แต่ภายหลังจากที่ทรงประกาศการพระราชพิธีหมั้นในวันที่
๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๓ ด้วยมีพระราชปรารถนาที่มีพระมเหษีเป็นเพื่อนได้อย่างฝรั่ง
แต่ต้องพระราชประสงค์ผู้ปฎิบัติอย่างไทยๆ
และให้เชื่อในความรักต่อกันและกันด้วยมีคำว่า
Honour
[๑]
แต่การนั้นก็มิอาจเป็นไปดังพระราชประสงค์ เพราะ
"พระองค์วัลภาฯ
เข้าใจว่าเพื่อนที่ดีก็ต้องช่วยแก้ไขป้องกันต่างๆ...
ส่วนการเชื่อในความรักซึ่งกันและกันนั้น
เมื่อพระองค์วัลภาฯ
ถูกยั่วให้หึงอยู่ทุกวันทุกเวลาแล้ว
ความเชื่อก็ค่อยๆ น้อยลงๆ ยิ่งขึ้นทุกที
จนถึงเดือนมกราคมซึ่งเป็นเวลาเสด็จไปประทับยังวังสนามจันทร์พระปฐมเจดีย์ทุกปีไป
พระองค์วัลภาฯ
ก็เสด็จไปประทับอยู่ที่สวนนันทอุทธยานพร้อมด้วยแฟมมิลี่ของพระองค์ท่าน
และเสด็จไปมาเยี่ยมอยู่เสมอมิได้ขาด
วันหนึ่งเสด็จไปเสวยค่ำกับพระเจ้าอยู่หัวที่สนามจันทร์
เสวยแล้วก็ทรงเล่นบิลเลียด
พวกผู้หญิงโดยมากเป็นผู้นั่งดู
พระองค์ลักษมีลาวัณเกิดอยากเล่นบิลเลียดขึ้นมาบ้าง
แต่แทงไม่เป็น ต้องเรียกหาคนช่วยสอน!
จนลงท้ายก็เป็นในหลวงทรงสอน
ผู้หญิงที่เขาอยู่ในเวลานั้นบอกว่า
"โธ่,
ท่านไม่เห็นท่าดิ้นอยู่ในพระทรวงในหลวงนั่น
นึกถึงท่าจับมือให้แทงบิลเลียดซี ใครๆ
ก็ทนไม่ได้!"
ด้วยเหตุนี้พระองค์วัลภาฯ ก็ลุกกลับ
ในหลวงทรงตามออกมาส่งดังเช่นเคย
ครั้นพอจะขึ้นรถพระองค์วัลภาฯ
ก็เมินหน้าไม่ยอม Good Night
ตอบพระเจ้าอยู่หัวต่อหน้าคน! ตายจริงๆ
ผู้ที่รู้จักว่า Pride
ขัตติยะมานะของกษัตริย์มีอยู่เป็นพิเศษแล้ว
จะไม่แปลกเลยที่จะรู้ว่า
พอเสด็จขึ้นเข้าห้องพระบรรทมแล้วก็ตรัสเรียกเจ้าพระยารามฯ
และพระยาอนิรุธฯ เข้าไปปรับทุกข์ว่า
"ฉันผิดเสียแล้ว
จะทำอย่างไร?
ยิ่งนานวันก็ยิ่งเป็นแม่ขึ้นทุกที!
แล้วก็น้ำพระเนตร์ไหลด้วยเจ็บและอาย
สองคนนั้นกราบทูลว่า
เห็นว่าถ้าจะเลิกกันก็เลิกเสียเดี๋ยวนี้ดีกว่าไปเลิกเอาเมื่ออภิเษกแล้ว
แต่เขาเป็นเด็กควรจะทรงปฤกษาเจ้าพระยาธรรมาฯ
[๒]
เสนาบดีกระทรวงวังดูอีกคน
ก็มีรับสั่งให้หาเจ้าพระยาธรรมาฯ
ขึ้นไปเฝ้า เจ้าพระยาธรรมาฯ กราบทูลว่า
ให้ทรงปฤกษาสมเด็จกรมพระยาเทววงษ์ฯ [๓]
เห็นจะดี ในคืนนั้นพอเข้าที่พระบรรทมแล้ว
มหาดเล็กห้องบรรทมชื่อโต สุจริตกุล [๔]
ได้ยินเรื่องข้างบนนี้แล้วก็รีบขึ้นรถถีบไปบอกคุณเปรื่องพี่สาวที่พระองค์วัลภาฯ
ประทับในทันที Maid of Honour
ผู้ใจดีก็ปลุกพระองค์วัลภาฯ
ขึ้นปฤกษากันว่า จะทำอย่างไร?
ตกลงกันว่าให้พระองค์วัลภาฯ
เขียนจดหมายไปขอพระราชทานโทษเสียแต่เช้า
พระองค์วัลภาฯ ก็ทำตามแต่ช้าเสียแล้ว
ไม่เป็นประโยชน์อันใด ต่อมาอีก ๒-๓
วันก็ถึงเวลาเสด็จกลับกรุงเทพฯ
สมเด็จกรมพระยาเทววงษ์ฯ
ทรงกราบทูลแนะนำว่า
ถ้าจะเลิกกันก็บอกเสียว่า "เจ็บ"
ก็แล้วกัน"
[๕] |
ภายหลังจากโปรดเกล้าฯ ให้ออก
"ประกาศเลิกการพระราชพิธีมั่น"
แล้ว "เจ้าพระยาธรรมาฯ
เป็นผู้ไปขอแหวนหมั้นคืนและเชิญพระองค์วัลภาฯ
เข้าไปประทับในวังหลวง
พระราชทานตำหนักใหญ่ให้อยู่หลังหนึ่งและเงินเลี้ยงชีพเดือนละ
๑,๐๐๐ บาทต่อไป
ส่วนการหมั้นหรือพระมเหสีต่อมานั้นไม่มีประกาศอื้ออึงอย่างพระองค์วัลภาฯ
เป็นแต่ประกาศตั้งเป็นตำแหน่งนั้น
ในราชกิจจานุเบกษา
และมีงานเป็นไปรเวตในพระราชสำนักตามพระราชอัธยาศัย"
[๖]
ฉะนั้นการที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี
เสด็จไปประทับในพระบรมมหาราชวังนั้น
จึงเป็นการเชิญเสด็จไปประทับตามพระเกียรติยศ "คนหลวง"
ซึ่งตามพระราชประเพณีนั้นถือว่า
ผู้ที่ถวายตัวเป็นคนหลวงแล้ว
ย่อมได้รับพระราชทานที่พักอาศัยตามแต่จะทรงพระมหากรุณา
แต่การจะออกไปไหนมาไหนนั้นต้องได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต
และเมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว
ก็จะโปรดเกล้าฯ
ให้จัดพระราชพาหนะพระราชทานพร้อมมีเถ้าแก่และกรมวังตามเสด็จ
การที่ต้องจัดให้มีเถ้าแก่และกรมวังตามเสด็จนั้น
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ได้ประทานคำอธิบายแก่หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล
พระธิดาไว้ว่า
ก็เพื่อให้เถ้าแก่ไปเป็นพยานว่าไม่ได้ไปเที่ยวเหลวไหลอย่างใด
เขาจึงเลือกเอาคนเถ้าคนแก่ซึ่งมีเวลาได้รู้จักอุบายของโลกมาแล้วมาตามเสด็จ
ส่วนกรมวังที่เป็นผู้ชายนั้นก็เผื่อถ้ามีภัยอันใดเกิดขึ้น
เช่นรถเกิดยางแตกก็จะได้มีกำลังช่วยกันแก้ไขให้นำเสด็จกลับได้โดยปลอดภัย
ซึ่งธรรมเนียมนี้ยังคงถือปฏิบัติสืบต่อกันมาทุกวันนี้
ดังนั้นการที่หนังสือ "นายใน"
สมัยรัชกาลที่ ๖ กล่าวว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ทรงถูก "ขังวังหลวง" นั้น
จึงเป็นเพียงคำเปรียบเปรย
หาใช่ต้องรับพระราชอาญาถึง "จำสนม"
ซึ่งตามพระราชประเพณีนั้น
หากพระบรมวงศ์กระทำผิดถึงต้องรับพระราชอาญาจำคุก
ก็จะโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพานโซ่ทองไปเกาะพระองค์มากักไว้ที่ศาลาว่าการกระทรวงวังในพระบรมมหาราชวัง
ส่วนข้าราชสำนักที่ต้องรับโทษจำขังก็จะโปรดเกล้าฯ
ให้กักตัวไว้ที่ที่ทำการกรมสนมพลเรือนในพระบรมมหาราชวัง
 |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเครื่องเต็มยศจอมพล ผู้บังตับการพิเศษ
กรมทหารราบที่ ๑
มหาดเล็กรักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงฉายพร้อมด้วยพระนางเธอลักษมีลาวัณ |
นอกจากนั้นหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล
ยังได้ทรงนิพนธ์ไว้ใน "พระราชวงศ์จักรี" อีกว่า
การที่ทรงหมั้นกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ
และทรงเลิกการหมั้นภายหลังจากที่ทรงอภิเษกสมรสด้วยคุณเปรื่อง
สุจิตกุล
และทรงพระมหากรุณาสถาปนาขึ้นเป็นพระนางเธอลักษมีลาวัณนั้นก็เพื่อให้เป็นไปตามพระประสงค์ที่จะทรงได้รับพระราชทานเงินปีๆ
ละ ๒๐,๐๐๐ บาทในฐานะพระอัครมเหสี
ส่วนการที่ทรงอภิเษกสมรสด้วยคุณประไพ สุจริตกุล
ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานสถาปนาพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี
พระบรมราชินี และคุณเครือแก้ว อภัยวงศ์
ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานพระอิสริยยศเป็น
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี
นั้นก็ด้วยมีพระราชประสงค์ที่จะมีพระราชกุมารเพื่อสืบราชสันตติวงศ์ต่อไปเท่านั้น
และแม้กระนั้นก็โปรดที่จะประทับร่วมกับพระมเหสีเพียงครั้งละพระองค์เท่านั้น
ดังได้กล่าวมานี้ย่อมเห็นได้ชัดว่า
ราชสำนักสยามได้มีการจัดแบ่งพื้นที่สำหรับฝ่ายหน้าและฝ่ายในกันมาแต่โบราณกาล
แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเสวยสิริราชสมบัตินั้น
ราชสำนักฝ่ายในในเวลานั้นก็ยังคงเป็นที่ประทับของพระมเหสี
พระราชธิดา และเจ้าจอมในรัชกาลก่อนๆ
ประกอบกับการที่ทรงเจริญพระชนมายุมาในท่ามกลางวัฒนธรรมอังกฤษยุควิคตอเรียน
เมื่อยังมิได้ทรงอภิเษกสมรสจึงโปรดที่จะประทับเยี่ยงชายโสดทางฝ่ายหน้ามาตลอดรัชสมัย
แม้จะทรงเริ่มมีฝ่ายในแล้วก็ยังโปรดที่จะแยกประทับกับฝ่ายในดังเช่นราชสำนักและครอบครัวขุนนางในยุโรป
ส่วนเรื่องที่หนังสือ " "นายใน"
สมัยรัชกาลที่ ๖" กล่าวว่า
"หลังจากที่อ้างว่าทรงแท้งบ่อยครั้ง
พระนางจึงถูกเปลี่ยนพระอิสริยยศจาก "พระบรมราชินี"
เป็น "พระวรราชชายา" ใน พ.ศ. ๒๔๖๘"
[๗]
นั้น เจรียง ลัดพลี
ก็ได้กล่าวถึงการตกพระครรภ์ (แท้ง) ไว้ว่า
"แล้ววันที่พระราชวังพญาไทที่แสนสุขสนุกสนานเบิกบานใจคล้ายแดนสวรรค์
ก็มีวันที่แสนเศร้าเหมือนกัน
วันหนึ่งตอนสายๆ
ขึ้นไปเฝ้าบนพระที่นั่งพิมานจักรี
ดิฉันยังเด็กไม่ทราบเรื่องอะไรดี
พบมีคนอยู่หลายคนแล้วที่ห้องเสวยกลางวันและมีพระแท่นบรรทมของสมเด็จฯ
ตั้งอยู่
เห็นมีผู้ชายเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี
(ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล) เจ้าคุณแพทย์พงศา (สุ่น
สุนทรเวช)
[๘]
หรือหลวงไวทย์ [๙]
จำไม่ได้แน่แต่มีหมอปัวซ์
[๑๐]
(หมอฝรั่ง)
เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทล้นเกล้าล้นกระหม่อมอยู่พร้อมกัน
ในมือเจ้าพระยาธรรมาฯ
เชิญพานทององค์ใหญ่มากมีผ้าขาวปูอยู่ในพานนั้น
เห็นล้นเกล้าฯ
ท่านทรงพระกรรแสงซับพระเนตรด้วยผ้าเช็ดพระพักตร์
เราหน้าตื่นถามพี่ๆ
ผู้ใหญ่ก็ได้ความว่าสมเด็จฯ
ท่านทรงแท้งพระโอรสพระชันษาได้ ๗
เดือนเสียแล้ว" [๑๑] |
ส่วนการที่โปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามใหม่เป็น
พระวรราชชายา ในตอนปลายรัชสมัยนั้น
คงจะมีพระราชประสงค์ที่จะโปรดเกล้าฯ
สถาปนาพระนางเจ้าสุวัทนา
พระวรราชเทวีขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินี
เมื่อทรงมีพระราชกุมาร ดังที่นายแพทย์แมนเดลสัน
(R. W. M. Mendelson)
ศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลกลางซึ่งเป็นผู้ถวายผ่าตัดพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวคราวทรงพระประชวรครั้งที่สุดก่อนเสด็จสวรรคต
ได้บันทึกไว้ใน "Professional Record of The Last
Illness of His Majesty Rama VI, King of Siam"
ซึ่งหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล
ได้แปลเป็นภาษาไทยในชื่อ "บันทึกของหมอแมนเดลสัน
ผู้ถวายการผ่าตัดพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว"
ว่า เมื่อพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี
ใกล้จะมีพระประสูติการ "ทางราชการเตรียมการไว้อย่างเต็มที่
ถ้าพระนางเจ้าฯ มีพระประสูติการเป็นพระราชโอรส
ทหารปืนใหญ่ที่ท้องสนามหลวงจะยิงสลุต ๑๐๑ นัด
พระสงฆ์จะชยันโตทั่วประเทศ
แต่สมเด็จเจ้าฟ้าองค์เล็กเป็นพระราชธิดา
เรื่องเหล่านั้นจึงระงับไป มีประโคมด้วยดนตรีเพียง
๘ นาที อย่างไรก็ดี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็พอพระราชหฤทัยรับสั่งกับหมอว่า
"The next time it would be a boy"
[๑๒]
อนึ่ง การที่หนังสือ "นายใน" สมัยรัชกาลที่
๖ พยายามเปรียบเทียบว่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสนิทสนมกับมหาดเล็กมากกว่าข้าราชสำนักฝ่ายใน
เช่น
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น
ก็มีข้อที่ควรพิจารณาว่า
สตรีไทยในยุคก่อนนั้นมีโอกาสได้เล่าเรียนเขียนอ่านน้อยมาก
เรื่องราวในพระราชสำนักฝ่ายในจึงไม่เคยมีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
จนล่วงเข้าสู่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ข้าราชสำนักฝ่ายในได้เล่าเรียนเขียนอ่านกันมากขึ้น
จากนั้นจึงเริ่มมีการบันทึกเรื่องราวภายในพระราชสำนักฝ่ายในเป็นลายลักษณ์อักษรออกเผยแพร่
แต่ในส่วนของบุรุษนั้นถึงแม้จะได้เล่าเรียนจนอ่านเขียนได้คล่องกันมาช้านาน
แต่ก็ไม่ใคร่จะมีมหาดเล็กคนใดบันทึกเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ราชการในฝ่ายหน้าไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
เพราะมีข้อปฏิบัติของมหาดเล็กที่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาว่า
"การนำความในของเจ้าไปเล่าภายนอกนั้น
เจ้าก็ไม่พอพระหฤทัย
ทั้งผู้ที่ฟังก็ไม่นับถือผู้เล่า
กลับจะเห็นเป็นคนเลวอันห้ามปากตนเองไม่ได้
แต่เขาคบก็เพราะเขาประสงค์จะใช้เป็นเครื่องมือของเขาเท่านั้น"
[๑๓]
ทั้งผู้ที่นำความในของเจ้านายออกไปแพร่งพรายที่ภายนอกนั้นยังจะต้องรับโทษทัณฑ์ที่ร้ายแรง
ฉะนั้นเมื่อมีการนำเรื่องราวการปฏิบัติราชการของข้าราชสำนักฝ่ายในในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวออกมาเผยแพร่เป็นจำนวนมาก
ในขณะที่เรื่องราวในพระราชสำนักฝ่ายหน้าแทบจะไม่มีผู้ใดกล่าวถึง
คนรุ่นหลังที่ไม่มีพื้นความรู้เรื่องขนบประเพณีในพระราชสำนักมาก่อน
เมื่อได้อ่านแต่บันทึกเรื่องราวภายในพระราชสำนักฝ่ายในในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว
ก็มักจะหลงเข้าใจผิดไปว่า
การถวายการรับใช้บางอย่าง เช่น
การถวายงานนวดนั้นต้องเป็นหน้าที่ของข้าราชสำนักฝ่ายในเท่านั้น
ทั้งที่ในตำแหน่งราชการกรมแพทย์ในพระราชสำนักในรัชกาลก่อนๆ
มา ก็มีทั้งกรมหมอยา กรมหมอนวด กรมหมอกุมาร ฯลฯ
ทั้งยังมีบรรดาศักดิ์สำหรับข้าราชการในกรมต่างๆ
เหล่านี้ในบทพระไอยการตำแหน่งนาข้าราชการมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาด้วย