กีฬาฟุตบอลที่นิยมเล่นในยุโรปนั้นมีหลายประเภท
แต่แอสโซซิเอชั่นฟุตบอล (Association Football)
นั้นดูจะเป็นกีฬาที่นิยมเล่นกันมากในประเทศอังกฤษแลพภาคพื้นยุโรป
กีฬาชนิดนี้เพิ่งจะแพร่เข้าสู่ประเทศสยามเมื่อกว่า
๑๐๐ ปีที่ผ่านมา
และด้วยความที่กีฬาชนิดนี้ใช้เฉพาะอวัยวะส่วนเท้าในการเตะและเลี้ยงลูกฟุตบอล
ชาวไทยในเวลานั้นจึงเรียกกีฬาชนิดนี้ว่า "หมากเตะ"
และเรียกผู้เล่นกีฬาชนิดนี้ว่า "นักเลงลูกหนัง"
หมากเตะในระยะเริ่มแรกนั้นเล่นกันอยู่แต่เฉพาะในหมู่นักเรียนไทยที่กลับมาจากยุโรป
และชาวยุโรปที่มารับราชการในประเทศสยาม
จวบจนวันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม ร.ศ. ๑๑๙ (พ.ศ. ๒๔๔๓)
จึงได้มีการแข่งขันฟุตบอลตามกฎกติกาการแข่งขั้นของสมาคมฟุตบอลอังกฤษเป็นครั้งแรกที่ท้องสนามหลวง
ระหว่างชาวอังกฤษที่มีถิ่นพำนักในกรุงสยามในชื่อ
"ชุดบางกอก" กับ "ชุดกรมศึกษาธิการ"
ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการชาวสยามที่จบการศึกษามาจากยุโรปและชาวยุโรปที่มารับราชการในกรุงสยาม
ผลการแข่งขันปรากฏว่าเสมอกันไป ๒ - ๒
 |
นายกองโท เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น
เทพหัสดิน ณ อยุธยา) |
จากวันนั้นมาหลวงไพศาลศิลปสาตร [๑]
(สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) หรือ "ครูเทพ"
ได้แปลกฎกติกาการแข่งขันแอสโซซิเอชั่นฟุตบอลจากภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทย
และได้นำออกเผยแพร่ในวารสารวิทยาจารย์ของกระทรวงธรรมการ
จึงทำให้กีฬาชนิดนี้เผยแพร่ไปยังโรงเรียนมัธยมศึกษาในกรุงเทพฯ
และกรมศึกษาธิการได้จัดให้มีการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศสยามเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๔๔ เป็นการแข่งขันแบบแพ้คัดออก
และกำหนดอายุนักกีฬาทุกคนไว้ไม่เกิน ๒๐ ปีบริบูรณ์
ชุดที่ชนะเลิศในครั้งนั้นคือ
ชุดโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์
ภายหลังจากที่มีการจัดตั้งสามัคยาจารย์สมาคมและสามัคยาจารย์สโมสรขึ้นที่โรงเรียนมัธยมวัดราชบุรณะ
[๒]
ใน พ.ศ. ๒๔๔๘ แล้ว
สามัคยาจารย์สมาคมก็ได้จัดให้มีการแข่งขันฟุตบอลในระหว่างสมาชิกของสมาคมที่สนามสโมสรสามัคยาจารย์สมาคมหรือสนามกีฬาโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยในปัจจุบัน
สมาชิกของสามัคยาจารย์สมาคมซึ่งต่างก็เป็นครูและบุคลากรทางการศึกษาของชาติจึงได้มีส่วนร่วมแข่งขันฟุตบอล
ซึ่งส่งผลห้กีฬาฟุตบอลยิ่งแพร่หลายไปยังโรงเรียนต่างๆ
ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองที่ห่างไกล
ดังมีหลักฐานปรากฏในสมุดจดหมายเหคุรายวันของโรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลพายัพ
"ยุพราชวิทยาลัย" เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ.
๒๔๕๕ ว่า
"วันนี้ข้าหลวงธรรมการมาตรวจโรงเรียน...ใจความที่มาพูดในวันนี้...
ให้ซื้อฟุตบอล ให้นักเรียนและครูเล่นราคาลูกละ ๑๐
บาท เงินรายนี้ให้จัดการเรี่ยไร
และข้าหลวงธรรมการจะออกให้ ๒ เท่าของเงินที่หาได้"
[๓]
แม้กีฬาฟุตบอลจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในหมู่นักเรียนก็ตาม
แต่สำหรับหน่วยทหารซึ่งเป็นที่รวมของกำลังพลในวัยฉกรรจ์กลับไม่ได้รับอนุญาตให้เล่นกีฬาชนิดนี้
เป็นเพราะกองทัพสยามในยุคนั้นยังถือคตินิยมแบบกองทัพเยอรมัน
ดังที่ไกเซอร์วิลเฮล์มที่ ๒
แห่งเยอรมนีได้มีพระราชปฏิสัณฐานด้วยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในเรื่องของกองทัพบกอังกฤษ
เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชสำนักเยอรมนีใน
พ.ศ. ๒๔๔๕ ว่า
"นายทหารพวกนั้นใส่ใจกับการเล่นคริกเก็ตและโปโลมากกว่าหน้าที่การงาน
ไม่จริงจังกับเรื่องของกองทัพอย่างทหารเยอรมัน
กองทัพจะไม่มีวันดีขึ้นได้เลยจนกว่าจะสามารถทำให้พวกนายทหารคิดว่ากองทัพนั้นเป็นธุรกิจของตน
และจำเป็นที่ตนจะต้องทำงานอย่างขะมักเขม้นวันละแปดชั่วโมงเช่นเดียวกับในบริษัทการค้าทั่วไป"
"
[๔]
 |
จอมพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช
เสนาบดีกระทรวงกะลาโหม
เมื่อครั้งทรงดำรงพระยศเป็นนายพลเอก
ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ |
ด้วยแนวคิดแบบกองทัพบกเยอรมันที่จอมพล
พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช
เสนาบดีกระทรวงกระลาโหมทรงนำมาใช้เป็นหลักปฏิบัติในกองทัพบกสยามตั้งแต่ยังทรงดำรงพระยศเป็นนายพลโท
ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการในตอนปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นเอง
นายทหารในกองทัพบกสยามจึงมิได้รับอนุญาตให้เล่นกีฬาที่นิยมกันเป็นสากลเพื่อเป็นการหย่อนใจในระหว่างว่างเว้นจากการปฏิบัติภารกิจประจำวัน
จนล่วงเข้าสู่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้วหลายปี
กีฬาฟุตบอลจึงเริ่มแพร่เข้าสู่กรมกองทหาร
ดังความตอนหนึ่งในเรื่อง
"ความนิยมฟุตบอลในเมืองไทย" ที่ "นิสิตออกซ์ฟอร์ด"
หรือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงทรงพระราชนิพนธ์ไว้
เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๘
ในระหว่างเสด็จพระราชดำเนินเลียบหัวเมืองมณฑลปักษ์ใต้
แล้วได้พระราชทานไปลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า
 |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าอยู่หัวเมื่อครั้งทรงเป็น
"นิสิตออกซ์ฟอร์ด" |
"บรรดาผู้อ่านหนังสือพิมพ์ของท่าน
คงจะได้สังเกตเห็นแล้วว่าฟุตบอลนั้น
ในสมัยนี้มีคนพอใจชอบเล่นกันเปนอันมาก
แลไม่ต้องสงสัยเลยคงจะเปนการเล่นที่จะยั่งยืนต่อไปในกรุงเทพฯ
ข้อนี้ก็ไม่ปลาดอะไร
แต่ท่านทั้งหลายคงจะได้สังเกตเห็นแล้วว่าฟุตบอลซึ่งเปนการเล่นของชาวอังกฤษโดยแท้นั้น
พึ่งจะได้มีคนนิยมเล่นกันมากใน ๔ - ๕ ปีนี้เอง.
ตามโรงเรียนต่างๆ นั้น
ได้เล่นกันมานานแล้วจริงอยู่
แต่ในหมู่ทหารพึ่งจะได้มาแลเห็นเล่นกันหนาตาขึ้นในเร็วๆ
นี้เอง.
ผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหารย่อมทราบอยู่ดีแล้วว่า
เวลาใดที่คนหนุ่มๆ
มาประชุมรวมกันอยู่ในที่แห่งเดียวกันเปนจำนวนมาก
จะเปนทหารหรือพลเรือนก็ตาม
ความคนองอันเปนธรรมดาแห่งวิสัยหนุ่มจำเปนต้องมีทางระบายออกโดยอาการอย่างใดอย่าง
๑
ในสมัยก่อนเมื่อครั้งกองทัพของเราได้เริ่มจัดระเบียบขึ้นตามแบบของกองทัพเยอรมันโดยเคร่งครัดนั้น
การเล่นใดๆ
และการกรีฑาทั้งปวงย่อมนับว่าเปนสิ่งที่ไม่สมควรแก่ทหาร
เพราะฉนั้นข้าพเจ้าเข้าใจว่าด้วยเหตุนี้เองผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหารของเรา
ถึงจะไม่ห้ามปรามตรงๆ
จึงไม่ใคร่จะได้อุดหนุนส่งเสริมการเล่นอย่างใดๆ
ทั้งสิ้น จริงอยู่การกรีฑาได้มีมาแล้วเปนครั้งคราว
และเราก็ยังจำได้ว่าได้เคยเห็นการกรีฑาของทหารที่ท้องสนามหลวงมาแล้ว
๒ คราว
แต่การกรีฑาอย่างที่จัดมาแล้วนั้นเปนแต่การชั่วคราว
ความพยายามที่จะบำรุงการเล่นในหมู่ทหารเพื่อให้เปนทางออกกำลังกายและหย่อนใจนั้นนับว่าไม่มีเลย
เพราะฉนั้นทหารไทยเราจึงล้วนเปนผู้ที่ได้เคยต้องประพฤติตนอย่างที่ชนเยอรมันเขาเห็นว่าสมควรแก่ทหาร
แต่ซึ่งชาวเราเห็นว่าไม่สนุกอย่างยิ่ง
ในกองทัพบกอังกฤษ
เขาย่อมมีการเล่นแลกรีฑาต่างๆ
ส่วนในกองทัพบกรัสเซียเขาก็อุดหนุนการเต้นรำและร้องเพลงเปนทางบรรเทิงใจในหมู่ทหาร
ฝ่ายกองทัพเยอรมันนั้น
ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าทหารมีทางบันเทิงใจโดยอาการอย่างไร
ข้าพเจ้าได้ยินแต่กิติศัพท์เขาว่าวิธีเดินก้าวช้ายกขาสูงๆ
ซึ่งฝรั่งเขาเรียกกันว่า "เดินตีนห่าน"
นั่นแหละเปนวิธีที่เยอรมันเขาใช้สำหรับฝึกหัดกำลังกาย
ซึ่งผู้บังคับบัญชาในกองทัพอันเปนเจ้าของแบบอย่างนั้นได้ให้อนุมัติเห็นชอบด้วย.
การเดินชนิดนี้ข้าพเจ้าเข้าใจว่าคงจะต้องใช้กำลังมากจริง
แต่จะนับว่าเปนทางบันเทิงใจนั้นยังแลไม่เห็น
แต่อย่างไรก็ดี วิธีเดินตีนห่านนี้
หาได้นำเอามาใช้เปน แบบอย่างในกองทัพไทยเราไม่
และเมื่อการเล่นอย่างใดๆ อื่นก็มิได้จัดให้มีขึ้น
ทหารของเราจึงมิได้มีการเล่นเพื่อหย่อนใจและออกกำลังกายเลย
เว้นไว้แต่การฝึกหัดดัดตนและหัดกำลังกาย
ซึ่งทหารของเราก็ถือว่าเปนการงาน มิใช่การเล่น.
ทางหย่อนใจนี้แหละเปนสิ่งที่ทหารเราต้องการ
ก็เมื่อทหารเหล่านี้ไม่มีทางที่จะระบายความคนองซึ่งมีอยู่โดยธรรมดานั้นโดยอาการอันปราศจากโทษและสนุกสนาน
คือ มีการเล่นชนิดที่ออกกำลังกายอย่างลูกผู้ชาย
อีกประการหนึ่งการดื่มเหล้าเบียร์ฤาก็มิใช่เปนทางหย่อนใจที่จะหาได้ด้วยราคาถูกเหมือนอย่างในเมืองอื่นบางเมือง
ทหารของเราตามทางราชการ
จึงนับว่าไม่มีทางสนุกสนานหย่อนใจอะไรเลย
แต่ในทางซึ่งมิใช่ราชการหรือทางส่วนตัวนั้น
เขาทั้งหลายบางทีก็ระบายความคนองของเขาโดยวิธีไม่สนุกแก่พลเรือนเลย
(เพราะพลเรือนมักต้องหัวแตก)
และไม่ขันสำหรับพลตระเวนด้วย
ส่วนนายผู้มีน่าที่บังคับบัญชา
ก็ต้องใช้ความระวังระไวอยู่เสมอ
เพื่อควบคุมคนที่อยู่ในบังคับของตน.
ต่อมาความนิยมอย่างใหม่ได้ปรากฏขึ้นทีละเล็กละน้อย.
ในโรงเรียนนายร้อยและนายเรือ
ได้เกิดเล่นฟุตบอลกันขึ้น
ฟุตบอลได้เกิดมีขึ้นด้วยอาการอย่างไรนั้น
ก็หาได้มีปรากฏในจดหมายเหตุแห่งใดไม่
และข้าพเจ้าไม่ทราบว่า
ผู้มีหน้าที่บังคับบัญชาจะได้เปนผู้ชักนำเข้ามาหรืออย่างไร
แต่การเล่นของอังกฤษชนิดนี้ย่อมมีลักษณอยู่อย่าง ๑
คือ ว่าถ้าได้เข้าไปถึงแห่งใดแล้ว
แม้ทางราชการจะแสดงกิริยาเม้ยเมินสักเท่าใดก็ดี
คงไม่สามารถจะบันดาลให้สูญหายไปได้
เพราะฉนั้นในไม่ช้าการเล่นฟุตบอลนี้จึงได้กลายมาเปนวิธีหย่อนใจแลออกกำลังกายของนักเรียนนายร้อยแลนายเรือ
ฝ่ายผู้ที่มีอำนาจบังคับบัญชานั้น ก็เออ
อวยอุดหนุนไปตามควร. เมื่อในเร็วๆ
นี้ได้มีการเล่นแข่งขันกันหลายคราวอย่างฉันมิตร์
ในระหว่างนักเรียนนายร้อยทหารบกแลเสือป่ากรมพรานหลวงรักษาพระองค์
ซึ่งอยู่ใกล้กันในบริเวณสวนดุสิต
ส่วนนักเรียนนายเรือก็ได้มาเล่นกับนักเรียนมหาดเล็กหลวงหลายคราว.
ต่อนั้นมาฟุตบอลจึงได้เข้าไปถึงโรงทหาร
ผู้ใดได้เปนผู้นำเข้าไปนั้น ข้าพเจ้าหาทราบไม่
แต่จะเปนใครก็ตาม
เขาเปนผู้สมควรที่จะได้รับความขอบใจแห่งเราทั้งหลาย
และข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าพวกทหารเองคงจะรูสึกขอบคุณเขาเปนอันมาก.
เวลานี้พวกทหารมีทางที่จะหย่อนใจด้วยความร่าเริงและไม่มีโทษ
ส่วนการเล่นนั้นเองก็เปนที่บันเทิงไม่เฉภาะแต่ส่วนผู้เล่น
ทั้งคนดูก็พลอยรู้สึกสนุกสนานด้วย.
ท้องสนามหลวงเวลานี้เปนสนามที่ฝึกหัดเล่นฟุตบอลสำหรับทหาร
ดังที่เราเห็นอยู่แทบทุกวันเวลาบ่ายๆ
เต็มไปด้วยเพื่อนทหารที่ล้อมคอยดูตะโกนบอกและล้อกันฉันเพื่อนฝูง.
สนามหญ้าในพระบรมมหาราชวังหลังวัดพระแก้ว
ก็เปนที่สำหรับเล่นของกรมทหารรักษาวัง
ส่วนทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ก็ไปเล่นที่สวนมิสกะวันใกล้โรงโขนหลวงที่สวนดุสิต
แลได้เล่นแข่งขันกับเสือป่ากรมพรานหลวงรักษาพระองค์เนืองๆ
เปนการบำรุงความสามัคคีให้ดีขึ้น
ตั้งแต่ฟุตบอลได้เข้าไปถึงในกองทัพบกแล้ว
ความรู้สึกเปนเกลอกันในหมู่ทหาร
สังเกตเห็นได้ว่าดีขึ้นเปนอันมาก
ในห้องรักษาการแลห้องขังก็มีคนน้อยลงกว่าแต่ก่อน
การออกนอกบริเวณแลการหนีก็มีน้อยลงมาก
ความรู้สึกเปนมิตรเปนเกลอในหมู่ทหารและเสือป่าก็ได้เกิดขึ้นจากการเล่นฟุตบอลเปนปฐม
ทั้งนี้ส่อให้เห็นว่า
นิสัยของทหารเราไม่ถูกกับวิธีปกครองตามแบบของเยอรมัน
(ซึ่งไม่ให้มีการเล่น)." [๕] |
บทพระราชนิพนธ์นี้ย่อมเป็นเครื่องชี้ชัดว่า
ผู้ที่นำกีฬาฟุตบอลเข้าไปเผยแพร่ในโรงเรียนนายร้อย
โรงเรียนนายเรือ จนแพร่หลายไปยังกรมทหารมหาดเล็กฯ
และทหารรักษาวังนั้น
น่าจะต้องเป็นผู้บังคับบัญชาในระดับสูงกองทัพ
ทั้งยังจะต้องเป็นผู้ที่ผ่านการศึกษามาจากประเทศอังกฤษ
ซึ่งก็คงจะมีแต่ "นิสิตออกซ์ฟอร์ด"
หรือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเพียงพระองค์เดียวที่นอกจากจะทรงเป็นนักเรียนเก่าอังกฤษแล้ว
ในช่วงเวลานั้นยังทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษของโรงเรียนนายร้อย
กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ จ.ป.ร.
และกรมทหารรักษาวัง ว.ป.ร. ด้วย