เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัติพระนครภายหลังจากทรงสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษ
ในตอนปลาย พ.ศ. ๒๔๔๕ แล้ว
นอกจากจะได้เสด็จไปทรงปฏิบัติราชการที่กรมราชเลขานุการและศาลวว่าการยุทธนาธิการในเวลากลางวันแล้ว
ในเวลากลางคืนที่ทรงว่างจากพระราชกิจก็มักจะโปรดให้มหาดเล็กข้าในพระองค์ได้เล่น
"ซ้อมรบ" กันในบริเวณพระราชฐานที่ประทับอยู่เสมอๆ
ดังที่พระยาสุนทรพิพิธ (เชย มัฆวิบูลย์)
อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย
ได้บันทึกเรื่องราวความทรงจำครั้งเป็นมหาดเล็กเด็กๆ
ในพระราชสำนักสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
สยามมกุฎราชกุมารไว้ใน "ยุทธวิธีของเสือป่า" ว่า
"พ.ศ. ๒๔๔๗ ขณะประทับ ณ พระราชวังสราญรมย์
ได้ทรงตั้งทวีปัญญาสโมสรขึ้นในพระราชอุทยานสราญรมย์
และในปีนี้เองก็ได้ทรงฝึกอบรมให้ข้าราชบริพารทั้งเด็กผู้ใหญ่เล่นการซ้อมรบ
วิธีการซ้อมรบก็ทำนองเดียวกับการซ้อมรบของทหาร
แต่ทำเป็นส่วนย่อยพอเหมาะสมกับจำนวนคนที่มี
และมีวิธีการแทรกซึมเข้าไปตามหมู่บ้าน
เพื่อทำความไมตรีหวังเอาเป็นกำลัง
ทั้งสองฝ่ายต่างใช้เล่ห์เพทุบายเพื่อจะให้สำเร็จผลแก่ฝ่ายตน
ฝ่ายใดได้ชาวหมู่บ้านเป็นพวกก็เป็นกำลังเพิ่มขึ้น
ฝ่ายที่ไม่ได้ก็แสดงตัวเป็นปรปักษ์แก่ชาวบ้าน
แล้วการรบก็เป็นคำสมมติฯ
นอกจากนี้ก็ยังมีวิธีการอย่างอื่น
สุดแต่จะทรงพระราชดำริหรือออกคำสมมติขึ้น
[๑] |
 |
มุมหนึ่งในพระราชอุทยานสราญรมย์
ซึ่งสมเด็จพระบรมโอรวาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
สยามมกุฎราชกุมาร ทรงใช้เป็นสถานที่
"เล่นซ้อมรบ"
|
การซ้อมรบกระทำในพระราชอุทยานสราญรมย์ในเวลากลางคืน
นับแต่เวลาเสวยพระกระยาหารค่ำแล้ว คือ ประมาณเวลา
๒๑.๓๐ น. ไปเลิกเอาเวลาประมาณ ๐๓.๐๐ น. ของวันใหม่
สัปดาห์ละ ๒ - ๓ คืน...
แม้เมื่อเวลาแปรพระราชฐานไปประทับที่จังหวัดนครปฐม
การซ้อมรบก็คงดำเนินเช่นเดียวกัน
และได้มีการเดินทางไกลไปจนถึงอำเภอบ้านโป่ง" ด้วย |
 |
นายพลเสือป่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประทับยืนบนรถยนต์พระที่นั่งประดับธงหมายตำแหน่ง
ผู้บัญชาการสูงสุดในสนาม
ขณะทอดพระเนตรการลำเลียงพล
ในระหว่างการซ้อมรบเสือปา พ.ศ. ๒๔๖๔
นายพลเสือป่า พระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล.ฟื้น พึ่งบุญ)
เฝ้าฯ ที่ข้างรถยนต์พระที่นั่ง |
ครั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดตั้งกองเสือป่าขึ้นแล้ว
ก็ทรงจัดให้มีการซ้อมรบเสือป่าขึ้นเป็นครั้งแรกที่จังหวัดนครปฐม
ในระหว่างวันที่ ๒ - ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๔
และก่อนที่จะโปรดเกล้าฯ
ให้เริ่มการซ้อมรบใหญ่เสือป่าคราวนั้น
ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตรา
"ข้อบังคับการซ้อมรบสำหรับเสือป่า" ขึ้น
เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ร.ศ. ๑๓๐ (พ.ศ. ๒๔๕๔)
ในคำปรารภแห่งข้อบังคับการซ้อมรบสำหรับเสือป่านั้น
ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์สำคัญของการจัดการซ้อมรบไว้ว่า
มีความมุ่งหมายอันสำคัญที่จะฝึกซ้อมเสือป่าให้ชำนาญในหน้าที่ซึ่งคล้ายกับในเวลาสงคราม
เพื่อเป็นกำลังสำคัญช่วยกองทัพบกในการเล็ดลอดสอดแนมนำข่าวคราวของช้าศึกมาให้ทราบ
และจะได้เป็นผู้ช่วยนำทัพในมณฑลและตำบลที่เสือป่านั้นคุ้นเคยและช่ำชอง
ข้อบังคับสำหรับการซ้อมรบนั้นมีอยู่ ๕ มาตรา
มาตรา ๑ ว่าด้วยการซ้อมรบ
มาตรา ๒
ว่าด้วยความประพฤติของเสือป่าทั้งสองฝ่ายในเวลาซ้อมรบ
มาตรา ๓ ว่าด้วยการตัดสิน
มาตรา ๔ ว่าด้วยการพักแรม
มาตรา ๕
ว่าด้วยผู้เป็นประธานและกรรมการ
สรุปความสำคัญของข้อบังคับการซ้อมรบนั้นคือ
การซ้อมรบนั้นย่อมจัดเป็นสองฝ่ายซึ่งสมมติประดุจนายกองเป็นประธานเป็นคนกลาง
ผู้เป็นประธานนี้จะต้องชี้แจงว่ากองเสือป่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ตั้งรับ
ฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายบุกรุก
และกองทั้งสองต่างมีหน้าที่อย่างใด
นอกจากนั้นผู้เป็นประธานจะต้องสมมติเหตุการณ์ต่างๆ
และแจ้งให้ผู้นำทัพทั้งสองฝ่ายรู้ข่าวต่างๆ
พอสมควรที่จะเป็นไปได้ในเวลาสงคราม
 |
กองเสือป่าขณะเข้าประจัญบานในระหว่างการซ้อมรบ |
ในเวลาการซ้อมรบนั้นต้องระวังมิให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน
และห้ามเสือป่าขู่เข็ญราษฎร
เวลาเสือป่าเหล่าราบทั้งสองฝ่ายเข้าตะลุมบอน
ห้ามเข้าใกล้กันเกินกว่า ๑๐ ก้าว
ถ้าแม้เป็นเสือป่าเหล่าราบต่อเสือป่าเหล่าม้า
หรือเสือป่าเหล่าม้าต่อเสือป่าเหล่าม้าด้วยกัน
ให้บอกหยุดตั้งแต่ระยะก่อนจะถึงกันไม่น้อยกว่า ๒๐
ก้าว
ในการฝึกหัดซ้อมรบนี้
เมื่อผู้เป็นประธานเห็นว่ากองเสือป่าทั้งสองฝ่ายได้กระทำการต่อสู้เป็นที่พอเพียงแก่ความประสงค์
สมควรจะวินิจฉัยผลของการซ้อมรบได้โดยตลอดแล้ว
ก็ควรให้เป่าแตรสัญญาณบอกเลิกการรบ
แล้วจึงเรียกนายกองนายหมู่มาประชุมพร้อมกัน ณ
ที่ผู้เป็นประธานอยู่นั้น
หลังจากนี้ผู้เป็นประธานจะให้ผู้นำทั้งสองฝ่ายอ่านคำสมมติและชี้แจงเหตุผลต่างๆ
ซึ่งผู้นำทัพได้จัดและกระทำไปในการซ้อมรบนั้นโดยตลอด
ครั้นแล้วผู้เป็นประธานจะต้องวินิจฉัยคำตัดสินและชี้แจงความผิดและถูกของการนำทัพทั้งสองฝ่าย
 |
พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์
ที่ประทับแรมในระหว่างซ้อมรบเสือป่า |
การซ้อมรบเสือป่านั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดขึ้นในฤดูแล้งทุกปี เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๔
เรื่อยมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๖๗ โดยงดไปหนึ่งปีใน พ.ศ.
๒๔๖๕
การซ้อมรบในแต่ละปีจะเริ่มขึ้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
นายกเสือป่าและผู้บัญชากรกองเสนาหลวงรักษาพระองค์แปรพระราชฐานจากพระที่นั่งพิมานปฐมหรือพระที่นั่งวัชรีรมยาไปประทับแรมที่พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์
โดยมีราชองครักษ์เสือป่าและนายเสือป่ารับใช้คอยประจำรับใช้ตามตำแหน่งแทนมหาดเล็กที่ต่างก็แยกย้ายเข้าประจำตามกรมกองเสือป่าที่สังกัด
ในเวลาเดียวกันนั้นพระราชวังสนามจันทร์ก็จะแปรสภาพจากพระราชฐานที่ประทับมาเป็นค่ายหลวงพระราชวังสนามจันทร์ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
เมื่อเสือป่าและลูกเสือจากกรุงเทพฯ
และจังหวัดอื่นๆ
เดินทางไปประชุมพลพร้อมกันที่พระราชวังสนามจันทร์
หรือค่ายหลวงบ้านโป่งแล้ว
จึงเริ่มการซ้อมรบใหญ่ประจำปี
การฝึกซ้อมในช่วงต้นนั้นจะเป็นการซ้อมรบระหว่างกองย่อยในสังกัดกองเสนาหลวงรักษาพระองค์ด้วยกัน
ต่อจากนั้นจึงรวมกองย่อยจัดเป็นกองกำลังระดับกองพันหรือกรมยกเข้าปะทะกัน
สุดท้ายจึงเป็นการซ้อมรบใหญ่ประจำปีในระหว่างกองกำลังในสังกัดกองเสนาหลวงรักษาพระองค์ซึ่งในบางปีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเป็นผู้นำทัพด้วยพระองค์เอง
แต่ส่วนใหญ่จะโปรดเกล้าฯ
ให้นายเสือป่าชั้นผู้ใหญ่หมุนเวียนกันเป็นผู้นำทัพ
กับกองกำลังเสนาหลวงรักษาดินแดนกรุงเทพฯ
ที่มีนายพลเสือป่า เจ้าพระยายมราช
เสนาบดีกระทรวงนครบาลและผู้บัญชาการกองเสนารักษาดินแดนกรุงเทพฯ
และนายพลเสือป่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ
เป็นผู้นำทัพตามลำดับ
 |
นายพลเสือป่า เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)
ผู้บัญชาการกองเสนารักษาดินแดนกรุงเทพฯ |
การซ้อมรบใหญ่แต่ละครั้งจะมีคำสมมติให้ฝ่ายหนึ่งเป็นข้าศึกยกกำลังเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์
หรือยกขึ้นมาจากคาบสมุทรมลายูผ่านจังหวัดราชบุรีมุ่งหน้าเข้าตีพระราชวังสนามจันทร์เพื่อยกกำลังผ่านเข้าไปตีกรุงเทพฯ
ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งได้รับคำสมมติให้เป็นกองกำลังฝ่ายสยามทำหน้าที่ตั้งรับและรักษาที่มั่นเป็นการประวิงเวลารอให้ฝ่ายทหารยกกำลังกองทัพออกมาตั้งรับและรุกไล่ข้าศึกให้พ้นไปจากพระราชอาณาเขต
การซ้อมรบใหญ่นี้จะกระทำติดต่อกันราว ๓ หรือ ๕ วัน
จึงจะทราบผลแพ้ชนะที่ชัดเจน
เสร็จการซ้อมรบใหญ่แล้วมีการชุมพลสวนสนามหน้าพระที่นั่ง
รับพระราชทานพระบรมราโชวาททรงพระราชวิจารณ์การซ้อมรบที่ผ่านมา
ตอนกลางคืนมีการพระราชทานเลี้ยงพร้อมการแสดงส่งท้าย
แล้ว รุ่งขึ้นจึงต่างแยกย้ายกันเดินทางกลับ