ. ๒๕๕๖ นี้ น้องๆ
คณะดุสิตคงจะได้ย้ายจากอินดอร์สเตเดียมที่เป็นสถานที่อยู่ชั่วคราวเข้าอยู่ในคณะใหม่ด้วยความสุขสบายและภาคภูมิใจกับศิลปสถาปัตยกรรมที่งดงามต่อไป.
|