ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นกล่าวกันว่าเป็นยุคทองของหนังสือพิมพ์ไทย
หนังสือพิมพ์ไทยในยุคนั้นมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
จนบางครั้งถึงกับเลยเถิดไปก้าวล่วงบุคคลอื่น
ครั้นทรงตั้งเมืองจำลองดุสิตธานีและมีทวยนาครหรือพลเมืองของดุสิตธานีริเริ่มออกหนังสือพิมพ์ขึ้น
๒ ฉบับ คือ "ดุสิตสมัย" และ "ดุสิตรีคอร์เดอร์"
หรือที่ต่อมาเปลี่ยนเป็น "ดุสิตสักขี"
หนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับนั้นต่างก็ดำเนินตามรอยหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในยุคนั้น
กล่าวคือ
"๑.ยกยอหนังสือพิมพ์ฉบับของตนว่าเก่งที่สุด
โวหารดีฝีปากกล้า ด่าว่าให้ทุกๆ คนไม่เลือกหน้า,
ถึงแม้ท่านจะเป็นผู้เคยมีพระเดชพระคุณแก่ตัวมาแต่ก่อนก็ไม่เป็นไร
เพราะจะยืมชื่อมาอุดหนุนราชนาวี [๑]
๒.หาความหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นว่า
กล่าวคำหยาบคาย, ลงเรื่องไม่เปนประโยชน์,
หรือเอาเรื่องส่วนตัวของบุคคล
อันหาเปนประโยชน์แก่สาธารณะชนมาลงพิมพ์,
ส่วนฉบับของตัวคงทำเช่นนั้นอยู่ก็ได้ ไม่เป็นไร.
๓.ขอทานเงินให้เขาให้เกินค่ารับ
ถ้าเขาไม่ให้จงด่าว่า ป.จ.
หรือจะด่าชนิดที่เรียกว่ากระทบกระเทียบก็ยิ่งดี;
เมื่อถูกเข้าบ่อยๆ ก็คงจะต้องซื้อความรำคาญ
โดยให้เงินเกินกว่าค่ารับ.
๔. ถ้าหาข่าวลงพิมพ์ไม่ได้เพียงพอ
จะนึกเขียนอะไรต่อมิอะไรลงไปก็ได้
ไม่จำเป็นจะต้องใกล้ความจริงหรือขบขัน.
๕.ไปจำข้อความและสำนวนโวหารมาจากพวกเล่นลำตัดแล้วดัดแปลงเสียเปนร้อยแก้วเพื่อด่าฉบับอื่น
ในข้อนี้ถึงแม้ตำที่ว่าจะไม่เปนจริงก็ไม่เป็นไร,
ระวังแก้เขาให้ถูกปัญหาเหมือนถูกกลอนก็แล้วกัน.
๖.หาเหตุหยุดให้บ่อยๆ สบายดีไม่ต้องทำงาน,
และทั้งจะเป็นโอกาศเอาเปรียบต่อผู้รับด้วย.
๗.ถ้าแม้เจ้าหน้าที่มัวหลงเที่ยวงานต่างๆ
เสียหมดจนจะพิมพ์ไม่ได้ตามกำหนด,
จะหยุดเกินไปกว่าที่ได้ประกาศไว้สักวันหนึ่งหรือสองวันก็ได้
คนอ่านคงลืม" [๒] |
ด้วยเหตุทั้ง ๗ ประการดังกล่าว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานกำเนิดหนังสือพิมพ์ "ดุสิตสมิต"
ขึ้นในดุสิตธานีอีกฉบับหนึ่งเมื่อเดือนธันวาคม
พ.ศ. ๒๔๖๑ โดยมีคณะผู้จัดทำประกอบด้วย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเป็นบรรณาธิการใหญ่
มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกรมมหาดเล็กอีก ๔
ท่านเป็นบรรณาธิการ คือ เจ้าพระยารามราฆพ
(ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) พระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล.ฟื้น
พึ่งบุญ) หม่อมเจ้าชัชวลิต เกษมสันต์
และพระยาอุดมราชภักดี (โถ สุจริตกุล)
กับมีบรรณานุกรซึ่งล้วนเป็นนักเรียนเก่ามหาดเล็กหลวงอีก
๔ นายเป็นผู้ช่วย คือ นายจ่ายวด (ปาณี ไกรฤกษ์)
หม่อมเจ้าดุลภากร วรวรรณ พระมหาเทพกษัตรสมุห
(เนื่อง สาคริก) และหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล
 |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
บรรณาธิการใหญ่ ดุสิตสมิต |
การที่ทรงอุทิศพระองค์เป็นบรรณาธิการใหญ่ของหนังสือพิมพ์ดุสิตสมิตนี้
กล่าวกันว่าทรงมุ่งหมายจะประชดประชันหนังสือพิมพ์ที่ออกจำหน่ายในดุสิตธานี
ที่มักจะออกบ้างไม่ออกบ้างตามรายสะดวกของคณะผู้จัดทำ
ดุสิตสมิตจึงมีคำขวัญที่ปกหน้าว่า
"เปนหนังสือพิมพ์ออกบ้างไม่ออกบ้างตามบุญตามกรรม"
แต่โดยข้อเท็จจริงดุสิตธานีออกตรงเวลาเป็นประจำทุกวันเสาร์
แม้บรรณาธิการใหญ่จะแปรพระราชฐานไปประทับแรมนอกพระนคร
ดุสิตสมิตก็ยังส่งถึงมือสมาชิกได้ตรงตามกำหนด
และเมื่อจะหยุดพักประจำปีก็มีประกาศให้สมาชิกได้ทราบล่วงหน้าเสมอมา
สำหรับรายได้จากค่าบอกรับเป็นสมาชิกรวมทั้งเงินที่ได้จากการจัดจำหน่ายทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่าย
ก็โปรดพระราชทานไปบำรุงการกุศลสาธารณะ เช่น
สมทบราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์
เพื่อการจัดซื้อเรือรบหลวงพระร่วง สมทบคณะเสือป่า
เพื่อจัดซื้อปืนให้เสือป่า สมทบสภากาชาดสยาม
เพื่อรักษาผู้ป่วยเจ็บ ฯลฯ
นอกจากนั้นยังทรงมุ่งหมายให้หนังสือพิมพ์ดุสิตสมิตนี้เป็นเครื่องมือในการทรงสั่งสอนและแสดงวิธีการล้อเลียนบุคคลบนพื้นฐานของหนังสือพิมพ์ที่มุ่งหมายแต่จะให้ผู้อ่านได้
สมิต (ยิ้ม) น้อยบ้างใหญ่บ้าง
ที่ปกหลังของดุสิตสมิตทุกฉบับจึงมีข้อความแสดงวัตถุประสงค์ไว้ชัดเจนว่า
หนังสือพิมพ์ดุสิตสมิต |
บ่มิคิดคะดีทราม |
ตั้งจิตจะนำความ |
สุขะให้ฤดีสบาย |
ถึงล้อก็ล้อเพียง |
กละเยี่ยงวิธีสหาย |
บ่มีจะมุ่งร้าย |
บ่มิมุ่งประจานใคร |
ใครออกจะพลาดท่า |
ก็จะล้อจะเลียนให้ |
ใครดีวิเศษไซร้ |
ก็จะชมประสมดี |
ชมเราก็แทงคิว |
ผิวะฉิวก็ซอร์รี่ |
แม้แม็ดมิคืนดี |
ก็จะเชิญ ณ คลองสาน ฯ |
การล้อเลียนในดุสิตสมิตนั้น
มีทั้งการล้อเลียนข่าวที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ที่ออกในดุสิตสมิตด้วยกัน
เช่น เรื่องที่ดุสิตสมัย ฉบับที่ ๓๗,
วันอาทิตย์ที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ ลงข่าวว่า
 |
พระมหาคีรีราชปุระ
เป็นสถาปัตยกรรมยุโรปที่ฝรั่งเศสเรียกว่า Chateau
หรือที่อังกฤษเรียกว่า Castle เยอรมันเรียกว่า
Schloss
พระที่นั่งที่เห็นที่ด้านบนของภาพคือ
พระที่นั่งศิวะวิมานมณี |
"บริเวณมหาคีรีราชปุระ
เวลานี้โยธากำลังสร้างกำแพงค่ายคูประตูหอรบออกจะชอบกลๆ
นาครในจังหวัดเราโดยมากยังไม่ใคร่มีใครเห็นเลย
บางทีจะเปนทำอย่างแบบพม่า?
ถ้าเราทราบข้อความอย่างไรแล้วจะได้นำลงต่อภายหลัง."
[๓]
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงหยิบยกข่าวที่ดุสิตสมัยฉบับดังกล่าวลงว่า
"บางทีจะเปนทำอย่างแบบพม่า"
ขึ้นล้อเลียนในดุสิตสมิต ฉบับที่ ๔
วันเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๑
ด้วยข้อความว่า
"เมื่อเราได้อ่านข่าวเช่นนี้แล้ว
เราก็ได้รีบให้ผู้สืบข่าวของเราไปดูที่มหาคีรีราชปุระ,
เพื่อไปดูกำแพงค่ายคูประตูหอรบที่สหายเราว่าทำอย่างแบบพม่านั้น,
กลับมารายงานว่า -
๑.
เกรี่ยงผู้เปนเถ้าแก่ควบคุมกุลีทำงานอยู่ที่นั้นบอกว่า
"ทามยางไม่เลี้ยว; เป็งแต่ทาสีลงพื้งไว้โก่ง."
๒. แบบแผนนั้นมีนายช่างผู้ ๑
ซึ่งได้ไปศึกษาวิชา ณ ประเทศพม่าเศส
[๔]
ได้เปนผู้เขียน.
๓. กำแพงและป้อมชนิดนี้
พม่าเยอร์ได้แกล้งทำลายเสียมากแล้วในประเทศพม่าเศสภาคเหนือ.
ครั้นเมื่อผู้สืบข่าวของเราได้สืบได้ข้อความฉะนี้แล้ว
จึ่งได้เลยไปที่โฮเตลเมโตรโปล,
เรียกเมรัยพม่าที่เรียกว่าชามเปญกินถ้วย ๑,
แวะเข้าไปเล่นการกีฬาพม่าที่เรียกว่าบิลเลียด.
แล้วกลับมาที่ห้องของเรา,
ซุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้พม่าและหัวเราะจนฟันหัก,
รุ่งขึ้นต้องไปหาหมอพม่าใส่ฟันใหม่ ทุงเล!"
[๕] |
 |
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
สภานายกหอพระสมุดสำหรับพระนคร |
นอกจากนั้นในดุสิตสมิต
ฉบับเดียวกันนั้น
ยังได้ทรงพระราชนิพนธ์บทความล้อเลียนบุคคลไว้เป็นตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง
โดยทรงหยิบยกโวหารของสภานายกหอพระสมุดสำหรับพระนครซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในยุคนั้นว่า
เมื่อเจ้าภาพรายใดมาขอให้กรรมการหอพระสมุดสำหรับพระนครช่วยพิจารณาคัดเลือกหนังสือในหอพระสมุดไปพิมพ์แจกเป็นบรรณาการในงานพระราชทานเพลิงศพหรือฌาปนกิจศพข้าราชการหรือบุคคลผู้มีชื่อเสียง
นอกจากเจ้าภาพงานศพนั้นๆ
จะได้รับต้นฉบับหนังสือไปพิมพ์แจกเป็นบรรณาการตามความประสงค์แล้ว
ยังจะได้รับ "คำนำ"
ชองสภานายกหอพระสมุดสำหรับพระนครพร้อมกันไปด้วย