 |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พร้อมด้วยสมาชิกเริ่มแรกของกองเสือป่า |
(จากซ้าย) |
๑. นายหมู่ตรี พระยาเทพทวาราวดี (สาย
ณ มหาชัย - พระยาบำเรอบริรักษ์) |
ผู้บังคับหมู่ |
|
๒. นายหมู่เอก นายวรกิจบรรหาร (พงษ์
สวัสดิ์ -ชูโต -
พระยาอนุชิตชาญชัย) |
ผู้บังคับหมู่ |
|
๓. นายหมู่โท นายรองสนิท (กุหลาบ
โกสุม - พระราชวรินทร์) |
ผู้บังคับหมู่ |
|
๔. นายกองโท นายขัน หุ้มแพร (ม.ล.เฟื้อ
พึ่งบุญ - เจ้าพระยารามราฆพ) |
ผู้บังคับหมวดที่
๑ กองร้อยที่ ๑ |
|
๕. นายกองใหญ่
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว |
นายกเสือป่า
แทนผู้บังคับกองร้อยที่ ๑ |
|
๖. นายกองโท นายฉัน หุ้มแพร (เทียบ
อัศวรักษ์ -
พระยาคทาธรบดีสีหราชบาลเมือง) |
ผู้บังคับหมวดที่ ๒ กองร้อยที่ ๑ |
|
๗. นายหมู่เอก หม่อมเจ้าปิยบุตร
จักรพันธุ์ |
ผู้บังคับหมู่ |
|
๘. นายหมู่โท นายวรการบัญชา
(ม.ร.ว.โป๊ะ มาลากุล -
พระยาชาติเดชอุดม) |
ผู้บังคับหมู่ |
|
๙. นายหมู่ตรี นายพิไนยราชกิจ (เล็ก
โกมารภัจ - พระยาอัศวบดีศรีสุรพาห) |
ผู้บังคับหมู่ |
|
ถัดมาอีก ๔ วัน
คือวันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม ก็ได้ทรงจัดตั้ง
กองเสือป่า ขึ้นเป็นกองอาสาสมัคร
เพื่อฝึกหัดข้าราชการและพลเรือนที่มิใช่ทหารให้มีความรู้พื้นฐานทางทหาร
รวมทั้งมีความรู้เรื่องการสอดแนม
เพื่อเป็นผู้ช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน
และเป็นผู้ช่วยสืบข่าวให้แก่ฝ่ายทหารในยามที่มีอริราชศัตรูมาประชิด
รวมทั้งเป็นกองกำลังสำรองเพื่อช่วยทำการในสนามในยามที่มีศึกสงคราม
ในชั้นต้นได้โปรดเกล้าฯ
ให้รวบรวมข้าราชการในพระราชสำนักที่สมัครเข้าเป็นเสือป่า
จัดเป็นกองร้อยและ
กองพันขึ้นสังกัดกรมเสือป่าราบหลวงรักษาพระองค์
แล้วจึงโปรดเกล้าฯ
ให้ขยายกิจการเสือป่าออกไปยังหัวเมืองมณฑลต่างๆ
ทั่วพระราชอาณาจักร
ดังมีพยานปรากฏว่าในปีสุดท้ายแห่งรัชสมัยนั้นมีกำลังพลเสือป่ากระจายกันอยู่ในกองเสนา
(กองพล) หลวงรักษาพระองค์ และกองเสนา (กองพล)
รักษาดินแดน ซึ่งมีโครงสร้างลดหลั่นกันเป็นกรม
กองพัน
และกองร้อยหมวดและหมู่เช่นเดียวกับการจัดกำลังพลของทหารถึงกว่า
๑๐,๐๐๐ คน แม้ในพื้นที่คาบสมุทรมลายู และพื้นที่
๒๕
กิโลเมตรตลอดแนวฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่รัฐบาลสยามได้มีข้อตกลงลับไว้กับอังกฤษและฝรั่งเศสที่จะไม่จัดส่งกำลังทหารไปประจำในพื้นที่ดังกล่าว
อีกทั้งการที่ทรงกำหนดให้เสือป่ามีสายการบังคับบัญชาที่ชัดเจน
และมีเครื่องแบบที่มองเห็นได้ชัดแต่ไกลเช่นเดียวกับทหาร
จึงเป็นหลักประกันให้เสือป่าที่ออกปฏิบัติการในสนามที่เกิดพลาดพลั้งถูกจับต้องได้รับการปฏิบัติเยี่ยงเชลยสงคราม
มิใช่จารชนที่ต้องรับโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต
 |
นักเรียนมหาดเล็กหลวงชัพน์ บุนนาค
(นายลิขิตสารสนอง)
ลูกเสือไทยคนแรกแต่งเครื่องแบบลูกเสือหลวง |
เมื่อทรงจัดตั้งกองเสือป่าขึ้นแล้ว
ก็ทรงพระอนุสรณ์คำนึงเยาวชนของชาติ
หากได้รับการฝึกหัดให้เป็นผู้มีวินัยและได้เรียนรู้วิธีสืบข่าวเสียแต่ยังเยาว์
เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่นอกจากจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีระเบียบวินัยเป็นพลเมืองดีของชาติแล้ว
ยังจะสามารถนำวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาแต่เยาว์วัยมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ
จึงได้ทรงยกร่าง ข้อบังคับลักษณปกครองลูกเสือ
ไว้ด้วยลายพระราชหัตถ์ และได้โปรดกล้าฯ
ให้ตราข้อบังคับฯ นี้ไว้เมื่อวันเสาร์ที่ ๑
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๔
จึงถือกันว่าวันดังกล่าวเป็นวันพระราชทานกำเนิดกิจการลูกเสือในประเทศไทย
ซึ่งนับเป็นประเทศที่สามของโลกที่จัดให้มีกิจการลูกเสือ
พร้อมกันนั้นก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งกองลูกเสือขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ครั้นกองลูกเสือกรุงเทพฯ ที่ ๑
โรงเรียนมหาดเล็กหลวงได้กระทำพิธีเข้าประจำกองเฉพาะพระพักตร์เมื่อวันเสาร์ที่
๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๔ แล้ว ก็ได้โปรดเกล้าฯ
พระราชทานเกียรติยศพิเศษแก่กองลูกเสือกองแรกของประเทศไทยนั้นให้เป็น
กองลูกเสือหลวง
มีเครื่องแบบพิเศษแตกต่างไปจากลูกเสือทั่วไป คือ
มีหน้าเสือโลหะสีทองติดทับบนดอกไม้แพรจีบริ้วเหลืองสลับดำที่ปีกหมวกด้านขวาที่พับติดกับทรงหมวก
กับมีขนนกขาวปักที่ขวาหมวก
ใต้ปีกหมวกบุสักหลาดเหลืองกับมีผ้าพันหมวกลายเสือ
อินทรธนูเป็นไหมเกลียวสีแดง ผ้าผูกคอพื้นดำขอบแดง
และที่ขอบพับถุงเท้าเป็นริ้วเหลืองสลับดำ
เช่นเดียวกับเครื่องแต่งกายสมาชิกเสือป่าในกรมเสือป่าราบหลวงรักษาพระองค์
แล้วจึงได้โปรดเกล้าฯ
ให้ขยายการจัดตั้งกองลูกเสือออกไปยังโรงเรียนต่างๆ
จนมีกองลูกเสือกระจายอยู่ตามโรงเรียนต่างๆ
ทั่วทั้งพระราชอาณาจักรสืบมาจนถึงปัจจุบัน
 |
เสือป่าและลูกเสือในระหว่างการซ้อมรบ |
อนึ่ง
นอกจากการฝึกหัดเสือป่าและลูกเสือในที่ตั้งตามหลักสูตรที่ทรงกำหนดไว้เป็นปกติแล้ว
ล่วงเข้าเดือนมกราคม - มีนาคมของทุกปี
ซึ่งเป็นช่วงฤดูแล้งและชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวแล้วเสร็จและมิได้ใช้ประโยชน์ในท้องทุ่งนั้นแล้ว
ก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้เสือป่าและลูกเสือรวมทั้งทหารรักษาวังตามเสด็จไปซ้อมรบในท้องทุ่งจังหวัดนครปฐม
ราชบุรี และกาญจนบุรีเป็นประจำทุกปี
การซ้อมรบนั้นโปรดให้จัดขึ้นเป็นระยะๆ
เริ่มจากระดับกองร้อย กองพัน กรม
จนถึงระดับกองเสนา (กองพล)
ซึ่งเรียกว่าการประลองยุทธใหญ่
มีการเข้าประจัญบานติดต่อกันหลายวันจนกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะ
จึงเป็นอันเสร็จการซ้อมรบในแต่ละปี
 |
รถหุ้มเกราะในระหว่างการซ้อมรบเสือป่าประจำปี |
การซ้อมรบของเสือป่าและลูกเสือนี้
นอกจากจะเป็นการฝึกซ้อมให้เสือป่าและลูกเสือมีความชำนาญในการปฏิบัติงานในสนามแล้ว
ยังเป็นเครื่องฝึกซ้อมการวางแผนวิธียุทธ
ซึ่งได้ทรงนำประสบการณ์ที่ทรงได้รับจากการซ้อมรบเสือป่าในแต่ละปีไปประกอบพระบรมราชวินิจฉัยในการวางยุทธวิธีป้องกันประเทศอีกด้วย
และเมื่อทรงได้รับข่าวสารจากจากพระสหายชาวอังกฤษว่า
กองทัพอังกฤษได้คิดสร้างรถหุ้มเกราะและรถโคมฉายขึ้นใช้ในสมรภูมิทวีปยุโรปในระหว่างสงครามโลกครั้งที่
๑ แล้ว ก็ได้โปรดเกล้าฯ
พระราชทานรถยนต์พระที่นั่งสององค์ให้เสือป่าเหล่าช่างดัดแปลงเป็นรถหุ้มเกราะและรถโคมฉาย
แล้วโปรดให้นำรถทั้งสองนั้นเข้าร่วมในการซ้อมรบของเสือป่า
เพื่อทอดพระเนตรการใช้งานและประโยชน์ของรถทั้งสองประเภทในการปฏิบัติงานภาคสนาม
แล้วจึงได้โปรดเกล้าฯ
ให้กระทรวงกลาโหมสั่งซื้อรถหุ้มเกราะและรถโคมฉายเข้ามาประจำการในกองทัพบก
นอกจากนั้น
ในส่วนของทหารบกก็ได้โปรดให้จัดการซ้อมรบในท้องทุ่งอยุธยาเป็นประจำทุก
๒ ปี ทั้งยังได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา
กรมนักเรียนแพทย์เสือป่าในพระบรมราชูปถัมภ์
ขึ้นเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๘
ด้วยมีพระราชประสงค์ให้อาจารย์และนักเรียนโรงเรียนราชแพทยาลัยได้
...ทำการฝึกหัดการพยาบาลสนามให้มีความรู้ช่ำชองในกิจการของการพยาบาลนักรบไว้เสียแต่ในเวลาปรกติ
ฉวยว่ามีเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นแล้ว
ก็จะได้กระทำน่าที่ในการพแนกนี้ได้พร้อมเพียงทุกเมื่อ...
[๑]
ส่วนการป้องกันประเทศในพื้นที่มณฑลปักษ์ใต้หรือที่เรียกกันว่า
คาบสมุทรมลายู
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชดำริว่า
 |
แผนที่แสดงการจัดวางกำลังทหารบกเป็น ๑๐
กองพลทั่วราชอาณาจักร
ยกเว้นพื้นที่คาบสมุทรมลายูตั้งแต่บางสะพานน้อยลงไป |
...พระราชอาณาจักรสยามภาคนี้เปนที่สำคัญมีค่าเปนอันมาก
คือเปนที่บริบูรณด้วยทรัพย์แผ่นดินอันคอยอยู่เพื่อให้ขุดขึ้นมาใช้
มีแร่ต่างๆ หลายอย่างหลายประการ
นอกจากนี้มีพื้นแผ่นดินอัน
บริบูรณซึ่งจะทำการเพาะปลูกอะไรก็ได้โดยสำเร็จ
ถ้าลงทุนและใช้แรงทำจริงๆ
แต่ที่ดินเหล่านี้โดยมากทิ้งว่างอยู่เปล่าๆ
เพราะพลเมืองมีไม่พอกับท้องที่
เมื่อได้แลเห็นแล้วว่า
ดินแดนซึ่งยังคงเปนของเราอยู่ในคาบสมุทนี้เปนของมีราคาปานใด
ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าดินแดนเหล่านี้เปนที่น่าหวงแหนยิ่งขึ้นปานนั้น
และทำให้รู้สึกความรับผิดชอบในการที่เปนเจ้าของดินแดนนั้นๆ
ยิ่งขึ้น
ดังนี้ก็ทำให้ต้องรำฤกถึงน่าที่แห่งผู้เปนเจ้าของสมบัติ
ควรจะทำอย่างไรบ้าง
เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างดีที่สุด ประการที่ ๑
สมบัติใดๆ ถ้าไม่บำรุงแล้วจะไม่งอกเงยขึ้น
ประการที่ ๒
ถ้าไม่ระวังรักษาและสำแดงความเปนเจ้าของให้ปรากฏชัดแก่ตาโลกแล้ว
ก็จะต้องเสียสมบัตินั้นไปทีละน้อยๆ
โดยไม่รู้สึกตัว จนที่สุดก็จะหลุดจากมือเรา
...การระวังรักษาและสำแดงความเปนเจ้าของนั้น
บังเกิดความรู้สึกกันมากขึ้น (แต่ที่รู้สึกกันอยู่แล้วแต่ก่อนนี้ก็มี)
ว่าถ้าแม้มีทหารไปตั้งอยู่ในอาณาเขตคาบสมุทนั้นได้จะดี
เพราะจะได้เปนพยานแสดงให้ประจักษ์แก่ตาโลกว่า
เราตั้งใจจะยึดถือที่นั้นจริงๆ
ทั้งการที่มีทหารลงไปตั้งอยู่ที่นั้นดูจะเปนเครื่องให้ฝ่ายเทศาภิบาลรู้สึกอุ่นใจ
ว่ามีกำลังอยู่ อันเปนที่ยำเกรงแก่ผู้ที่จะคิดร้าย...
[๒] |
แต่เนื่องจากเมื่อครั้งรัฐบาลสยามตกลงทำสัญญาระหว่างรัฐบาลไทยกับอังกฤษเพื่อผ่อนคลายข้อจำกัดในเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตใน
พ.ศ. ๒๔๔๐
ฝ่ายอังกฤษได้ฉวยโอกาสนั้นเรียกร้องให้รัฐบาลสยามยอมรับอนุสัญญาลับซึ่งมีเนื้อความในอนุสัญญา
ดังนี้
มาตราที่ ๑ สมเด็จพระเจ้ากรุงสยามทรงรับสัญญาว่า
จะไม่ยกสิทธิใดๆ เหนือดินแดน
หรือเกาะที่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองบางตะพาน
หรือโอนสิทธิและดินแดนดังกล่าว
ให้เป็นของต่างประเทศแก่มหาอำนาจหนึ่งมหาอำนาจใด
มาตราที่ ๒
สมเด็จพระนางเจ้าเจ้าอังกฤษทรงรับสัญญาในส่วนอังกฤษว่า
จะอุดหนุนสมเด็จพระเจ้ากรุงสยามในการต่อต้านความพยายามใดๆ
จากมหาอำนาจที่ ๓ ซึ่งจะแสวงหาอาณานิคม
หรือเข้าไปตั้งอิทธิพลของตน
หรือคุ้มครองป้องกันในดินแดน
หรือที่เกาะทั้งหลายดังกล่าวแล้ว
มาตราที่ ๓
สมเด็จพระนางเจ้าอังกฤษได้ทรงรับสัญญาไว้ตามข้อที่กล่าวมาก่อนนี้แล้วว่า
จะอุดหนุนสมเด็จพระเจ้ากรุงสยามในการต่อต้านความพยายามอย่างหนึ่งอย่างใดของมหาอำนาจที่
๓ ที่จะเข้าไปแสวงหาอาณานิคม
หรือเพื่อจะเข้าไปตั้งอิทธิพล
หรืออำนาจอารักขาในดินแดนหนึ่งดินแดนใด
หรือเกาะแห่งหนึ่งแห่งใดดังกล่าวมามาข้างต้นแล้ว
สมเด็จพระเจ้ากรุงสยามทรงรับสัญญาว่าจะไม่อนุญาต
ยก
หรือยอมให้มีสิทธิพิเศษหรือมีผลประโยชน์อันเป็นการผูกขาดทำได้ฝ่ายเดียว
ในเรื่องเกี่ยวกับที่ดินหรือการค้าขายอย่างใดๆ
ภายในเขตจำกัดดังได้กล่าวมาแล้วนั้นไม่ว่าแก่รัฐบาลหรือคนในบังคับของมหาอำนาจที่
๓
โดยปราศจากการยินยอมพร้อมใจเป็นลายลักษณ์อักษรของรัฐบาลอังกฤษ
[๓] |