เสร็จการรื่นเริงสมโภชเนื่องในการเสด็จนิวัติพระนครซึ่งจัดต่อเนื่องกันหลายวันแล้ว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จเข้ารับราชการในกรมราชเลขาธิการเพื่อทรงเรียนรู้พระราชกิจ
แล้วได้โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จเข้ารับรับราชการทหาร
ทรงดำรงพระยศเป็น นายพลเอก จเรทัพบก
มีพระเกียรติยศเสมอเสนาบดีกระทรวงกลาโหม
กับให้ทรงเป็นนายพันโท
ผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์
เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๖
และเป็นราชองครักษ์พิเศษเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน
ปีเดียวกัน
 |
นายพลเอก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร จเรทัพบก
ขณะทรงม้าพระที่นั่งสยามพันธุ์เสด็จตรวจราชการทหารบก
|
ในหน้าที่จเรทัพบกนั้น
นอกจากจะทรงมีหน้าที่ตรวจตราราชการทั่วไปในกรมยุทธนาธิการซึ่งบังคับบัญชาทหารบกทั่วพระราชอาณาจักรแล้ว
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชยังได้เสด็จไปทรงงานและประทับเป็นประธานในการประชุมผู้บังคับบัญชาทหารที่ศาลาว่าการยุทธนาธิการ
(ปัจจุบันคือ ศาลาว่าการกลาโหม) อยู่เสมอ
บางครั้งก็โปรดเกล้าฯ
ให้เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยและสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลต่างๆ
เข้าร่วมประชุมด้วย
ส่วนเรื่องที่เป็นความลับไม่อาจจะมีพระราชดำรัสในที่ประชุมได้
ก็มักจะเสด็จไปทรงหารือเป็นการส่วนพระองค์กับนายพลโท
พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช
[๑]
ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ
ทั้งที่ศาลาว่าการยุทธนาธิการและที่วังมหานาคเป็นประจำ
 |
แผนที่ประเทศสยามแสดงการจัดวางกำลังพลเป็น ๑๐
กองพลกระจายอยู่ทั่วประเทศ ยกเว้นในคาบสมุทรมลายู
|
ครั้นทรงยกร่างกฎหมายว่าด้วยการเกณฑ์ชายฉกรรจ์เข้ารับราชการทหารจนได้โปรดเกล้าฯ
ให้ตราเป็น พระราชบัญญัติลักษณเกณฑ์ทหาร เมื่อ
พ.ศ. ๒๔๔๘
และได้ทรงร่วมกับผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ
จัดวางอัตรากำลังพลของกองทัพบกสยามเป็น ๑๐ กองพล
กระจายกันอยู่ทั่วพระราชอาณาจักรได้สำเร็จในปี
พ.ศ. ๒๔๕๑
พร้อมกับการบังคับใช้พระราชบัญญัติลักษณเกณฑ์ทหารในหัวเมืองมณฑลทั่วพระราชอาณาจักรแล้ว
การเกณฑ์ไพร่พลเข้ารับราชการหรือที่เรียกกันว่า
เกณฑ์เลกไพร่
ที่ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาก็เป็นอันเลิกไปในที่สุด
ส่วนราชการในกรมทหารมหาดเล็กนั้น
นอกจากจะทรงปฏิบัติพระราชกิจประจำในฐานะผู้บังคับการกรมแล้ว
ยังได้ทรงเป็นผู้บังคับกองจุกช่องล้อมวงถวายอารักขาสมเด็จพระบรมชนกนาถและพระบรมราชชนนี
ณ
พระราชฐานที่ประทับทั้งในกรุงและหัวเมืองอยู่เสมอแล้ว
ในบางคราวยังได้ทรงเป็นผู้บังคับแถวทหารมหาดเล็กแซงเสด็จอีกด้วย
 |
พระภิกษุสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร (ทรงยืนแถวหน้าที่
๓ จากซ้าย)
ทรงฉายพระฉายาลักษณ์พร้อมด้วยพระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหลวงวชิรญาณวโรรส
(สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส)
พระราชปัธยาจารย์ (แถวหน้าที่ ๔ จากซ้าย)
พระองค์เจ้าพระสถาพรพิริยพรต (พระเจ้าวรวรวงศ์เธอ
กรมหลวงชิรวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเต้า)
พระราชกรรมวาจาจารย์ (แถวหน้าที่ ๕ จากซ้าย)
และคณะสงฆ์ใยธรรมยุติกนิกาย
ที่หน้าพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร
|
 |
วชิราวุโธภิกขุ
|
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชดำริว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
ทรงเจริญพระชนมายุสมควรจะทรงผนวชตามพระราชประเพณี
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงผนวช ณ
พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ ๒๑
สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗ โดยมีพระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส
[๒]
เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุติเป็นพระราชอุปัธยาจารย์
หม่อมเจ้าพระสถาพรพิริยพรต
[๓]
เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์
และในวันเดียวกันนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช
กรมขุนสงขลานครินทร์
[๔]
ทรงบรรพชาเป็นสามเณรหางนาค
แล้วเสด็จไปประทับจำพรรษาที่พระปั้นหยา
วัดบวรนิเวศวิหาร จนทรงลาผนวชเมื่อวันที่ ๑๑
ธันวาคม
ส่วนพระฤกษ์ลาผนวชในสามเณรสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอนั้นกำหนดในวันที่
๑๔ ธันวาคม ปีเดียวกัน
ในการทรงผนวชครั้งนี้
นอกจากพระภิกษุสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช หรือ
วชิราวุโธภิกขุ
จะได้ทรงปฏิบัติศาสนกิจเช่นเดียวกับนวกภิกขุทั้งหลายแล้ว
ยังได้ทรงศึกษาธรรมวินัยตามหลักสูตรที่พระราชอุปัธยาจารย์จัดถวาย
และทรงเข้าสอบไล่ได้เป็นที่ ๑
ของสนามสอบวัดบวรนิเวศวิหารในปีนั้นด้วย
ภายหลังจากที่ทรงลาผนวชแล้ว
ได้เสด็จกลับเข้ารับราชการตามตำแหน่งเดิม
และต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๘
ได้ทรงเป็นผู้แทนพระองค์สมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จพระราชดำเนินไปประพาสมณฑลพายัพซึ่งในเวลานั้นเป็นหัวเมืองมณฑลที่ห่างไกลการคมนาคมเป็นไปด้วยความยากลำบาก
 |
ทรงฉายพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ
กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ
และนายทหารรัสเซีย
เมื่อคราวเสด็จประพาสประเทศรัสเซีย พ.ศ. ๒๔๔๔
|
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
สยามมกุฎราชกุมาร
ทรงเครื่องเต็มยศขาวนายพลเอก จเรทัพบก
ราชองครักษ์พิเศษ
เสด็จพระราชดำเนินโดยกระยวนพระราชยาน
มีกระบวนทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์แซงเสด็จปิดท้ายกระบวน
ยาตรามาตามถนนแก้วนวัฐเข้าสู่เมืองนครเชียงใหม่
เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๘
ในการเสด็จประพาสหัวเมืองมณฑลพายัพคราวนั้น
เริ่มจากทรงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัวจากกรุงเทพฯ
ไปในการทรงเปิดทางรถไฟสายเหนือที่สถานีชุมทางบ้านภาชี
แล้วเสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนรถไฟไปถึงสถานีปากน้ำโพ
เมืองนครสวรรค์
ต่อจากนั้นเสด็จพระราชดำเนินโดยทางเรือจากปากน้ำโพ
มณฑลนครสวรรค์ เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน
ไปตามลำน้ำน่านไปเสด็จขึ้นบกที่ท่าอิฐ
เมืองอุตรดิตถ์ แล้วทรงช้าง ทรงม้า
รอนแรมไปตามป่าเขาจนถึงเมืองแพร่ นครลำปาง
เชียงราย นครเชียงใหม่ นครลำพูน
แล้วกลับมาประทับที่เมืองนครเชียงใหม่
เสด็จออกจากเมืองนครเชียงใหม่มาทางลำน้ำปิงเมื่อวันที่
๔ มกราคม เสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ ๓๑ มกราคม
รวมระยะเวลาเสด็จประพาสครั้งนั้น ๓ เดือนเต็ม