สังคมไทยนับแต่อดีตได้รับความเชื่อจากศาสนาพราหมณ์เข้ามาปะปนในพระพุทธศาสนาที่เป็นศาสนาหลักของคนไทยจนแทบจะแยกไม่ออกว่า
ไหนเป็นพุทธ ไหนเป็นพราหมณ์
เฉพาะอย่างยิ่งการจัดสร้างรูปเคารพไว้เป็นที่เคารพบูชา
ก็นิยมสร้างกันทั้งพระพุทธรูปและเทวรูปในศาสนาพราหมณ์
เทวดาในศาสนาพราหมณ์ที่คนไทยเคารพนับถือและนิยมจัดสร้างเป็นรูปเคารพนั้น
มีอยู่หลายองค์ ที่พบมากคือ พระพรหม และพระนารายณ์
แต่รูปเคารพของพระเป็นเจ้าทั้งสองนั้นนิยมสร้างเป็นเทวรูปขนาดใหญ่มีเทวาลัยเป็นที่ประดิษฐาน
ส่วนรูปเคารพที่นิยมสร้างกันทั้งขนาดใหญ่ที่ต้องประดิษฐานในเทวาลัยหรือตั้งไว้กลางแจ้ง
จนถึงขนาดเล็กที่สามารถแขวนคอไว้ประจำกายได้
เห็นจะมีแต่เทวรูปพระคเณศร์ หรือ พระพิฆเนศวร
เหตุที่พระคเณศร์ผู้มีเศียรเป็นศีรษะช้างสีแดงชาด
ต้องเสียงาไปข้างหนึ่งนั้น
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ในพระราชนิพนธ์เรื่อง
"พระเป็นเจ้าของพราหมณ์" ว่า
"๕. พระคเณศร์
ฤา วิฆเนศร์ เรียกว่าโอรสของพระอิศวรและพระอุมา (ปรรวตี)
พราหมณ์นับถือว่าเป็นเจ้าแห่งวิทยาการต่างๆ
เรื่องราวที่กล่าวถึงกำเนิดของพระคเณศร์มีต่างๆ
หลายอย่าง
และเรื่องที่เล่าว่าเหตุไรเศียรจึงเป็นเศียรช้างก็มีต่างๆ
เหมือนกัน นอกจากคเณศร์ เรียกว่า "คณปติ" (คณบดี)
ซึ่งแปลความอย่างเดียวกันก็ได้ "วินัยกะ" (พินายของไทยเรา)
ก็เรียก "เอกทันตะ" ก็เรียก เพราะมีงาเดียว เดิมมี
๒ งาบริบูรณ์ แต่ครั้งหนึ่งปรศุราม (รามสูร)
ขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรที่เขาไกรลาศ
พระอิศวรบรรทมหลับอยู่
พระคเณศร์จึ่งห้ามมิให้เข้าไป
ปรศุรามถือว่าเป็นคนโปรดจะเข้าไปให้ได้
เกิดวิวาทกันถึงรบกัน
พระคเณศร์จับปรศุรามด้วยงวงปั่นขว้างไปจนปรศุรามสลบ
ครั้นฟื้นขึ้นปรศุรามจึ่งจับขวานขว้างไป
พระคเณสร์เห็นขวานจำได้ว่าเป็นของพระอิศวรประทานจึ่งไม่ต่อสู้
แต่ก้มลงรับไว้ด้วยงาข้างหนึ่ง
งานั้นก็สบั้นไปทันใด ฝ่ายพระปรรวตีกริ้วปรศุราม
กำลังจะทรงแช่ง
ก็พอพระนารายณ์ซึ่งเป็นที่เคารพแห่งปรศุรามแปลงเป็นกุมารมาวิงวอนขอโทษ
พระปรรวตีจึ่งประทานโทษให้ (เรื่องนี้มาจากคัมภีร์พรหมาไววรรตะปุราณะ
วิลสันแปล)
รูปพระคเณศร์ที่มักทำมีเศียรเป็นศีร์ษะช้าง
โดยมากมี ๔ กร แต่ ๖ กร ๘กร ฤา ๒ กรก็ใช้
กายอ้วนใหญ่ หนูเป็นพาหนะ" [๑] |
นอกจากพระราชนิพนธ์ประวัติความเป็นมาของพระคเณศร์
ดังที่ปรากฏในพรหมาไววรรตะปุราณะแล้ว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ยังได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องของพระคเณศร์
ในฐานะเป็นบรมครูช้างผู้ใหญ่ไว้ในบทพระราชนิพนธ์บทเสภาเรื่องสามัคคีเสวก
ว่า
" ๏
อนึ่งพระพิฆเนศเดชอุดม |
เปนบรมครูช้างผู้ใหญ่ |
เธอสร้างสรรค์พะกะรีที่ในไพร |
เพื่อให้เปนสง่าแก่ธตรี |
สร้างสารแปดตระกูลพูนสวัสดิ์
|
ประจงจัดสรรพางค์ต่างๆ สี |
แบ่งปันคณะอัฎฐะกะรี |
ประจำที่อัฎฐะทิสสถิตพร |
อีกรังสรรค์ช้างเผือกเลือกศุภลักษณ์
|
ประดับยศพระจอมจักรอดิศร |
อีกสร้างช้างดำกล้ำกุญชร |
เพื่อภูธรเธอทรงสู่รงค์ราน |
อันพระเกียรติจักรพรรดิรัตนราช
|
เกรอกประกาศก้องในตรัยสถาน |
ประชาชนชื่นชมพระสมภาร |
เพราะมีสารศุภลักษณ์ศักดิ์ฦาชา" [๒] |
พระราชนิพนธ์ที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงพระราชศรัทธาในพระคเณศร์อีกเรื่องหนึ่ง
คือ เรื่อง "พระคเณศร์เสียงา"
ที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เป็นละครเบิกโรงดึกดำบรรพ์
ทรงกำหนดให้จัดแสดงก่อนการแสดงละครเรื่องใหญ่ที่ได้กำหนดให้เล่นในลำดับต่อไป
ละครเบิกโรงจึงเป็นการแสดงเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจผู้ดูผู้ชมให้อยู่ในภาวะทางอารมณ์มี่จะชมละครเรื่องใหญ่
ในขณะเดียวกันผู้แสดงละครเรื่องใหญ่ก็มีเวลาเตรียมพร้อมที่จะแสดงในลำดับต่อไป
ทั้งนี้ในพระราชนิพนธ์ "พระคเณศร์เสียงา" นั้น
ได้ทรงกล่าวถึงคุณวิเศษของพระคเณศร์ซึ่งได้รับประทานพรมาจากพระนารายณ์ไว้ว่า
"ขอพรประเสริฐเลิศดี
|
มีแด่คชมุขศุขสม |
พร้อมทั้งวิทยาอาคม |
อุดมเลิศล้ำภพไตร |
ผู้ใดจะเริ่มประเดิมงาน
|
ทั้งสรรพกิจการน้อยใหญ่ |
ให้บูชาคเณศร์ก่อนไซร้ |
หาไม่อย่าสมอารมณ์ปอง |
ทั่วทั้งโลกาสากล |
จงนับถือเอกทนต์ทั้งผอง |
ส่วนปวงนายโขลงนายกอง
|
ล้วนต้องเคารพบูชา ฯ" [๓] |
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าอยู่หัว
ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดการแสดงเรื่อง
"พระคเณศร์เสียงา" ทั้งในรูปการแสดงละครเบิกโรง
และแสดงต่อท้ายมหาอุปรากรหลายครั้ง ดังนี้
โขนมหาดเล็กแสดงในงานพิธีฉลองสะพานพระราชเสาวนีย์
เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ร.ศ. ๑๓๐ (พ.ศ. ๒๔๕๔)
เสือป่ากรมพรานหลวงรักษาพระองค์
แสดงในงานฉลองศารทูลธวัช (ธงไชยเฉลิมพล) ประจำกอง
ที่สวนจิตรลดา เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๘
แสดงในงานวันประประสูติสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข
เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ครบ ๖๐ พรรษา
หรือที่เรียกกันว่า "แซยิดวังบูรพา" เมื่อวันที่
๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๓
แสดงต่อท้ายมหาอุปรากรเรื่อง II Pagliacci
(อีปายลิอัจจี) ณ โรงโขนหลวงสวนมิสกวัน
เพื่อเก็บเงินบำรุงสภากาชาดสยาม เมื่อวันที่ ๑๗
และ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๔
อนึ่ง
เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงสร้างพระราชวังสนามจันทร์ขึ้นแล้ว
ก็ได้มีพระราชดำริที่จะจัดสร้างเทวาลัยคเณศร์ไว้เป็นศาลเทพารักษ์ประจำพระราชวังสนามจันทร์
ดังปรากฏความตอนหนึ่งใน
"ชื่อพระที่นั่งแลสถานต่างๆ พระราชวังสนามจันทร์
พระปฐมเจดีย์" ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๒๗
สิงหาคม ร.ศ. ๑๓๐ (พ.ศ. ๒๔๕๔) ว่า
"ด้วยพระที่นั่งแลสถานต่างๆ
ที่พระราชวังสนามจันทร์ พระปฐมเจดีย์
ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นแล้วแลจะสร้างต่อไปนั้น
พระราชทานนามดังต่อไปนี้
ฯ ล ฯ
ยังจะสร้างต่อไป คือ
ฯ ล ฯ
๕ เทวาลัยคเณศร์
คือศาลเทพารักษ์สำหรับพระราชวังสนามจันทร์" [๔] |
 |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงชักสายสูตรเปิดคลุมองค์พระคเณศร์
ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญไปประดิษฐาน ณ
หอแก้ว พระราชวังสนามจันทร์
เมื่อวันเสาร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๑ |
เทวาลัยพระคเณศร์ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นที่กึ่งกลางสนามหน้าพระที่นั่งพิมานปฐม
ซึ่งเป็นตำแหน่งศูนย์กลางของพระราชวังสนามจันทร์
และอยู่ในแนวเดียวกับห้องพระเจ้าในพระที่นั่งพิมานปฐมและองค์พระปฐมเจดีย์นั้น
จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
คงพบแต่เพียงหลักฐานว่า ในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๖๑
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงาน
 |
รูปหล่อพระคเณศร์
ที่ประดิษฐาน ณ เทวาลัยพระคเณศร์
พระราชวังสนามจันทร์ |
กระทรวงวังเชิญเทวรูปพระคเณศร์ซึ่งหล่อด้วยสำริด
เศียรด้านหน้าเป็นศีรษะช้าง
เศียรด้านหลังและตัวองค์เป็นมนุษย์
หูทั้งสองกางใหญ่แบบหูช้าง มี ๒ เนตร ๒ กร ๑ งวง
งาข้างขวาหัก คงเหลือแต่งาข้างซ้าย
ประทับนั่งงอพระชงฆ์
หันฝ่าพระบาทเข้าหากันจนเกือบชิด พระนาภีพลุ้ย
ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๐๒ เซนติเมตร และสูงตลอดองค์
๑๕๖.๕ เซนติเมตร ไปจากกรุงเทพฯ
เมื่อได้ประดิษฐานเทวรูปพระคเณศร์เหนือแท่นสำริดรูปแปดเหลี่ยมสูง
๔๑ เซนติเมตรไม่มีลวดลายภายในเทวาลัยคเณศร์แล้ว
ก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้มีการพระราชพิธีบวงสรวงสังเวยพระคเณศร์ ณ
เทวาลัยคเณศร์ เมื่อวันเสาร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.
๒๔๖๑
และต่อจากนั้นเมื่อทรงกระทำนมัสการพระพุทธรูปในห้องพระเจ้า
ซึ่งอยู่ติดกับห้องพระบรรทมภายในพระที่นั่งพิมานปฐม
ก็เท่ากับได้ทรงกระทำสักการะบูชาพระคเณศร์ที่เทวาลัยคเณสร์และทรงนมัสการพระบรมสารีริกธาตุซึ่งประดิษฐานไว้ในพระปฐมเจดีย์พร้อมกันไปทีเดียว