ครั้นสงครามโลกครั้งที่ ๑ สงบลงใน พ.ศ.
๒๔๖๒ แล้ว ก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้กระทรวงธรรมการติดต่อขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการจากมูลนิธิรอคกี้เฟลเลอร์
(Rockefeller Foundation) ประเทศสหรัฐอเมริกา
แล้วได้โปรดกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมขุนสงขลานครินทร์
ซึ่งเวลานั้นกำลังทรงศึกษาวิชาแพทยศาสตร์อยู่ทหรัฐอเมริกาเป็นผู้แทนรัฐบาลสยาม
ในตำแหน่งข้าหลวงสำรวจการศึกษาทั่วไป (Inspector
General of Education)
[๑]
ในการเจรจากับมูลนิธิรอคกี้เฟลเลอร์
จนได้รับการสนับสนุนทางวิชาการจากมูลนิธิดังกล่าวส่ง
ศาสตราจารย์ ดร.เอลลิส
เข้ามาวางรากฐานการเรียนการสอนวิชาแพทยศาสตร์
เป็นผลให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสามารถเปิดสอนถึงชั้นปริญญาตรีในหลักสูตรเวชชศาสตร์บัณฑิต
[๒]
ได้เป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. ๒๔๖๗
 |
โรงเรียนเพาะช่าง |
อนึ่ง ในแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. ๒๔๕๖
นอกจากจะมีการจัดหลักสูตรวิชาสามัญเป็นหลักสูตรชั้นประถม
มัธยมต้น มัธยมกลางและมัธยมปลายแล้ว
ในแผนการศึกษาฉบับนี้ยังได้โปรดเกล้าฯ
ให้กระทรวงธรรมการจัดให้มีหลักสูตรอาชีวศึกษาในระดับมัธยมต้นขึ้นเป็นครั้งแรก
เพราะทรงพระราชดำริว่า
...การฝึกสอนเด็กนั้นจำจะต้องฝึกสอนหลายอย่าง
ไม่ใช่แต่จะให้เรียนวิชาหนังสือมีความรู้ไป
สำหรับเปนเสมียนแลเข้าทำราชการเท่านั้น...
วิชาช่างต่างๆ นั้น
ว่าโดยเฉภาะก็เปนทางที่จะหาเลี้ยงชีพได้ดีส่วนหนึ่งเหมือนกัน
แลถ้าสำหรับประกอบกับวิชาอื่นๆ แล้ว
ก็จะช่วยให้การฝึกสอนโดยทั่วไปนั้นสำเร็จดียิ่งขึ้น...
[๓]
จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งโรงเรียนเพาะช่าง
และโรงเรียนพณิชยการขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๕๖
กับโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมในปี พ.ศ. ๒๔๖๐
เพื่อให้เป็นทางเลือกของนักเรียนที่ประสงค์จะเล่าเรียนวิชาอาชีพเพื่อไปประกอบวิชาชีพเลี้ยงตัวโดยไม่จำต้องเข้ารับราชการหรือทำงานเป็นเสมียน
ในปี พ.ศ. ๒๔๖๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์
เพื่อควบคุมการดำเนินงานของโรงเรียนเอกชนให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของกระทรวงธรรมการ
ในขณะเดียวกันก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้ขยายการศึกษาระดับประถมศึกษาไปยังอำเภอ ตำบล
และหมู่บ้านทั่วราชอาณาจักร โดยจัดตั้งเป็น โรงเรียนประชาบาล
ที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมจัดตั้งและดำเนินการศึกษาโดยทุนทรัพย์ของประชาชนในท้องถิ่นนั้น
แล้วจึงได้โปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. ๒๔๖๔
อันมีผลบังคับให้เด็กไทยทุกคนที่มีอายุระหว่าง ๗ -
๑๔ ปี
เข้าเรียนในโรงเรียนจนจบชั้นประถมศึกษาหรืออ่านออกเขียนได้
และถ้านักเรียนคนใดไม่มีโอกาสได้เล่าเรียนต่อในชั้นมัธยมต่อไปแล้ว
ก็ให้คงเรียนวิชาทำมาหาเลี้ยงชีพในโรงเรียนประชาบาลหรือโรงเรียนประถมนั้นต่อไปอีก
๒ ปี จึงเป็นอันพ้นเกณฑ์บังคับ
ด้านการป้องกันประเทศ
สืบเนื่องจากการที่ประเทศไทยจำต้องยกดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศสในเหตุการณ์
ร.ศ. ๑๑๒
ซึ่งเกิดขึ้นเพียงหนึ่งเดือนก่อนที่จะเสด็จออกไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษ
และในระหว่างที่ประทับทรงศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษเรื่อยมาจนถึงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประเทศไทยก็ยังคงต้องเสียดินแดนบางส่วนให้แก่ฝรั่งเศสและอังกฤษอีกหลายคราว
และสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องเสียดินแดนเหล่านั้นก็เนื่องมาจากการขาดกำลังทหารที่สามารถจะป้องกันรักษาบ้านเมืองจากการรุกรานของมหาอำนาจชาติตะวันตก
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติและได้ทรงรับพระยศเป็นจอมพล
และจอมพลเรือ ทรงเป็นจอมทัพสยามเมื่อวันที่ ๓ และ
๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๓ แล้ว ก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้จัดระเบียบการป้องกันพระราชอาณาจักร
โดยโปรดเกล้าฯ
ให้ยุบเลิกกรมยุทธนาธิการซึ่งปกครองบังคับบัญชาราชการฝ่ายทหารบกมาตั้งแต่ครั้งปฎิรูปการปกครองแผ่นดินในรัชกาลที่
๕
แล้วโปรดให้ยกราชการฝ่ายทหารบกไปขึ้นสังกัดในกระทรวงกลาโหม
กับทรงยกกรมทหารเรือขึ้นเป็นกระทรวงทหารเรือ
ในขณะเดียวกันก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้แยกการปกครองบังคับบัญชาราชการในกระทรวงกลาโหมและทหารเรือ
ให้เสนาบดีกระทรวงกลาโหมและกระทรวงทหารเรือคงปกครองบังคับบัญชาแต่ราชการฝ่ายพลเรือนในกระทรวง
ส่วนการบังคับบัญชากำลังพลรวมทั้งงานด้านยุทธการให้ขึ้นตรงต่อเสนาธิการทหารบกและเสนาธิการทหารเรือ
ซึ่งขึ้นตรงต่อเสนาบดีกระทรวงกลาโหมและกระทรวงทหารเรืออีกชั้นหนึ่ง
พร้อมกันนั้นยังได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสภาการทัพ
เพื่อปรึกษาดำริกิจการป้องกันพระราชอาณาจักร
สภานี้มีสมาชิกประกอบด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นสภานายก
เสนาบดีกระทรวงกลาโหม กระทรวงทหารเรือ จอมพลทหารบก
และจอมพลเรือเป็นสมาชิก
เสนาธิการทหารบกเป็นเลขานุการ
และให้เสนาบดีเจ้ากระทรวงที่จะต้องปรึกษาในสภานี้เป็นสมาชิกพิเศษ
สภาการทัพนี้ต่อมาได้พัฒนามาเป็นสภาป้องกันพระราชอาณาจักรและสภากลาโหมในปัจจุบัน
|
จอมพล จอมพลเรือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
จอมทัพสยาม |
อนึ่ง
ในระหว่างรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น
ยังได้ตรวจพบหลักฐานอีกว่า
ทรงให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชาติเป็นอันดับแรก
ดังปรากฏสัดส่วนการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินในระหว่างปี
พ.ศ. ๒๔๕๓ - ๒๔๖๘ ซึ่งโปรดเกล้าฯ
ให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติจัดสรรงบประมาณเพื่อการ
ป้องกันประเทศไว้ถึงร้อยละ ๒๔.๓
ในขณะที่งบประมาณด้านการปกครองที่ทรงให้ความสำคัญเป็นลำดับที่
๒ นั้นได้รับการจัดสรรเพียงร้อยละ ๑๒.๗
การที่ทรงให้ความสำคัญกับการป้องกันประเทศมากกว่าการพัฒนาบ้านเมืองนั้น
เสวกโท จมื่น อมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช)
มหาดเล็กผู้เคยรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทได้กล่าวถึงพระราชกระแสที่เคยได้ฟังจากพระโอษฐ์ไว้ใน
เหตุผลที่รัชกาลที่ ๖ ทรงประกาศสงคราม ว่า
...ทรงรู้ดีว่าประเทศที่เขาทำการล่าเมืองขึ้นนั้นเขามีพฤติการณ์กระทำกันอย่างไร
และมีเพทุบายแยบคายต่างๆอย่างไร
เขาทำงานกันอย่างไร...
จึงระวังพระองค์ไม่ขยายบ้านเมืองไปในทางปรุงแต่งเพราะยิ่งแต่งยิ่งสวย
เป็นที่ต้องตาต้องใจของอริราชศัตรู...
[๔]
ทั้งยังได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายถึงการลงทุนตัดถนนซึ่งต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลไว้ว่า
...ทำไมเราจะทำไว้ให้คนอื่นมาชุบมือเปิบ
เอาเงินนั้นมาเตรียมกำลังรบ
แม้ใครจะเอาประเทศของเราไปขอให้เอาไปแต่ซาก...
[๕]
 |
ตารางแสดงงบประมาณรายจ่ายด้านการป้องกันประเทศ
ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๑ - ๒๔๖๘ |
 |
ภาพหมู่นายทหารกรมทหารรักษาวังของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ถึงแม้นว่าจะโปรดเกล้าฯ
ให้จัดสรรงบประมาณแผ่นดินจำนวนมากเป็นงบสำหรับการป้องกันประเทศแล้วก็ตาม
แต่งบประมาณจำนวนนั้นก็ยังหาพอเพียงแก่การบรรจุกำลังพลและจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้พอเพียงแก่อัตรากำลังกองทัพบกที่วางโครงสร้างไว้ถึง
๑๐ กองพล
รวมทั้งกองทัพเรือที่มีภารกิจในการป้องกันพระราชอาณาเขตทางทะเลตลอดชายฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามันเป็นระยะทางยาวกว่า
๒,๐๐๐ กิโลเมตร ดังนั้นในวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ.
๒๔๕๔ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ยกกรมวังนอกซึ่งเป็นส่วนราชการในพระราชสำนักขึ้นเป็น
กรมทหารรักษาวัง
[๖]
โปรดให้จัดกำลังรบและการปกครองบังคับบัญชาเป็นกรมทหารเต็มรูปแบบ
แต่ให้คงขึ้นการบังคับบัญชาอยู่ในกระทรวงวังซึ่งเบิกจ่ายงบประมาณทั้งหมดจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์