๖๑. เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี (๑)
 |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเครื่องพระมหาพิชัยยุทธ
เมื่อคราวทรงประกาศสงครามกับเยอรมนี และออสเตรีย - ฮังการี
เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ |
เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำสยามเข้าร่วมรบกับชาติสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่
๑ แล้ว ก็ได้มีพระราชปรารภว่า
"ราชการทหารเปนกิจพิเศษอย่าง ๑
ซึ่งผู้ปฏิบัติราชการอย่างนั้นต้องออกกำลังแรงและปัญญาอย่างอุกฤษฐ์
ทั้งต้องพร้อมอยู่เสมอที่จะสละชีวิตเป็นราชพลี
และเพื่อรักษาอิศรภาพบำรุงความรุ่งเรืองแห่งชาติบ้านเมือง
สมควรจะมีเครื่องราชอิศริยาภรณ์สำหรับบำเหน็จความชอบแก่ผู้ทำดีในราชการพแนกนี้เปนพิเศษอีกส่วน
๑"
[๑] จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้สถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
หรือที่เรียกกันว่า "ตรารามาธิบดี" ขึ้นไว้เมื่อวันที่ ๖
เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๑
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
ทรงกำหนดไว้เป็น ๔ ชั้น กับมีเหรียญอีก ๒ อย่าง คือ
 |
ดารา
สายสะพายและดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
ชั้นที่ ๑ เสนางคบดี |
ชั้นที่ ๑ เสนางคบดี มีดวงดาราใหญ่
มีลักษณะเป็นรูปไข่ทำด้วยทอง มีลายแหลมออกสี่ทิศ
กลางดวงด้านหน้าเป็นรูปพระปรศุมาวตารปราบพญาการตวีรยะอยู่บนพื้นลงยาสีลูกหว้าอ่อน
ด้านหลังเป็นอักษรพระบรมนามาภิไธยย่อ "ร.ร." กับเลข "๖"
อยู่ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ หมายความว่า "สมเด็จพระราม
ราชาธิบดี รัชชกาลที่ ๖" อยู่บนพื้นลงยาสีขาวขอบสีขาบ
มีรัศมีเงินแฉกใหญ่แปดแฉก รัศมีทองเล็กแซกแปดแฉก
สำหรับประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย
กับมีแพรแถบเป็นสายสะพายขนาดกว้าง ๑๐ เซนติเมตรสีดำ
มีริ้วแดงกว้าง ๒ เซนติเมตรอยู่ใกล้ขอบทั้ง ๒ ข้าง
มีดวงดาราน้อยสำหรับห้อยที่สายสะพายมีลักษณะเป็นรูปไข่ทำด้วยทอง
มีลายรูปอย่างเดียวกับกลางดวงดาราใหญ่ ต่างแต่ไม่มีรัศมี
สายสะพายนี้ใช้สะพายเฉียงบ่าขวา
 |
เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เสนาบดีกระทรวงนครบาล
ประดับดารามหาโยธินที่อกเสื้อเบื้องขวา |
ชั้นที่ ๒ มีดวงดาราใหญ่เช่นเดียวกับชั้นที่ ๑
แต่ประดับที่อกเสื้อเบื้องขวา
กับมีดวงดาราน้อยแบบเดียวกับที่ใช้ห้อยสายสะพายชั้นที่ ๑
แต่เปลี่ยนมาห้อยแพรแถบคล้องคอ
แพรแถบนี้มีสีเช่นเดียวกับสายสะพายชั้นที่ ๑
แต่มีขนาดกว้างเพียง ๔๕ มิลลิเมตร
ชั้นที่ ๓ มีแต่ดวงดาราน้อยห้อยกับแพรแถบคล้องคอ
เช่นเดียวกับชั้นที่ ๒
ชั้นที่ ๔ มีดวงดาราเล็กห้อยกับแพรแถบขนาดกว้าง ๓๒
มิลลิเมตร สำหรับประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย
ส่วนเหรียญอีก ๒ อย่างนั้น ประกอบด้วย
เหรียญรามาลา มีลักษณะเป็นเหรียญเงินรูปไข่
ด้านหน้าเป็นรูปพระปรศุมาวตารปราบพญาการตวีรยะ
ด้านหลังเป็นอักษรพระบรมนามาภิไธยย่อ "ร.ร." กับเลข "๖"
อยู่ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ ห้อยกับแพรแถบขนาดกว้าง ๓๒
มิลลิเมตร สำหรับติดที่อกเบื้องซ้าย
กับอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า เหรียญรามมาลา เข็มกล้ากลางสมร
มีรูปลักษณะเช่นเดียวกับเหรียญรามมาลาทุกประการ
แต่เพิ่มเครื่องหมายพระวชิราวุธที่แพรแถบขึ้นเป็นพิเศษให้เห็นแปลกกัน
ในการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีนี้
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงแต่งตั้งบุคคลซึ่งเป็นผู้ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยคณะหนึ่งเป็น
"คณะที่ปฤกษา" แห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ ประกอบด้วย
คณาธิบดี ๑ เลขาธิการ ๑ ที่ปฤกษา ๕
ทั้งนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้คณะที่ปฤกษานี้มีสิทธิและหน้าที่ในการเสนอชื่อรวมทั้งรับความเห็นจากผู้ที่มีอำนาจเสนอความชอบ
แล้วประชุมพิจารณาปรึกษากันว่า
ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อนั้นสมควรที่จะได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติหรือไม่
และเมื่อพิจารณาเห็นสมควรแล้วจึงให้คณาธิบดีนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาเทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทเพื่อพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ต่อไป
คณะที่ปฤกษาชุดแรกที่ทรงแต่งตั้งจากผู้ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย
เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ คือ
จอมพล สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ
กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก เป็นคณาธิบดี
นายพลโท พระยาสีหราชเดโชชัย (แย้ม ณ นคร) [๒]
ปลัดทูลฉลองกระทรวงกลาโหม เป็นเลขาธิการ
จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช จเรทหารทั่วไป
เป็นที่ปฤกษา
จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ
กรมหลวงนครสววรค์วรพินิต เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ
เป็นที่ปฤกษา
นายพลเรือโท พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
จเรทหารเรือ เป็นที่ปฤกษา
นายพลตรี หม่อมเจ้าพันธุประวัติ เกษมสันต์
[๓] แม่ทัพกองทัพน้อยทหารบกที่ ๑ เป็นที่ปฤกษา
นายพลโท พระยาประสิทธิ์ศุภการ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ)
สมุหราชองครักษ์ เป็นที่ปฤกษา
 |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จอมทัพเรือสยาม
ทรงเครื่องปกติจอมพลเรือ ประดับพระดาราเสนางคะบดี
ทรงเร่งรัดนำ
"สยามรัฐนาวา" ฝ่าคลื่นลมไปสู่ความเจริญ |
คณะที่ปรึกษาได้ประชุมกันเป็นครั้งแรก แล้วมีมติว่า
"การที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
สถาปนาเรื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
เพื่อพระราชทานเป็นบำเหน็จแก่ผู้ซึ่งได้ปฏิบัติราชการทหารดีเปนพิเศษ
บรรดาทั้งหลารู้สึกว่าราชการทหารซึ่งได้ดำเนมาเปนลำดับเห็นปานนั้น
ก็โดยอาศัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำไปด้วยพระปรีชาสามารถและพระราชหฤทัยสอดส่องเปนพระราชธุระอยู่ทุกเมื่อเพื่อเปนพยานแห่งพระราชกิจอันบันดาลประโยชน์และความเจริญค่อราชการทหารเปนพิเศษเอกอุเช่นนี้
พร้อมทั้งพยานแห่งความจงรักภักดีแห่งบรรดาทหารที่มีต่อพระองค์
คณะที่ปฤกษาจึงขอพระราชทานกราบบังคมทูลอัญเชิญทรงรับพระราชถานันดรเปนพระ
"เสนางคะบดี"
แห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี" แล้วจอมพล
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหวงพิษณุโลกประชานาถ
คณาธิบดีแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
ได้ทูลเกล้าฯ
ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นที่ ๑
เสนางคะบดีให้ทรงเป็นปฐม
แล้วจึงพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีแก่คณะที่ปฤกษารวม
๔ พระองค์กับ ๒ นาย
กับได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้แก่ นายทหาร
นายเสือป่า
และข้าราชการพลเรือนชั้นผู้ใหญ่บางพระองค์และบางคนที่ได้ร่วมสนองพระเดชพระคุณเนื่องในงานพระราชสงคราม
ณ ทวีปยุโรปต่อมาอีกหลายคราว
|