ส่วนกรมมหาดเล็กซึ่งในประกาศพระบรมราชโองการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ราชการในกรมมหาดเล็ก
พ.ศ. ๒๔๔๐
ได้กำหนดให้เป็นส่วนราชการหนึ่งในสังกัดกระทรวงวังนั้น
ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้แยกเป็นส่วนราชการอิสระ
พร้อมกับได้โปรดเกล้าฯ
ให้จางวางมหาดเล็กข้าหลวงใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒ นาย คือ พระยาวรพงษ์พิพัฒน์ [๑] (ม.ร.ว.เย็น
อิศรเสนา) และพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (นพ ไกรฤกษ์)
กับมหาดเล็กข้าหลวงเดิมที่ได้ปฏิบัติราชการในพระองค์มาแต่ก่อนเสด็จเสวยราชย์
๒ นาย คือ พระยาเทพทวาราวดี (สาย ณ มหาชัย)
จางวางมหาดเล็กข้าหลวงเดิม และนายขัน หุ้มแพร [๒]
(ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) หัวหน้ามหาดเล็กเด็กๆ
เป็นสภาจางวางมหาดเล็กทำหน้าที่บริหารราชการทั้งปวงในกรมมหาดเล็กขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์
ทั้งยังได้โปรดเกล้าฯ
ให้จัดระเบียบราชการกรมมหาดเล็ก
ซึ่งในตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ
ให้แยกราชการประเภทต่าง ๆ ไว้ในมหาดเล็กเวรศักดิ์
เวรสิทธิ์ เวรฤทธิ์ เวรเดช ดังได้กล่าวแล้ว
ขึ้นเป็นกรมชั้นอธิบดี รับผิดชอบราชการในกรมนั้น ๆ
ตรงต่อสภาจางวางมหาดเล็ก
โดยในกรมชั้นอธิบดีนั้นยังแบ่งส่วนราชการเป็นกรมย่อย
มีเจ้ากรมเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นรองลงไปอีก คือ
๑. กรมบัญชาการสภาจางวางวางมหาดเล็ก
ภายหลังเปลี่ยนเป็นกรมบัญชาการกลาง มหาดเล็ก
มีสภาจางวางมหาดเล็กเป็นผู้บังคับบัญชาราชการทั้งปวงในกรมมหาดเล็ก
และเป็นสภากรรมการจัดการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงด้วย
๒. กรมมหาดเล็ก เดิมเรียกว่า
กรมมหาดเล็กรับใช้
มีอธิบดีกรมมหาดเล็กเป็นผู้บังคับบัญชาราชการต่าง
ๆ
ในกรมมหาดเล็กซึ่งมีส่วนราชการที่สำคัญประกอบด้วย
๒.๑ กรมมหาดเล็กห้องพระบรรทม
มีจางวางหรือเจ้ากรมมหาดเล็กห้องพระบรรทมเป็นหัวหน้า
มีมหาดเล็กประจำการไม่เกิน ๘ คน แบ่งเป็น ๒ เวร
มีหน้าที่จัดเกี่ยวกับห้องพระบรรทมและห้องสรง
รวมทั้งการจัดเครื่องแต่งพระองค์ทั้งเครื่องปกติ
ครึ่งยศ เต็มยศ และเครื่องลำลอง
ในเวลาเสด็จเข้าห้องพระบรรทมแล้ว
คนหนึ่งต้องนอนอยู่ใกล้ ๆ
ในระยะที่จะทรงเรียกปลุกได้ในเวลาที่ทรงพระบรรทมอยู่
๒.๒ กรมมหาดเล็กรับใช้ ภายหลังเปลี่ยนเป็นกรมมหาดเล็กตั้งเครื่อง
มีเจ้ากรมมหาดเล็ก ตั้งเครื่องเป็นหัวหน้า
มีมหาดเล็กประจำการไม่น้อยกว่า ๒๐ คน
ส่วนใหญ่คัดมาจากนักเรียนโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
มีหน้าที่รับใช้ที่โต๊ะเสวย
และมีเวรเชิญเครื่องตามเสด็จทุกครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินออกไปนอกพระราชวัง
จัดเวรประจำรักษาการที่ชั้นล่างของพระที่นั่ง
เวรหนึ่งประมาณ ๔ คน
และคนหนึ่งในจำนวนนี้ต้องตื่นอยู่ตลอดเวลา
เพื่อคอยรับแขกและระวังเหตุ บางคนต้องอยู่เฝ้าฯ
เพื่อร่วมเล่นกีฬา และแสดงละครปริศนา ฯลฯ
๒.๓ กรมคลังวรภาชน์
มีเจ้ากรมคลังวรภาชน์เป็นหัวหน้า
มีหน้าที่เกี่ยวกับอาหาร การผสมเหล้าค็อกเทล
ติดต่อกับห้องเครื่องหวาน เครื่องคาว
๒.๔ กรมพระราชพิธี มีเจ้ากรมพระราชพิธีมหาดเล็กเป็นหัวหน้า
มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดเครื่องบูชาต่าง ๆ
๒.๕ กรมราชเลขานุการในพระองค์ มีราชเลขานุการในพระองค์เป็นหัวหน้า แบ่งเป็น
"เลขานอก" มีหน้าที่เกี่ยวกับงานหนังสือราชการ
"เลขาใน"
มีหน้าที่เกี่ยวกับหนังสือส่วนพระองค์ทั้งหมด
๓. กรมมหรสพ มีผู้บัญชาการกรมมหรสพ
เป็นผู้บังคับบัญชาราชการต่างๆ
ซึ่งมีส่วนราชการที่สำคัญประกอบด้วย
๓.๑ กรมช่างมหาดเล็ก
มีจางวางกรมช่างมหาดเล็กเป็นหัวหน้า
มีหน้าที่เกี่ยวกับการออกแบบจัดสร้างฉากโขน ละคร
งานจัดสร้างธงเสือป่าและลูกเสือ
การซ่อมสร้างหัวโขน ฯลฯ
๓.๒ กรมโขนหลวง มีเจ้ากรมโขนหลวงเป็นหัวหน้า
มีหน้าที่เกี่ยวกับงานการแสดงทั้งโขนและละคร
๓.๓ กรมพิณพาทย์หลวง มีเจ้ากรมพิณพาทย์หลวงเป็นหัวหน้า
มีหน้าที่เกี่ยวกับงานดนตรีทั้งในเวลาแสดงโขนละครและงานพระราชพิธีต่าง ๆ
ในพระราชสำนัก
๓.๔ กองเครื่องสายฝรั่งหลวง มีเปลัดกรมกองเครื่องสายฝรั่งหลวงเป็นหัวหน้า
มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดบรรเลงดนตรีประเภทเครื่องสายฝรั่งหรือวงดุริยางค์
๔. กรมชาวที่ มีอธิบดีกรมชาวที่
เป็นผู้บังคับบัญชาราชการต่างๆ
ในกรมชาวที่ซึ่งมีส่วนราชการที่สำคัญประกอบด้วย
๔.๑ กรมสวนหลวง
๔.๒ กรมรักษาพระบรมมหาราชวัง
๔.๓ กรมรักษาพระราชวังสวนดุสิต
๔.๔ กรมรักษาพระราชวังบางปะอิน
๔.๕ กรมรักษาพระราชวังสนามจันทร์
๔.๖ กรมรักษาพระราชวังพญาไท
๕. กรมพระอัศวราช มีอธิบดีกรมพระอัศวราช
เป็นผู้บังคับบัญชาราชการต่างๆ
ในกรมพระอัศวราชซึ่งมีส่วนราชการที่สำคัญประกอบด้วย
๕.๑ กรมพระอัศวราช
มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องม้าต้นและการจัดกระบวนรถม้าพระที่นั่ง
๕.๒ กรมม้าพระประเทียบ
๕.๓ กรมรถม้า
๕.๔ กรมม้าสำรองราชการ
๕.๕ กรมยานยนต์
๕.๖ กรมเรือยนต์
[๓]
เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดระเบียบราชการกรมมหาดเล็กเป็น ๔ กรม
มีอธิบดีเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ
รวมทั้งโปรดเกล้าฯ
ให้มีบรรดาศักดิ์และราชทินนามสำหรับกรมต่างๆ
เหล่านั้นเป็นการเฉพาะแล้ว ก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้ยกบรรดาศักดิ์มหาดเล็กในทำเนียบตั้งแต่ชั้นเจ้าหมื่นลงไปจนถึงนายรอง
ทั้งเวรศักดิ์ เวรสิทธิ์ เวรฤทธิ์ เวรเดช
ไปรวมไว้ที่กรมมหาดเล็กรับใช้ซึ่งต่อมาโปรดเกล้าฯ
ให้ออกนามใหม่ว่า
กรมมหาดเล็กเพื่อให้สอดคล้องกับขนบประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
 |
พระยาบำเรอบริรักษ์ (สาย ณ มหาไชย) |
แต่เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระยาเทพทวาราวดี
ออกจากราชการเพราะเหตุอันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ในแบงก์สยามกัมมาจล
ทุนจำกัดใน พ.ศ. ๒๔๕๖ แล้ว
สภาจางวางมหาดเล็กจึงคงเหลือกรรมการผู้ปฏิบัติหน้าที่เพียง
๓ นาย และต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๖๒ ได้มีพระราชดำริว่า
ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดระเบียบบังคับบัญชาการกรมมหาดเล็กทั่วไป
โดยมีสภาสำหรับรวบยอดการบังคับบัญชาทั่วไป
เรียกว่า สภาจางวางกรมมหาดเล็ก
มีจางวางเป็นกรรมการรับผิดชอบบังคับบัญชาสรรพราชกิจน้อยใหญ่ในกรมขึ้น
และกรมสมทบทั้งปวงทั่วไป
ไม่มีกำหนดกี่นายแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ตั้งขึ้น และแม้ว่าจะสั่งการใดๆ
จางวางซึ่งเป็นกรรมการสภาจะต้องรู้เห็นด้วยกันทุกแพนกดังนี้
กระทำให้ราชการของกรมมหาดเล็กต้องเนิ่นช้าไปบ้างเกินกว่าที่ควร
จางวางผู้ซึ่งเป็นกรรมการจึงได้ผ่อนผันอนุโลมไปเพื่อความสะดวก
คือมอบอำนาจและสิทธิที่จะสั่งการให้แก่กรรมการคนหนึ่งคนใดบังคับบัญชาสั่งการไปโดยลำพัง
กิจการก็ดำเนินไปโดยความเรียบร้อยตลอดมา
จึงเป็นเหตุแสดงให้ทรงสังเกตเห็นชัดว่าวิธีการปกครองกรมมหาดเล็กอย่างที่ตั้งเป็นสภาจางวาง
มีจางวางเป็นกรรมการบังคับบัญชาราชการนั้น
หาตรงกับลักษณะที่เป็นอยู่ไม่ จึงโปรดเกล้าฯ
ให้ยกเลิกสภาจางวางกรมมหาดเล็กนั้นเสีย
และให้มีตำแหน่งบังคับบัญชาการกรมมหาดเล็กขึ้นใหม่
เรียกว่าผู้สำเร็จราชการมหาดเล็ก กับได้โปรดเกล้าฯ
ให้พระยาประสิทธิ์ศุภการ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ)
เป็นผู้สำเร็จราชการมหาดเล็กมาตั้งแต่วันที่ ๑๕
มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๒ โดยมีพระยาวรพงษ์พิพัฒน์
และพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ
เป็นผู้ช่วยผู้สำเร็จราชการมหาดเล็กต่อมา
ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมหาดเล็กนี้
จึงอาจจะเปรียบได้กับตำแหน่งผู้บัญชาการกรมมหาดเล็ก
ซึ่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย
กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์
เคยทรงดำรงตำแหน่งนี้มาแต่ครั้งจัดระเบียบราชการกรมมหาดเล็กเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๔๐ และได้
"บังคับบัญชาการในกรมมหาดเล็กทั่วไป"
[๔]
มาตราบสิ้นพระชนม์ในวันที่ ๑๗ มิถุนายน ร.ศ. ๑๑๘
(พ.ศ. ๒๔๔๒)
ส่วนที่หนังสือ "นายใน" สมัยรัชกาลที่ ๖
กล่าวถึงเจ้าพระยารามราฆพว่า
เป็นผู้คัดสรรนางในถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น
ก็เป็นการกล่าวอ้างที่ปราศจากมูลความจริงรับรอง
เพราะในข้อเท็จจริงนั้นเจ้าพระยารามราฆพเป็นผู้สนับสนุนพระนางเธอลักษมีลาวัณเพียงพระองค์เดียว
ด้วยมีความเกี่ยวดองเป็นญาติกันทางมารดา
ส่วนพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี
และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีนั้น
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลือกด้วยพระองค์เอง
ในขณะที่พระสุจริตสุดานั้น เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี
(ปลื้ม สุจริตกุล) เป็นผู้นำถวายตามพระราชประเพณี
และพระสุจริตสุดาก็เป็นผู้นำสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี
พระวรราชชายา ถวายตัวอีกพระองค์หนึ่ง
ฉะนั้นการที่หนังสือ "นายใน" สมัยรัชกาลที่ ๖
ได้เปรียบเทียบไว้ว่า "เจ้าพระยารามราฆพ
เสมือน "สมเด็จอธิบดีฝ่ายใน"
[๕]
นั้น
จึงเป็นการตีความที่เกินจริง
เพราะหน้าที่รับผิดชอบของเสด็จอธิบดีฝ่ายในนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิงกับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมหาดเล็ก
และส่วนที่หนังสือ "นายใน" สมัยรัชกาลที่ ๖
กล่าวว่า "พระยาอนิรุทธเทวาเสมือน
"ท้าววรจันทร์" นั้น
โดยข้อเท็จจริงแล้วตำแหน่งท้าววรจันทร์นั้นเป็นที่สมเด็จพระพี่เลี้ยง
(หมายถึงพระพี่เลี้ยงกษัตริย์หรือพระราชโอรสที่ยังมิได้โสกันต์
และพระราชธิดาชั้นสมเด็จเจ้าฟ้า)
นอกจากนั้นยังเป็นหัวหน้าท้าวนางทั้งปวง
ได้บังคับบัญชาทั่วไปในราชสำนักฝ่ายใน
ตลอดจนมีหน้าที่ตักเตือนว่ากล่าวพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน
และพระสนมกำนัล
แต่พระยาอนิรุทธเทวานั้นมิได้มีหน้าที่ราชการเฉกเช่นตำแหน่งท้าววรจันทร์
ส่วนหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือนพระบรมวงศ์ฝ่ายหน้านั้น
ก็พบหลักฐานว่าได้โปรดเกล้าฯ
ให้เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว.ปุ้ม
มาลากุล)
เสนาบดีกระทรวงวังเป็นเจ้าหน้าที่ในการนี้
ดังมีหลักฐานปรากฏในเวลาต่อมาว่า
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักและแพทย์ผู้ถวายการรักษาระบุว่า
พระอาการไม่มีหวังที่จะรักษาแล้ว
พระบรมวงศ์พระองค์หนึ่ง
"ก็ออกไปประทับเป็นใหญ่สั่งการงานอยู่ทางหน้ากระทรวงวัง.
ใครผ่านไปก็ต้องแลเห็น,
ทั้งมีบางคนที่แอบไปได้ยินคำสั่งว่า
ให้ขัดตรวนไว้ใส่เจ้าพระยาธรรมาฯ
เสนาบดีกระทรวงวัง."
[๖]
ฉะนั้นการที่หนังสือ "นายใน" สมัยรัชกาลที่ ๖
กล่าวว่า "พระยาอนิรุทธเทวาเสมือน
"ท้าววรจันทร์"
[๗]
นั้น จึงเป็นการตีความเกินจริงอีกประการหนึ่ง