ด้านศาสนา
 |
วชิราวุโธภิกขุ
พระภิกษุสมเด็จพระบรมบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร
ทรงฉายที่พระแท่นหน้าพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร |
นอกจากจะทรงดำรงพระองค์เป็นอัครศาสนูปถัมภกแก่ทุกศาสนาในประเทศไทยแล้ว
ในส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นทรงเลื่อมใสและใฝ่พระทัยศึกษาหลักธรรมในพระบวรพุทธศาสนามาแต่ทรงพระเยาว์
ถึงกับเคยมีพระราชดำรัสว่า
ถ้าฉันไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
ฉันจะบวช และฉันเชื่อแน่ว่าบวชแล้วคงได้เป็นเปรียญ
ต่อไปคงจะได้มีสมณศักดิ์รับภาระของพระศาสนาต่อไป
[๑]
แม้นว่าจะมิได้ทรงรับพระราชภาระทางพระศาสนาดังพระบรมราชปณิธานข้างต้น
แต่พระบาท-สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงหยิบยกหลักธรรมในพระบวรพุทธศาสนาขึ้นอบรมข้าราชบริพารและพสกนิกรตามควรแก่โอกาสอยู่เสมอ
ด้วยทรงพระราชดำริว่า
...ธรรมะเป็นเครื่องให้สุขแก่ผู้ประพฤติ,
โดยเหตุที่ผู้ประพฤติธรรมะย่อมจะได้ผลอันงดงามหลายประการ
อย่างน้อยก็เป็นสุขใจในการที่รู้สึกว่าตนมิได้ให้ร้ายแก่ผู้ใด
เพราะฉะนั้นก็คงไม่มีใครเกลียดชังหรือให้ร้ายแก่ตน
อีกประการหนึ่งผู้ที่ประพฤติธรรมย่อมเป็นผู้ที่ผู้อื่นนับหน้าถือตา,
เชื่อถือ, ไว้วางใจ,
ถ้าเป็นผู้น้อยก็ย่อมจะเป็นผู้ที่ผู้ใหญ่พอใจอุปการชุบเลี้ยง,
และถ้าเป็นผู้ใหญ่
ก็ย่อมจะมีผู้นับถือเอาเป็นที่พึ่ง,
ผู้ที่ไม่ประพฤติธรรมย่อมไม่มีใครไว้ใจได้
เพราะบุคคลเช่นนั้นย่อมจะยกเอาความสะดวกแก่ตนเป็นที่ตั้ง,
และถึงแม้ว่าจะทำความดีก็เพราะมุ่งหมายจะได้บำเหน็จตอบแทน,
หรือหวังได้รับความสรรเสริญแห่งโลก,
หรือเพราะกลัวโลกติเตียนเท่านั้น...
[๒]
 |
พระภิกษุสมเด็จพระบรมบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร
ทรงฉายพระฉายาลักษณ์พร้อมด้วยพระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหลวงวชิรญาณวโรรส พระราชอุปัธยาจารย์
และสามเณรสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมขุนสงขลานครินทร์
ที่พระแท่นหน้าพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร |
ทั้งยังได้ทรงรับพระราชธุระสืบอายุพระศาสนา
โดยได้ทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
พระราชอุปัธยาจารย์ให้ทรงเป็นแม่กองชำระคัมภีร์อรรถกถา
และทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดพิมพ์อรรถกถาทั้งในส่วนพระวินัยปิฎก
พระอภิธรรมปิฎก และพระสุตันตปิฎกบางคัมภีร์
ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนี พันปีหลวง ครั้นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยา วชิรญาณวโรรส ทรงเจริญพระชันษา ๖๐ พรรษา
ก็ได้ทรงรับเป็นเจ้าภาพจัดพิมพ์อรรถกถาพระสุตันตปิฎกจนครบบริบูรณ์
แล้วโปรดพระราชทานไว้ในพระราชอาณาจักร ๒๐๐ ชุด
กับนานาประเทศอีก ๔๐๐ ชุด
และเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งได้ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
...ได้ทรงแสดงพระราชประสงค์ไว้ในพระราชหัดถเลขาสั่งเรื่องพระบรมศพของพระองค์
ว่าให้มีหนังสือสร้างขึ้นเปนส่วนหนึ่งในงานพระบรมศพเปนส่วนพุทธสาสนูปถัมภกสักเรื่องหนึ่ง...
ทรงพระราชดำริห์ว่า
หนังสือซึ่งจะเปนอุปัตถัมภกพระสาสนานั้น
ถ้าทรงสร้างพระไตรปิฎกฉบับพิมพ์
จะเปนการสมพระราชประสงค์
ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ที่ทรงแสดงไว้ และ
เปนพระเกียรติยศและพระราชอนุสาวรีย์อันงามยิ่ง
เพราะหนังสือนี้เปนที่ปรารถนาทั่วไปตลอดถึงนานาประเทศ
จึงมีพระราชดำรัสเหนือเกล้าฯ
สั่งให้พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาท
กำหนดการที่จะพิมพ์พระไตรปิฎก
ให้ได้ครบบริบูรณ์ทุกคัมภีร์ ให้กราบทูลอาราธนา
พระเจ้า วรวงศ์เธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
ทรงเปนประธานในการตรวจสอบฉบับ และอักขรวิธี
ส่วนทุนที่จะจับจ่ายในการสร้างพระไตรปิฎกนี้
มีพระราชประสงค์ที่จะให้เปนส่วนที่พระบรมวงศานุวงศ์
ข้าราชการ และประชาราษฎร
พร้อมเพรียงกันรวบรวมขึ้นบำเพ็ญกุศลสนองพระเดพระคุณพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าฯ
จึงมีพระราชดำรัสเหนือเกล้าฯ
สั่งให้ทูลเชิญเสด็จพระบรมวงศานุวงศ์
และชักชวนบรรดาข้าราชการทุกกระทรวงทบวงการ
ตลอดจนประชาราษฎร ให้โดยเสด็จพระราชกุศลนี้
ตามแต่จะเต็มใจอุทิศถวาย...
[๓]
พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์หรือที่ต่อมาโปรดพระราชทานนามว่า
พระไตรปิฎกสยามรัฐ นี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดพิมพ์เป็นหนังสือ ๔๒ เล่มจบ จำนวน ๑,๐๐๐ ชุด
ได้จัดพิมพ์แล้วเสร็จทันพระราชทานในการพระเมรุท้องสนามหลวงเมื่อเดือนมีนาคม
พ.ศ. ๒๔๖๘ จำนวน ๓ เล่ม
และเมื่อการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกสยามรัฐแล้วเสร็จครบทั้ง
๔๒ เล่ม ก็ได้โปรดพระราชทานไปยังพระอารามต่างๆ
ทั่วพระราชอาณาจักร
ทั้งยังได้โปรดพระราชทานไปยังนานาประเทศ
...ที่มีศึกษาสถานอันตั้งขึ้นเพื่อสอนภาษาบาลีและพุทธสาสนาเป็นหลักแหล่ง...
[๔]
 |
พระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกตน้อย) |
อนึ่ง
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น
แม้จะไม่โปรดให้สร้างพระอารามหลวงประจำรัชกาลตามโบราณราชประเพณีก็ตาม
แต่ก็ได้ทรงรับพระราชธุระจัดการปฏิสังขรณ์พระอารามสำคัญมาโดยตลอด
พระอารามที่ทรงปฏิสังขรณ์นั้นมีอาทิ
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม,
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, วัดบวรนิเวศวิหาร,
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์, วัดพระพุทธบาท
จังหวัดสระบุรี และวัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
ฯลฯ นอกจากนั้นยังได้โปรดเกล้าฯ
ให้จัดสร้างพระพุทธปฏิมาสำคัญไว้อีกหลายองค์ อาทิ
พระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วน้อย)
ซึ่งโปรดให้นายคาร์ล ฟาแบร์เช่ (Carl Farbergé)
เจียระไนขึ้นจากหินหยกเขียว (Nephrite)
แล้วโปรดให้เป็นเจดียฐานอันประเสริฐไว้เป็นที่ทรงสักการะบูชาสำคัญประจำพระราชวังดุสิต
ในทำนองเดียวกับพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
(พระแก้วมรกต) ซึ่งประดิษฐานไว้ในพระบรมมหาราชวัง