 |
นายพลเสือป่า หม่อมเจ้าบวรเดช กฤดากร
[๑]
ผู้บัญชาการกองเสนารักษาดินแดนพายัพ
และผู้บัญชาการกองเสนาน้อยที่ ๑ รักษาดินแดนพายัพ |
นอกจากนั้นยังพบหลักฐานอีกว่า ได้โปรดเกล้าฯ
ให้แยกอัตรากำลังในกองเสนารักษาดินแดนพายัพ เป็น ๒
กองเสนาน้อย คือ กองเสนาน้อยที่ ๑
รักษาดินแดนพายัพ
มีกำลังพลกระจายกันอยู่ในเขตมณฑลพายัพ
ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย
และแม่ฮ่องสอน และกองเสนาน้อยที่ ๒
รักษาดินแดนพายัพ (มหาราษฎร์)
มีกำลังพลกระจายกันอยู่ในเขตมณฑลมหาราษฎร์
ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดแพร่ ลำปาง และน่าน
 |
จ่าและพลราชนาวีเสือป่าในระหว่างการซ้อมรบ |
นอกจากจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งกองเสือป่าฝ่ายเสนาเป็นกองกำลังอาสาสมัครป้องกันประเทศในฝ่ายบกจนได้ตั้งขึ้นเป็นปึกแผ่นขึ้นแล้ว
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๘
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้โปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้ง "กองเสือน้ำ" ขึ้นอีกเหล่าหนึ่ง
โดยมีพระราชปรารภว่า
"จำเดิมแต่เวลาที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตั้งกองอาษาสมัคเสือป่ามาตราบเท่าบัดนี้นั้น
นับว่าได้มีผู้นิยมในการนี้และพากันสมัคเข้าเปนนักรบมีจำนวนเปนอันมาก
จนในที่สุดได้ขยายการปกครองออกเปนการแพร่หลาย
ซึ่งจัดตั้งเปนกองเสนารักษาดินแดนขึ้นทั่วพระราชอาณาจักร์
นับว่ากิจการแห่งกองนี้ได้ดำเนิรมาด้วยความเรียบร้อยดีอยู่แล้ว
แต่ครั้นมาณบัดนี้เมื่อได้ทรงคำนึงถึงน่าที่เพื่อประโยชน์
ยุทธศาสตร์ และยุทธวิธีโดยรอบคอบแล้ว
ก็ทรงพระราชดำริห์เห็นว่าแต่เพียงจะจัดเปนกองอาษาบกฝ่ายเดียวนั้นยังหาเปนการพอเพียงแก่น่าที่รักษาดินแดนไม่
เพราะเหตุว่าสยามรัฐสิมาอาณาจักรของไทยเรานั้น
มีอาณาเขตร์ติดต่อทั้งทางบกและทางน้ำ
ซึ่งมีชายทะเลและแม่น้ำใหญ่
หลายแม่น้ำอันเปน
ทางที่ข้าศึกสัตรูผู้คิดประทุษร้ายจะยกกำลังบุกรุกเข้ามาย่ำยีในพระราชอาณาเขตร์ได้
หากเรามิได้เตรียมการป้องกันไว้ให้พอเพียง
เพราะฉนั้นเพื่อที่จะเตรียมการป้องกันอาณาเขตรดินแดนของไทยเราโดยรอบคอบ
แล้วก็เปนการจำเปนต้องมีกำลังนักรบทั้งทางบกและทางน้ำประกอบกัน
เช่นกำลังกองทัพบกและทัพเรือของเราที่มีอยู่ในเวลานี้ฉันใด
ในส่วนกองอาษาสมัคก็ควรจะมีเหมือนกันฉันนั้น"
[๒] |
กองเสือน้ำที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งขึ้นในกองเสนาเฉพาะแต่มณฑลที่มีทางน้ำไปมาติดต่อถึงกันได้สะดวก
และในแต่ละกองเสนาให้มีกองเสือน้ำเพียง ๑ กองร้อย
โดยจัดแบ่งเป็น ๓ หมวด คือ
"ก) หมวดที่ ๑ เรือเร็ว
ชนิดเรือกลไฟหรือยนต์ขนาดเล็ก
ซึ่งสำหรับใช้ในการเดินข่าวติดต่อ
ข) หมวดที่ ๒ เรือบรรทุก
ชนิดเรือกลไฟหรือเรือยนต์ขนาดใหญ่
ซึ่งสำหรับใช้บรรทุกนักรบเนื่องในการทางและเดินทัพ
ค) หมวดที่ ๓ เรือบรรทุก
ชนิดเรือใบหรือเรือฉลอมหรือเรือแจว
ซึ่งสำหรับใช้บรรทุกอาวุธ
กระสุนดินดำเครื่องเสบียงและสรรพภาระใช้ในการรบ
อนึ่งถ้าแห่งใดมีเรือไม่ครบทั้ง ๓ ประเภท
ก็จัดให้มีแต่ ๑ หรือ ๒ ประเภทตามที่มีเรืออยู่
และถ้ามีเรือประเภท ๑ ประเภทใดมากอยู่จะจัดขึ้นเปน
๒ หมวดหรือ ๓ หมวด เพื่อสดวกแก่การปกครองก็ได้"
[๓]
|
กองเสือน้ำซึ่งต่อมาวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.
๒๔๖๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
"เปลี่ยนขนานนามกรมเสือน้ำใหม่ว่า
"กรมราชนาวีเสือป่า"
ส่วนอักษรย่อที่จะใช้แทนคำว่าราชนาวีเสือป่านั้น
ให้ใช้อักษรย่อว่า ร.น.ส.
โดยคล้ายกับราชนาวีที่ใช้อักษรย่อว่า "ร.น." "
[๔]
และในคราวเดียวกันนี้ได้โปรดเกล้าฯ
ให้เปลี่ยนขนานนามกรมกองเสือน้ำที่ได้ตั้งขึ้นแล้วเป็นดังนี้
๑. กองพันหลวงราชนาวีเสือป่า
๒. กองร้อยภูเก็ตราชนาวีเสือป่า
๓. กองร้อยราชบุรีราชนาวีเสือป่า
๔. กองร้อยชลบุรีราชนาวีเสือป่า
อนึ่งในปลายปี พ.ศ. ๒๔๖๐ นั้นยังได้โปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้ง "กองราชนาวีหลวงเสือป่าเดินทะเล"
เป็นหน่วยขึ้นตรงกองพันหลวงราชานาวีเสือป่าอีกกองหนึ่ง
และถัดมาใน พ.ศ. ๒๔๖๒ ได้โปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งกองนักเรียนนายเรือราชนาวีเสือป่าขึ้นอีกกองหนึ่ง
เพื่อฝึกหัดนักเรียนฝ่ายราชานาวีเสือป่าให้ได้
"ศึกษาเรียนรู้วิชาการเดินเรือทะเลสำหรับที่จะได้ทำน่าที่ให้เปนคุณประโยชน์แก่ชาติแลเมืองมารดร"
[๕]
โดยรวมการปกครองและบังคับบัญชาอยู่ในสังกัดโรงเรียนนายเรือ
กระทรวงทหารเรือ และได้โปรดเกล้าฯ
"ให้ผู้บังคับกองพันหลวงราชนาวีเสือป่าจัดส่งนักเรียนราชนาวีเสือป่า
สิน สุทธสิน นักเรียนราชนาวีเสือป่า โสภณ กุญชร ณ
กรุงเทพ ไปเปนนักเรียนนายเรือราชนาวีเสือป่า"
[๖]
ตั้งแต่วันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๒
"ส่วนเงินเดือนหรือเบี้ยเลี้ยงสำหรับพระราชทานแก่นักเรียนกองนี้
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ใช้จ่ายเปนพิเศษ
ซึ่งให้รวมเบิกจ่ายทางกรมบัญชาการมหาดเล็ก"
[๗]
และต่อมา ใน พ.ศ. ๒๔๖๘
ยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตั้งกองเรือเดินข่าวขึ้นอีกกองหนึ่งในกองพันหลวงราชนาวีเสือป่า
โดยเรือที่จะบรรจุเข้าในกองเรือเดินข่าวนี้ต้องเป็นเรือที่มีความเร็วไม่น้อยกว่า
๒๕ ไมล์ทะเลด้วย
ส่วนปัญหาการขาดแคลนผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารซึ่งได้ทรงตระหนักด้วยสายพระเนตรเมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการซ้อมรบทหารบกเมื่อเดือนมีนาคม
พ.ศ. ๒๔๕๗ นั้น
ก็ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์
"ให้ตั้งกองนักเรียนนายหมวดเสือป่า,
และนักเรียนผู้กำกับลูกเสือ, ให้กองเสนาต่างๆ
ได้ส่งสมาชิกเสือป่าและผู้กำกับไปฝึกฝนวิชาน่าที่ผู้บังคับหมวดกองในพระมหานคร,
เพื่อออกมาสอนวิชานักรบให้แพร่หลายตามจังหวัด"
[๘]
ทั้งยังสามารถเป็นกำลังสำรองให้แก่กองทัพที่พร้อมจะปฏิบัติหน้าที่ทดแทนผู้บังคับกองร้อยและผู้บังคับหมวดที่อาจจะบาดเจ็บตายไปในการต่อสู่ในยามที่มีศึกสงครามมาประชิดด้วย
 |
กองบัญชาการกองพลทหารบกที่ ๘ มณฑลพายัพ
ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒
ภายหลังเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพ
ปัจจุบันคือ กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๓๓
และกรมทหารราบที่ ๗ รักษาพระองค์ จังหวัดเชียงใหม่ |
การที่กิจการเสือป่าสามารถพัฒนามาเป็นลำดับ
จนมีการจัดตั้งกองเสนารักษาดินแดนขึ้นทั่วราชอาณาจักร
มีกำลังพลเสือป่าถึงกว่าหมื่นสามพันนายในปีสุดท้ายแห่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
นอกจากพระบรมราชูปถัมภ์ที่พระราชทานเป็นส่วนพิเศษแก่กิจการเสือป่าแล้ว
ส่วนตัวนายเสือป่าทุกนายก็ล้วนเป็นอาสาสมัครประจำการที่ไม่มีการปลดเป็นกองหนุนเมื่อเสร็จการฝึกหัดในแต่ละวันก็แยกย้ายกันกลับที่พักของตน
ในการจัดตั้งกองเสือป่าจึงมิต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเช่นการจัดตั้งกองทหาร
ซึ่งเมื่อเกณฑ์ชายฉกรรจ์เข้ามารับราชการเป็นพลทหารกองประจำการ
๒ ปีนั้น นอกจากทหารประจำการเหล่านั้นจะ
"ได้รับพระราชทานเงินเดือนเบี้ยเลี้ยง
และเครื่องนุ่งห่มใช้สรอยสำหรับตัวตามสมควร"
[๙]
แล้ว
รัฐบาลยังต้องจัดให้มีโรงทหารเป็นที่พักของทหารประจำการในทุกกองทหาร
เพื่อสะดวกแก่การฝึกหัดและควบคุมกำลังพลให้พร้อมปฏิบัติหน้าที่ได้ตลอดเวลา
อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้มีพระราชดำริถึงเรื่องโรงทหารไว้ในลายพระราชหัตถ์กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินประพาสมณฑลพายัพ พ.ศ.
๒๔๔๘ ว่า "ส่วนทหารบก
ข้าพระพุทธเจ้ามีความเสียใจในเรื่องโรง
ดูซอมซ่อเสียพระเกียรติยศ
ถ้าจะให้ทหารเป็นที่ยำเกรงแก่พลเมือง
ควรจะต้องมีโรงให้อยู่ให้เป็นที่สง่าผ่าเผย
เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าต่อไป
ควรจะรีบทำโรงที่นครลำปางนี้ขึ้นให้แล้วโดยเร็ว"
[๑๐]