ในตอนที่ว่าด้วยบทบาทหน้าที่ของมหาดเล็กซึ่งในหนังสือ
"นายใน" สมัยรัชกาลที่ ๖ เรียกว่า "นายใน" นั้น
หนังสือ "นายใน" สมัยรัชกาลที่ ๖
ได้กล่าวถึงพระราชจริยาวัตร
และมหาดเล็กรับใช้ตามความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนหนังสือดังกล่าวซึ่งมีเพศวิสัยผิดแผกไปจากเพศปกติของตน
จึงทำให้ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รับทราบเรื่องราวในพระราชสำนักพลอยเข้าใจผิด
ในโอกาสนี้จึงขอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชจริยาวัตรและบทบาทหน้าที่ของมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เท่าที่ได้เรียนรู้จากข้อเขียนและคำบอกเล่าของนักเรียนเก่ามหาดเล็กหลวงหลายท่านที่เคยรับราชการเป็นมหาดเล็กในรัชสมัย
 |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงฉลองพระองค์อย่าง "อยู่กับบ้าน"
ทรงฉายพร้อมด้วยสุนัขทรงเลี้ยง "ย่าเพล" |
พระราชจริยาวัตรประจำวัน
ในเรื่องพระราชจริยาวัตรส่วนพระองค์นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่า
เมื่อใกล้เวลาตื่นพระบรรทม
มหาดเล็กห้องพระบรรทมที่เป็นเวรชั้นผู้ใหญ่จะค่อยๆ
คลานเข้าไปใกล้พระแท่น ก้มลงกราบถวายบังคม
แล้วขยับเข้าไปชิดเบื้องพระบาท ค่อย
ๆ นวดที่พระชงฆ์ และพระบาทแต่เบา
ๆ พอให้รู้สึกพระองค์
เมื่อเห็นว่ายังบรรทมหลับสนิทอยู่ก็จะประจงถวายนวดให้แรงขึ้น
หรือทำให้สั่นสะเทือนทีละน้อยจนรู้สึกพระองค์
ครั้นตื่นพระบรรทมเสวยพระกระยาหารเช้าในพระที่แบบชาวตะวันตกและสรงแล้ว
ถ้ามีพระราชกิจต้องเสด็จออกไปทรงปฏิบัตินอกพระราชฐานก็จะทรงเครื่องที่มหาดเล็กห้องพระบรรทมจัดถวายตามหมายกำหนดการ
หากไม่มีพระราชกิจใด ๆ
ก็จะทรงพระภูษาอย่างอยู่กับบ้าน
แล้วเสด็จออกจากห้องพระบรรทมประทับทรงหนังสือราชการซึ่งราชเลขาธิการส่งเข้ามาถวายเรื่อยไปจนใกล้เวลา
๑๕.๐๐ น. มหาดเล็กห้องพระบรรทมจะออกมารับเหล้า
"ค็อกเทล" ขึ้นไปทอดถวาย
เหล้าค็อกเทลนี้เป็นเหล้าที่ปรุงผสมจากเหล้าฝรั่งหลายอย่างตามตำหรับสากล
ซึ่งหัวหน้ากองคลังวรภาชน์เป็นผู้ปรุงถวาย
เปลี่ยนไปวันละตำหรับ
ขณะที่มหาดเล็กห้องพระบรรทมเชิญถ้วยค็อกเทลขึ้นไปทอดถวายที่โต๊ะทรงพระอักษรนั้น
เจ้าพนักงานคลังวรภาชน์จะหยิบฆ้องใบเล็กขึ้นมาตีเป็นสัญญาณหนึ่งจบ
คล้ายประกาศให้ผู้มีหน้าที่ทุกฝ่ายเตรียมพร้อม
เรียกกันตามภาษาในวังว่า "ฆ้องหนึ่ง"
เมื่อทอดถวายถ้วยค็อกเทลเรียบร้อยแล้ว
จะทรงจิบทีละน้อย ๆ
เหมือนเป็นการเรียกน้ำย่อย จะเร็วหรือช้าไม่แน่นัก
สุดแท้แต่จะมีพระอักษรที่ทรงค้างอยู่มากหรือน้อยเป็นสำคัญ
เมื่อทรงจิบค็อกเทลที่เหลืออยู่เป็นครั้งสุดท้ายเป็นสัญญาณว่า
จะทรงหยุดทรงพระอักษรแล้ว
มหาดเล็กห้องพระบรรทมซึ่งหมอบเฝ้าอยู่ในที่ใกล้ๆนั้น
ก็คลานเข้าไปถอนถ้วยค็อกเทลนั้นออกมา
แล้วนำไปส่งคืนเจ้าพนักงานคลังวรภาชน์
ในขณะนั้นเองพนักงานคลังวรภาชน์จะลั่นฆ้องสัญญาณเป็น
๒ ลา ซึ่งเรียกกันว่า "ฆ้องสอง"
อันเป็นสัญญาณที่รู้กันดีในหมู่มหาดเล็กทั่วไป
ให้เตรียมพร้อมรอรับเสด็จเพื่อสนองพระยุคลบาทตามตำแหน่งหน้าที่
การแต่งกายของมหาดเล็กตั้งเครื่องนั้น
ทุกคนจะนุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงิน
ไม่สวมรองเท้าและถุงเท้า
สวมเสื้อนอกขาวแบบราชปะแตนดุมพระมหามงกุฎเงินเหมือนที่นักเรียนวชิราวุธใช้ในปัจจุบัน
พร้อมแผ่นคอสีน้ำเงินขลิบแถบเงินประดับดาราตามชั้นยศ
เข้าไปนั่งพับเพียบเรียงลำดับอาวุโส
โดยทางเบื้องขวาของพระหัตถ์
เป็นมหาดเล็กชั้นหัวหมื่นที่เรียกกันว่า "พระนาย" [๑]
ต่อลงไปเป็นรองหัวหมื่นเรียกกันว่า "หลวงนาย" [๒]
และจ่า [๓]
แล้วจึงถึงหุ้มแพร รองหุ้มแพรตามลำดับ
ส่วนทางเบื้องซ้ายพระหัตถ์ก็เป็นชั้นรองหัวหมื่น
จ่า หุ้มแพร รองหุ้มแพรตามลำดับเช่นเดียวกัน
เมื่อคุณพนักงานครัวพระเข้าต้นจัดเตรียมเครื่องเสวยไว้พร้อมสรรพแล้ว
ในระหว่างนี้หัวหน้าเวรมหาดเล็กกองตั้งเครื่องจะตรวจความเรียบร้อยของดวงตราที่หุ้มห่อพระกระยาเสวยที่เชิญมาจากห้องเครื่อง
แล้วเทียบเครื่อง (คือ ตักขึ้นชิมให้แน่ใจว่า
ไม่มียาพิษเจือปนอยู่ ตลอดจนน้ำดื่ม น้ำชา เหล้า
อาหารกระป๋อง ฯลฯ)
ต่อมาเมื่อทรงตั้งตำแหน่งมหาดเล็กรับใช้ขึ้นแล้ว
หน้าที่การเทียบและเชิญค็อกเทลขึ้นทูลเกล้าฯ
ถวายและตีฆ้องสัญญาณนั้นตกเป็นหน้าที่ของมหาดเล็กรับใช้สืบมาจนสิ้นรัชสมัย
เมื่อเสด็จเข้ามาในห้องเสวยหลังสัญญาณฆ้อง ๒ นั้น
แม้จะทรงพระดำเนินเข้ามาเงียบๆ
แต่พลันที่ได้กลิ่นพระสุคนธ์โชยมาเป็นสัญญาณว่าเสด็จพระราชดำเนินมาถึงแล้ว
บรรดามหาดเล็กที่รอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ ณ
ที่นั้นต่างก็พากันหมอบกราบถวายบังคมลงกับพื้น
และรอเฝ้าถวายงานตามหน้าที่
ในการประทับเสวยอย่างแบบไทยในช่วงก่อนที่จะทรงมีฝ่ายในนั้น
มักจะมีพระราชดำรัสสั่งให้จัดถวายในเวลาที่แปรพระราชฐานไปประทับแรมที่พระที่นั่งภาณุมาศจำรูญ
[๔]
ในพระบรมมหาราชวัง
เพราะที่พระที่นั่งองค์นี้มีพระเฉลียงที่กว้างขวางโปร่งสบายอยู่ที่ส่วนหน้าพระที่นั่ง
ในบริเวณนั้นไม่มีโต๊ะเก้าอี้
แต่ลาดพรมอย่างดีนิ่มไปหมดทั้งบริเวณ
ตรงที่ซึ่งจัดเป็นที่ประทับนั้นปูผ้าตาดพื้นทองขลิบขอบด้วยแถบทองมีรองพื้นเป็นผ้าสีแดงขนาดกว้างยาวประมาณ
๑ เมตรสี่เหลี่ยม
ทอดพระที่นั่งสีเหลืองเป็นพระยี่ภู่ (เบาะสำหรับใช้เป็นที่ประทับ)
พร้อมพระเขนยอิง (ที่เรียกว่า "หมอนขวาง")
เย็บตรึงติดกับพระยี่ภู่ไว้ข้างบน
เครื่องราชูปโภคที่สำคัญในการเสวยต้นนี้ คือ
พระสุพรรณภาชน์หรือพานปากแบนที่มีชื่อเรียกเป็นสามัญว่า
"โต๊ะ"
ชุดหนึ่งมี ๓ องค์ คือ ๓ โต๊ะ
เป็นโต๊ะทำด้วยทองคำบ้างเงินบ้าง
ปากโต๊ะเป็นกุดั่น คือ ฝังพลอยสีต่าง
ๆ เป็นเครื่องคาว ๒ องค์ คือ
เครื่องใหญ่องค์หนึ่ง เครื่องเคียงองค์หนึ่ง
กับอีกองค์หนึ่งสำหรับวางชามพระกระยาเสวย
เมื่อเสด็จประทับเหนือพระราชอาสน์เรียบร้อยแล้ว
หัวหมื่นมหาดเล็กผู้ใหญ่ที่ประจำอยู่เบื้องขวาที่ประทับเปิดกรวยครอบพระสุพรรณภาชน์ทั้งหมดออก
ในเวลาเดียวกันนั้นมหาดเล็กผู้ใหญ่ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ร่วมโต๊ะเสวย
อาทิ หม่อมเจ้าชัชวลิต เกษมสันต์ เจ้าพระยารามราฆพ
(ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) พระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล.ฟื้น
พึ่งบุญ) และพระยาอุดมราชภักดี (โถ สจริตกุล)
ที่รออยู่ภายนอกก็ทยอยกันเข้ามานั่งตามที่นั่งของตน
พร้อมกันแล้วคุณพระนายผู้เป็นหัวหมื่นมหาดเล็กตักพระกระยาเสวย
จากหม้อเคลือบสีขาวทรงกระบอกที่บรรจุอยู่ในถังทองเหลืองใส่น้ำร้อนถวายลงในชามพระกระยาเสวยประมาณ
๒ ช้อน
ครั้นแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยื่นพระหัตถ์ขวาออกมาเหนือพระสุพรรณราช
คุณพระนายจะค่อย ๆ
รินน้ำจากคนโทเงินถวายชำระให้สะอาด
แล้วจึงเริ่มเสวยด้วยพระหัตถ์
(เว้นแต่วันใดมีพระราชกิจที่จะต้องทรงปฏิบัติภายหลังเสวยจึงมักจะทรงจะใช้ช้อนส้อม)
ในระหว่างเสวยนั้นคุณพระนายและคุณหลวงนายที่นั่งประจำทั้งเบื้องขวาซ้ายของพระที่นั่งก็จะคอยเลื่อนเครื่องที่ทรงโปรดเสวยในเวลานั้นให้ใกล้เข้าไป
ถ้าพระกระยาเสวยพร่องมาก
คุณพระนายจะคอยตักถวายจนกว่าจะทรงห้าม
พระจริยาวัตรในเวลาเสวยต้นนี้น่าชมในความละเมียดละมัยเป็นอย่างมาก
เพราะทรงใช้พระหัตถ์ได้อย่างละมุนละม่อมชนิดที่ไม่มีข้าวหล่นลงมาเลย
เครื่องพระยาหารคาวหวานที่ห้องพระเครื่องต้นจัดขึ้นมาถวายเป็นประจำเวลาสวยต้นนั้น
จะเป็นอาหารไทยล้วน และเป็นอาหารพื้นๆ
ที่ปรุงขึ้นจากเนื้อสัตว์ ผักสด ไขมัน
แป้งและเครื่องปรุงรสนานาชนิดบรรดาที่คนไทยเรานิยมรับประทานกันทั่วไป
แต่การประกอบพระกระยาหารเหล่านี้
ชาวพนักงานห้องเครื่องทั้งคาวหวานต่างก็ปรุงแต่งและประดิษฐ์ขึ้นด้วยฝีมืออันประณีต
ทั้งรสกลิ่นกลมกล่อมเอมโอชเป็นพิเศษยิ่ง
ผักหรือผลไม้ล้วนแกะสลัก ปอก คว้าน
ให้ดูสวยงามและเสวยง่าย
อีกทั้งจัดวางให้เข้าชุดกับสิ่งที่จะต้องประกอบกัน
เช่นผักสดกับเครื่องจิ้มก็จัดวางไว้ใกล้ๆ
กันกับปลา สำหรับแนม เป็นต้น
พระกระยาหารคาวซึ่งชาวพนักงานพระเครื่องต้นจัดถวายในแต่ละวันนั้นจัดเป็นชุด
มีพร้อมทั้งแกงเผ็ด แกงจืด ปลาสำหรับแนม
เครื่องจิ้ม ผักสดหรือผักชนิดอื่นๆ (เช่น
ผักดองและผักต้ม) เครื่องเคียงต่างๆ
ประมาณไม่ต่ำกว่า ๑๐ อย่าง
ผลัดเปลี่ยนเวียนกันไปเพื่อมิให้ทรงเบื่อ
แต่สิ่งที่โปรดเสวยมากจนเป็นที่รู้กันว่า
ชาวพนักงานพระเครื่องต้นจะพยายามจัดหาไม่ค่อยขาดนั้นมีอยู่
๒- ๓ อย่าง คือ
๑. ยำไข่ปลาดุก
ซึ่งเป็นเครื่องเคียงของประจำที่มีอยู่เกือบตลอดฤดูกาล
๒. ด้วงโสนทอดกรอบ
(จัดอยู่ในประเภทอาหารพิเศษตามพระราชบุพการีที่โปรดเสวยมาในอดีต)
ซึ่งมีวิธีทำที่พิสดาร เป็นของหายาก นาน
ๆ ครั้ง
๓. ผักสดชนิดต่าง ๆ
จะต้องจัดไว้จานหนึ่งด้วย
จานที่เป็นผักสดจะต้องพยายามเก็บรักษาไว้ให้สดกรอบที่สุด
ชาวพนักงานวรภาชน์จะเตรียมน้ำแข็งขูดเป็นฝอยด้วยเครื่องมือสำหรับขูดเอาไว้เสมอ
พอจวนเวลาเสวยจึงจะนำมาโรยคลุมลงบนจานผักสดที่จัดประดับเตรียมไว้
เพื่อทอดถวายในพระสุพรรณภาชน์เป็นจานหลังสุด
แต่ไม่โปะลงไปจนปิดผัก
จะโรยพอให้น่าดูและเย็นพอเท่านั้น
ผักแช่น้ำแข็งนี้เป็นเครื่องเสวยอีกชนิดหนึ่งที่โปรดมากเป็นพิเศษจนขาดไม่ได้ทีเดียว
ไม่ว่าเครื่องจิ้มจะเป็นชนิดใดก็ตาม
ผักสดจะต้องมีพร้อมเครื่องเสวยทุกครั้ง
๔. น้ำพริก
เป็นเครื่องเสวยประเภทเครื่องจิ้มที่โปรดมาก
เป็นเครื่องประกอบกับผักสดที่จะต้องจัดถวายเป็นประจำ
แต่ในการเสวยต้นที่จะต้องใช้พระหัตถ์หยิบบ้างคลุกบ้างกับพระกระยาหารเสวย
พระหัตถ์ก็จำเป็นที่จะต้องเปื้อนน้ำพริก
ซึ่งล้างให้หมดกลิ่นน้ำพริกยากนักยากหนา
ด้วยเหตุนี้ถ้าวันใดเป็นวันที่จะต้องเสด็จออกขุนนางที่มีประจำทุกสัปดาห์
วันนั้นก็จะต้องเตรียมจัดช้อนส้อมไว้ถวายเป็นพิเศษ
เมื่อเสวยเครื่องคาวเป็นที่พอพระราชประสงค์แล้ว
ถึงเวลาถวายชำระพระหัตถ์เพื่อกำจัดกลิ่นอาหารโดยเฉพาะพวกกลิ่นน้ำพริกที่ติดพระหัตถ์
เริ่มจากทรงทอดพระหัตถ์ออกมาเหนือพระสุพรรณราช
ทันใดนั้นคุณพระนายก็จะรินน้ำชำระพระหัตถ์จากคนโทเงินถวายพอเปียก
และเม็ดข้าวถูกชำระออกไปหมดก็หยุด
แล้วถวายฟอกด้วยสบู่เปียโซป (Pears Soap)
อย่างก้อนกลม เมื่อทรงฟอกด้วยสบู่แล้ว
คุณพระนายรินน้ำหอมลาเวนเดอร์ถวายจนหมดสบู่
แล้วถวายน้ำดอกไม้สดลอยดอกมะลิกุหลาบ
เสร็จแล้วจึงถวายใบส้มป่อยทรงขยำ
แล้วทรงใช้ผิวมะกรูด แล้วถวายล้างด้วยน้ำดอกไม้เทศ
ต่อจากนั้นจึงหยิบผ้าซับพระหัตถ์คลี่ออกถวายทรงเช็ดแห้งดีแล้ว
บางทีก็ทรงวางลงที่โต๊ะทองคำหรือส่งคืนผู้ถวาย
ในขณะที่กำลังชำระพระหัตถ์นั้นคุณหลวงนายซึ่งเป็นผู้ช่วยก็จะจัดการเลื่อนพระสุพรรณภาชน์ออกมาทีละองค์
ส่งต่อๆ กันออกไปภายนอก
ซึ่งเจ้าพนักงานวรภาชน์จะคอยรับอยู่ข้างนอกพระทวาร
เสร็จแล้วจึงเชิญพระสุพรรณภาชน์องค์หวานสององค์เข้ามาทอดถวาย
บนพระสุพรรณภาชน์นี้จะมีส้อมหรือช้อนเตรียมมาพร้อม
เครื่องหวานที่มีรสหวานจัดๆ นั้น
ถึงจะจัดมาถวายก็ไม่ใคร่จะเสวยมากนัก
เครื่องหวานที่จัดถวายนั้น
แม้จะมีขนมไทยขนานดั้งเดิมอยู่บ้างเช่นฝอยทอง
วุ้นหวานบรรจุพิมพ์ก็เกือบจะไม่ค่อยทรงแตะต้องของที่หวานจัดเท่าใดนัก
จะมีก็แต่พวกผลไม้เช่นลูกตาลสดน้ำเชื่อม
มะตูมสดกับน้ำกะทิ สะท้อน (กระท้อน) ลอยแก้ว
ลิ้นจี่สดกับเยลลี่
นอกจากนั้นก็เป็นผลไม้ปอกคว้านต่าง ๆ เช่น มะปราง
เงาะ น้อยหน่า
เมื่อเสวยเครื่องหวานเป็นที่พอพระราชประสงค์แล้ว
คุณพระนายและคุณหลวงนายจะถอนพระสุพรรณภาชน์ส่งคืนออกไป
ครั้นแล้วก็จัดการนำพานพระกล้องยาสูบและพระโอสถทรงสูบเข้ามาตั้งถวายพร้อมที่เขี่ยเถ้าพระโอสถ
พระสุธารสชาจีนซึ่งทรงอยู่เป็นประจำ
เมื่อได้ทอดเครื่องเรียบร้อยแล้วมหาดเล็กทุกคนก็ก้มลงกราบถวายบังคมแล้วคลานถอยออกนอกพระทวารไป
เวรมหาดเล็กกองตั้งเครื่องชุดนี้เป็นอันหมดหน้าที่ราชการประจำวันลงในตอนนี้
เวรมหาดเล็กชุดใหม่เข้ามาประจำหน้าที่ต่อไป
หมายความว่า
นับแต่เสด็จลุกจากที่ประทับออกไปในตอนนี้แล้ว
หากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไป
ณ ที่แห่งใดอีกมหาดเล็กชุดที่เข้าเวรใหม่
ต้องพร้อมที่จะรับหน้าที่ต่อไปได้ทันที