ในระหว่าการเสด็จเลียบหัวเมืองมณฑลพายัพคราวนั้น
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชได้ทรงพระราชนิพนธ์
ลิลิตพายัพ
เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ทำนองเล่าเรื่องการเดินทางตลอดระยะเวลาสามเดือนเต็ม
โดยทรงบรรยายถึงพระราชกิจ สภาพภูมิประเทศ
สภาพบ้านเมือง ความเป็นอยู่ของราษฎร
การเสด็จตรวจสถานที่ราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน
รวมทั้งสภาพของวัดและโบราณสถานตลอดเส้นทางที่เสด็จพระราชดำเนินผ่านตั้งแต่เสด็จออกจากกรุงเทพฯ
ในวันที่ ๓๑ ตุลาคม แล้วแวะประพาสหัวเมืองต่างๆ
เริ่มจากเมืองนครสวรรค์ มณฑลนครสวรรค์ เมืองพิจิตร
พิษณุโลก อุตรดิตถ์ ในมณฑลพิษณุโลก
แล้วจึงเสด็จเข้าสู่เขตมณฑลพายัพ ประพาสเมืองแพร่
นครลำปาง เมืองพะเยา พาน เชียงราย นครเชียงใหม่
และนครลำพูน
ในระหว่างทางเสด็จกลับจากนครเชียงใหม่ได้เสด็จประพาสหัวเมืองริมแม่น้ำปิง
คือ เมืองตาก กำแพงเพชร บรรพตพิสัย นครสวรรค์
และหัวเมืองริมแม่น้ำเจ้าพระยา คือ
เมืองชัยนาทในเขตมณฑลนครสวรรค์ เมืองสิงห์บุรี
และอ่างทองในมณฑลกรุงเก่า
แล้วประทับรถไฟจากบางปะอินเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงกรุงเทพฯ
ในวันที่ ๓๑ มกราคมปีเดียวกัน
 |
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
สยามมกุฎราชกุมาร
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาราก (Corner Stone)
ของโรงเรียนใหม่ของมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน
เมื่อวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๘
และในวันเดียวกันนั้นได้พระราชทานนามโรงเรียนว่า
The Prince Royals College
|
พระราชกิจสำคัญในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพคราวนั้น
คือ
การที่ได้โปรดพระราชทานพระราโชบายสำคัญในการปกครองบ้านเมือง
ทรงห้ามมิให้ข้าราชการสยามเรียกชาวมณฑลพายัพว่า
ลาว อันมีความหมายเป็นเชิงดูหมิ่นคนในปกครอง
และเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดมีคำว่า คนเมือง
ขึ้นแทนแล้ว
ในระหว่างที่ประทับอยู่ที่เมืองนครลำปาง
ยังได้เสด็จไปทรงเปิดโรงเรียนหลวงสอนหนังสือไทยประจำเมืองนครลำปาง
และได้พระราชทานนามโรงเรียนนั้นไว้ว่า
โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย
ทั้งยังได้พระราชทานพระราชูปถัมภ์ในการก่อสร้างโรงเรียนหลวงสอนหนังสือไทยประจำเมืองนครเชียงใหม่
กับได้พระราชทานนามโรงเรียนนั้นไว้ว่า
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย เพื่อให้เข้าคู่กับ The
Prince Royals College
[๑]
ซึ่งได้โปรดเกล้าฯ
พระราชทานให้เป็นนามของโรงเรียนสอนนักเรียนชายที่คณะอมริกันมิชชันนารีเพรสไบทีเรียนได้จัดสร้างขึ้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง
ในคราวที่ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลารากเมื่อวันที่ ๒ มกราคม
พ.ศ. ๒๔๔๘
เนื่องในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษาที่เมืองนครเชียงใหม่
อนึ่ง ในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพ
ถึงคราวที่ขบวนเสด็จพระราชดำเนินจะข้ามเขาพรึง
ซึ่งเป็นเขตต่อแดนเมืองอุตรดิตถ์และเมืองแพร่อันเป็นป่าเขารกชันนั้น
ผู้ที่ตามเสด็จไปในกระบวนต่างพากันหวาดหวั่นเพราะเกรงกลัวไข้ป่าและภยันตรายต่างๆ
ซึ่งจะพึงมีในระหว่างทางกลางป่า
...จึงได้ทรงพระกรุณาดำรัสชี้แจงว่า
ธรรมดาเจ้าใหญ่นายโตจะเสด็จแห่งใดๆ ก็ดี
คงจะมีทั้งเทวดาและปีศาจฤาอสูรอันเปนสัมมาทิษฐิคอยติดตามป้องกันภยันตรายทั้งปวง
มิให้มากล้ำกรายพระองค์และบริพารผู้โดยเสด็จได้
ถึงในการเสด็จครั้งนี้ก็มีเหมือนกัน
อย่าให้มีผู้หนึ่งผู้ใดมีความวิตกไปเลย
ต่อนั้นไปมีผู้ที่ได้ตามเสด็จผู้ ๑
กล่าวว่าฝันเห็นชายผู้ ๑
รูปร่างล่ำสันใหญ่โต
ได้บอกกับผู้ที่ฝันนั้นว่า ตนชื่อหิรัณย์
เปนอสูรชาวป่า
เปนผู้ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติ
ในครั้งนี้จะตามเสด็จพระราชดำเนินไปในกระบวน
เพื่อคอยดูแลระวังมิให้ภยันตรายทั้งปวงอันจะพึงบังเกิดมีขึ้นได้ในระยะทางกลางป่านั้นมากล้ำกรายพระองค์
ฤาราชบริพารได้ ครั้นทรงทราบความเช่นนั้น
จึ่งมีพระราชดำรัสสั่งให้จัดธูปเทียนและเครื่องโภชนาหารไปเส้นที่ในป่าริมพลับพลา
และเวลาเสวยค่ำทุกๆ วัน
ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้แบ่งพระกระยาหารจากเครื่องไปตั้งเส้นเสมอ...
[๒] |
ด้วยเดชะพระบารมีปกเกล้าฯ
ตลอดการเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเป็นเวลา
๙๓ วันนั้น
หาได้มีผู้ใดในกระบวนเสด็จเจ็บป่วยหรือประสบภยันตายร้ายแรงตลอดการเดินทางเลยแม้แต่คนเดียว
ครั้นเสด็จเสวยสิริราชสมบัติแล้วจึงได้โปรดเกล้าฯ
ให้ปั้นหล่อรูปหิรันยอสูรด้วยสัมฤทธิ์ขนาดเล็ก
แล้วโปรดเกล้าฯ
ให้ตั้งการพระราชพิธีบวงสรวงสังเวยเชิญหิรันยอสูรเข้าสถิตในรูปหล่อที่พระราชทานนามว่า
ท้าวหิรันยพนาสูร เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.
๒๔๕๔ แล้วทรงเก็บไว้ประจำพระองค์ ๑ รูป
[๓] พระราชทานไว้ที่กรมบัญชาการกลางมหาดเล็ก ๑ รูป
[๔] กับโปรดให้ประดิษฐานไว้ที่หน้ารถยนต์พระที่นั่งโอเปิล
๑ รูป
[๕] และเมื่อโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระราชวังพญาไทขึ้นในตอนปลายรัชกาลก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้หล่อรูปท้าวหิรัญพนาสูรขนาดเท่าคนจริงประดิษฐานไว้ที่ศาลริมคลองสามเสนตอนท้ายพระราชวังต่อเนื่องกับเมืองจำลอง
ดุสิตธานี อีกรูปหนึ่ง
 |
รูปหล่อท้าวหิรัญพนาสูรที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งทรงเก็บไว้ประจำพระองค์
ต่อมาเป็นพระราชมรดกในสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ
เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
|
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๙
ได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือ คือ
เมืองกำแพงเพชร สุโขทัย สวรรคโลก อุตรดิตถ์
และพิษณุโลก ได้ทอดพระเนตรโบราณสถานสำคัญ
อันเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้ทรงจัดตั้ง
โบราณคดีสโมสร
เพื่อศึกษาค้นคว้าเรื่องราวทางโบราณคดีในเวลาต่อมา
และในการเสด็จพระราชดำเนินคราวนี้ได้ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเรื่อง
เที่ยวเมืองพระร่วง
ซึ่งราชบัณฑิตยสถานได้ยกย่องว่า
เป็นตำรานำทางเที่ยวตรวจตราโบราณวัตถุที่เมืองพระร่วงดีกว่าหนังสือเรื่องอื่นๆ
อันมีมาแต่ก่อน
ถัดจากนั้นในระหว่าง ๘ เมษายน - ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.
๒๔๕๒
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชได้เสด็จพระราชดำเนินเลียบหัวเมืองมณฑลปักษ์ใต้ครั้งแรก
เพื่อทอดพระเนตรสภาพภูมิประเทศและชัยภูมิในแนวคอคอดกระกับสภาพบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของราษฎร
เพื่อประกอบพระราชวินิจฉัยในการจัดการป้องกันประเทศในพื้นที่ซึ่งรัฐบาลสยามมีข้อตกลงลับกับรัฐบาลอังกฤษที่มลายู
(Federal Malay States) หรือ F.M.S. มาตั้งแต่
พ.ศ. ๒๔๔๐
 |
ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้าทหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร
ทรงฉายภาพคณะผู้ตามเสด็จที่หน้าสุสาน
เจ้าคุณเฒ่า พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี
(คอซูเจี้ยง ณ ระนอง)
สุนัขในภาพคือ
ย่าเหล สุนัขทรงเลี้ยง
|
ในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์ใต้ครั้งนั้น
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชได้เสด็จโดยเรือพระที่นั่งมหาจักรีจากกรุงเทพฯ
ไปทรงขึ้นบกที่เมืองชุมพร
แล้วเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนช้างบุกป่าฝ่าดงไปตามแนวคอคอดกระจนถึงปากจั่น
อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง
ซึ่งเป็นเขตต่อแดนเมืองมลิวันของอังกฤษ
จากนั้นได้เสด็จพระราชดำเนินต่อไปยังเมืองระนอง
ตะกั่วป่า ภูเก็ต พังงา ตะกั่วทุ่ง กระบี่
เกาะลันตา ตรัง ทับเที่ยง ทุ่งสง ร่อนพิบูลย์
และนครศรีธรรมราชเป็นที่สุด
อนึ่ง เมื่อเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติแล้ว
ยังได้เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์ใต้อีกถึง ๒
ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๕๘
เสด็จพระราชดำเนินจากกรุงเทพฯ
โดยขบวนรถไฟพิเศษไปถึงหัวหิน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
แล้วประทับเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดช
[๖] เสด็จพระราชดำเนินเลาะชายทะเลฝั่งตะวันออกไปประพาสเมืองนราธิวาส
สายบุรี ปัตตานี สงขลา พัทลุง ตรัง ภูเก็ต
นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร ตามลำดับ
แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ ๕
สิงหาคม ปีเดียวกัน
ส่วนครั้งที่สองในระหว่างวันที่ ๑๐ เมษายน - ๒๒
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๐
ซึ่งอยู่ในช่วงเตรียมการที่ประกาศสงครามกับเยอรมนีและออสเตรีย
ฮังการีนั้น
ได้เสด็จพระราชดำเนินข้ามคอคอดกระจากเมืองชุมพรไปยังตำบลมะมุ
อำเภอกระบุรี
จังหวัดระนองซึ่งเป็นเขตต่อแดนมลิวันของอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง
ต่อจากนั้นได้เสด็จพระราชดำเนินไปประพาสเมืองระนอง
ภูเก็ต ตรัง กันตัง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี
หลังสวน ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์
และเพชรบุรีตามลำดับ
 |
พระที่นั่งพิมานปฐม
ซึ่งเป็นพระที่นั่งองค์ประธานในพระราชวังสนามจันทร์
ทางขวาของภาพคือ เทวาลัยพระคเณศร์
|
ส่วนที่เมืองนครปฐมนั้น
เนื่องจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชได้ทรงรับพระราชธุระเป็นผู้อำนวยการบูรณะองค์พระปฐมเจดีย์
ทำให้ต้องเสด็จออกไปประทับที่เมืองนครปฐมอยู่เนืองๆ
จึงได้โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระตำหนักบังกะโลขึ้นที่หลังองค์พระเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๔๗ ต่อจากนั้นจึงทรงจัดซื้อที่ดินเนื้อที่
๘๘๘ ไร่ ๓ งาน ๒๔ ตารางวา
ที่บ้านเนินปราสาททางตะวันตกขององค์พระปฐมเจดีย์
แล้วได้โปรดเกล้าฯ ให้หลวงพิทักษ์มานพ (น้อย
ศิลปี)
[๗] เป็นนายงานจัดสร้างพระที่นั่งพิมานปฐมขึ้นเป็นองค์แรกเมื่อปี
พ.ศ. ๒๔๕๐ ต่อจากนั้นได้โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระที่นั่ง พระตำหนัก
และเรือนข้าราชบริพารเพิ่มเติม
แล้วได้โปรดพระราชทานนามพระราชฐานที่ประทับนี้ว่า
พระราชวังสนามจันทร์