หลักสูตรการศึกษาของโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์นั้น
พระยาสุนทรพิพิธ (เชย มัฆวิบูลย์)
มหาดเล็กข้าหลวงเดิมเล่าไว้ว่า
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังประทับอยู่ที่พระราชวังสราญรมย์ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระยุพราช
"วันหนึ่งสมเด็จพระบรมโอราสาธิราช โปรดเกล้าฯ
ให้บุตรข้าราชการคนหนึ่ง
ซึ่งเรียนอยู่โรงเรียนวัดมหาธาตุอ่านหนังสือถวายให้ทรงสดับ
นักเรียนผู้นั้นก็อ่านไม่ออก
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นในพระราชวังสราญรมย์"
[๑]
เรียกชื่อโรงเรียนนี้อย่างไม่เป็นทางการว่า
"โรงเรียนพระราชวังสราญรมย์"
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หลวงอภิรักษ์ราชฤทธิ์
(นกยูง วิเศษกุล)
[๒]
ราชเลขานุการในพระองค์เป็นอาจารย์ใหญ่
และในเวลาที่ทรงว่างจากพระราชกิจสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
ก็ได้เสด็จมาทรงสอนกุลบุตรเหล่านั้นด้วยพระองค์เอง
จึงเรียกชื่อโรงเรียนนี้ว่า
"โรงเรียนพระราชวังพระราชวังสราญรมย์"
บ้างก็เรียกว่า "โรงเรียนพระยุพราช"
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับรัชทายาทเสด็จดำรงสิริราชสมบัติเมื่อวันที่
๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ แล้ว ต่อมาวันที่ ๒๙
ธันวาคมปีเดียวกัน ก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้นแทนพระอารามหลวงประจำรัชกาลแล้ว
"ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ตั้งแต่งข้าราชการผู้ไว้วางพระราชหฤทัยเปนผู้ดำเนินการให้เปนไปสมพระราชประสงค์ด้วยอีกชั้นหนึ่ง.
หลักสูตร์การเล่าเรียนในสมัยนั้นนอกจากมีวิชาสามัญอย่างโรงเรียนรัฐบาลแล้ว,
ยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เพิ่มวิชามหาดเล็กเข้าไว้ในหลักสูตร์อีกอย่าง
๑,
กับทั้งให้ครูสอนให้หนักไปในทางภาษาและจรรยาอีกด้วย,
ทั้งนี้เพื่อเปนทางขัดเกลาให้กุลบุตร์มีอุปนิสัยอันดีงาม,
เปนคุณสมบัติประจำตัวต่อไปสมกับที่ได้ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงไว้ภายในพระราชฐาน,
กับทั้งประพฤติตนให้ต้องด้วยกาละเทศะนิยมของสมาคมที่ดีทุกชั้นทุกชนิด
นอกจากนี้ยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้นักเรียนได้เฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทและตามเสด็จพระราชดำเนินประพาสชนบทเปนครั้งคราว
เพื่อได้มีโอกาศสดับตรับฟังพระบรมราโชวาท,
ทั้งนี้เปรียบเหมือนได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาศให้นักเรียนได้ศึกษาวิชาการ,
และกิจการณะ "ท้องพระโรง",
ซึ่งเปนปัจจัยให้เกิดคุณวุฒิในทางรับราชการและประพฤติตนให้ต้องด้วยพระราชนิยมต่อไป."
[๓] |
 |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องฝึกหัดนายกองใหญ่
ผู้บังคับการกรมเสือป่าหลวงรักษาพระองค์
ประทับฉายพระบรมฉายาลักษณ์พร้อมด้วยพระบรมวงศ์
ข้าทูลละอองธุลีพระบาท
ทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน เสือป่า ลูกเสือหลวง
และนักเรียนมหาดเล็กหลวง
คราวตามเสด็จไปทรงนมัสการพระพุทธบาท ณ
เชิงบันไดนาคมณฑปพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี
เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๖
|
ในการนี้ได้มีพระราชหัตถเลขาพระราชทานลงวันที่ ๒๒
มีนาคม ร.ศ. ๑๓๐ (พ.ศ. ๒๔๕๔)
พระราชทานไปยังพระยาไพศาลศิลปสาตร์ (สนั่น
เทพหัสดิน ณ อยุธยา - เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี)
กรรมการจัดการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ความตอนหนึ่งว่า
"วันที่ ๒๒ มีนาคม รัตนโกสินทรศก ๑๓๐
พระยาไพศาล
ด้วยได้ทราบฃ่าวว่า
ในการที่นักเรียนโรงเรียนมหาดเล็กซึ่งเปนลูกเสือหลวงได้ตามเสด็จออกไปที่สนามจันทร์
และได้ไปอยู่ที่นั้นจนตลอดเวลาที่ฃ้าอยู่นั้น
มีผู้ปกครองนักเรียนบางคนเห็นว่าเปนการเสียเวลาเล่าเรียนของเด็กไปบ้างดังนี้
ฃ้าจึ่งต้องขอชี้แจงให้เจ้าเฃ้าใจฃ้อความบ้าง
ดังต่อไปนี้
ความตั้งใจของฃ้าที่ให้นักเรียนมหาดเล็กไปตามเสด็จนั้น
อันที่จริงตั้งใจให้ไปแต่เฉภาะผู้ที่เปนนักรียนหลวง
คือเด็กที่ฃ้าออกเงินค่าเล่าเรียนให้เองเท่านั้น
เพราะเด็กเหล่านี้ฃ้าถือว่าฃ้าเปนผู้ปกครองอยู่เอง
จึ่งไม่ต้องถามผู้ ๑ ผู้ใดก่อน
การที่ให้ตามเสด็จก็ด้วยความประสงค์อันดี
คือประสงค์จะให้เด็กได้มีโอกาศได้เฃ้าที่สมาคมอันดี
เพื่อจะได้เปนประโยชน์แก่ตัวเด็กต่อไปภายน่าอย่าง
๑ ประสงค์ให้ได้มีโอกาศเห็นเมืองไทยนอกจากบางกอก
จะได้ไม่หลงไปว่าเมืองไทยหมดอยู่เพียงบางกอก
ซึ่งจะทำให้คนกลายเปนกบอยู่ใต้กลาครอบอย่าง ๑
ฃ้ามีความประสงค์อยู่เช่นนี้เปนที่ตั้ง
จึ่งได้ให้นักเรียนของฃ้าตามเสด็จ
โดยความเชื่ออยู่ในใจว่าจะเปน ประโยชน์แก่ตัวเด็ก
และจะนับเนื่องเข้าในการศึกษาของเด็กส่วน ๑ ก็ได้
เจ้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าฃ้าไม่เห็นด้วยในการที่คนไทยรุ่นใหม่จะมุ่งแต่เปนเสมียนอย่างเดียว
เพราะฉนั้นจึ่งอยากให้การศึกษาของเด็กไปในทางอื่นๆ
นอกจากทางเรียนหนังสืออย่างเดียว" |
 |
พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชทานพระยาไพศาลศิลปสาตร์ (สนั่น เทพหัสดิน ณ
อยุธยา - เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี)
กรรมการจัดการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
|
 |
นายกองใหญ่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
นายกเสือป่า
ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณฺพร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาเสือป่าและนักเรียนเสือป่าหลวง
(แถวนั่งเก้าอี้จากซ้าย) |
๑. นายกองเอก หม่อมเจ้าปิยบุตร
จักรพันธุ์ ผู้บังคับกองพันที่ ๑
กรมเสือป่าหลวงรักษาพระองค์
๒. นายกองใหญ่
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ผู้บังคับการกรมเสือป่าราบหลวงรักษาพระองค์
๓. นายกองเอก พระยาประสิทธิ์ศุภการ
(ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ -
เจ้าพระยารามฆพ)
รองผู้บังคับการกรมเสือป่าราบหลวง
รักษาพระองค์
๔. นายกองตรี พระอภิรักษ์ราชฤทธิ์ (ศร
ศรเกตุ - พระยาบริหารราชมานพ)
ผู้บังคับการกรมนักเรียนเสือป่าหลวง
และนักเรียนเสือป่าหลวงกองร้อยที่ ๑
โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ที่ค่ายหลวงบ้านโป่ง เมื่อวันที่ ๑๕
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๗ |
|
ต่อมาเมื่อมีกองเสือป่าอาสาสมัคและลูกเสือขึ้นแล้ว,
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้นักเรียนมหาดเล็กหลวงกรุงเทพฯ
และราชวิทยาลัยเปนลูกเสือหลวง (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนนามเปนนักเรียนเสือป่าหลวง),
และให้เพิ่มวิชาการเสือป่าเข้าไว้เปนส่วนสำคัญในหลักสูตร์อีกอย่าง
๑, เพื่อฝึกหัดให้เกิดความรักชาติ,
ศาสนาและพระมหากระษัตริย์,
และรู้จักค่าแห่งการสละประโยชน์ความศุขจนที่สุดชีวิตของตนเพื่อสงวนความรักนั้นๆ
ในเมื่อประจวบความจำเปนเนื่องในการอบรมวิชาประเภทนี้
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้นักเรียนเสือป่าหลวงได้โดยเสด็จพระราชดำเนินในการฝึกซ้อมวิธียุทธเสือป่าเสมอทุกปี..."
[๔] |
 |
พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชทานพระยาไพศาลศิลปสาตร์ (สนั่น เทพหัสดิน ณ
อยุธยา - เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี)
กรรมการจัดการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
|
อนึ่ง นอกจากจะโปรดเกล้าฯ
ให้นักเรียนมหาดเล็กหลวงได้เล่าเรียนตามหลักสูตรหลวงของกระทรวงธรรมการแล้ว
ยังมีพระราชดำริให้นักเรียนมหาดเล็กหลวงได้ฝึกหัดโขน
ดังความตอนหนึ่งในพระราชหัตถเลขาที่พระราชทานไปยังพระยาไพศาลศิลปสาตร์
(สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
กรรมการจัดการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงว่า
"กับมีอยู่อีกข้อ ๑ ซึ่งฃ้าควรจะบอกเจ้าไว้
คือมีนักเรียนหลวงบางคนได้เคยฝึกหัดวิชาโขนอยู่แล้ว
ถ้าจะทิ้งเสียฃ้าก็ออกเสียดาย
เพราะวิชานี้มันจะสูญอยู่แล้ว
ยังมีที่หวังอยู่แต่ในพวกนี้
เพราะฉนั้นฃ้าอยากจะขอให้ได้มีโอกาศฝึกซ้อมต่อไปบ้างตามสมควร
และบางครั้งบางคราวถ้าจวนๆ
จะเล่นอาจจะต้องขอมาซ้อมผสมบ้าง
การซ้อมผสมเช่นนี้บางทีก็มีต้องอยู่ดึกไปบ้าง
แต่คงจะไม่มีบ่อยนัก และฃ้าเข้าใจว่าเด็กๆ
ไม่ใคร่จะรู้สึกอะไร เพราะเคยสังเกตมาแล้วว่า
เวลาไรที่มิใช่บทเฃาก็แอบไปหลับไปงีบกันได้
ถ้าแม้จะต้องฃาดในระเบียบเวลาไปบ้างก็คงจะมีแต่ในตอนเช้า
ซึ่งเห็นจัดไว้เปนเวลาสำหรับหัดทหารหรือหัดยิมนาสติกส์
ซึ่งน่าจะยอมผ่อนให้ได้บ้าง
เพราะการฝึกซ้อมโขนก็เปนยิมนาสติกส์อยู่ในตัวแล้ว
ผู้ที่ฃ้าจะขอมาฝึกซ้อมโขนเปนพิเศษเช่นกล่าวมาแล้วนั้น
คงจะเปนจำนวนนักเรียนหลวงทั้งสิ้น
ซึ่งแปลว่าถ้าเสียเวลาเรียนบ้าง
จะต้องอยู่ในโรงเรียนช้าไป
และเสียเงินค่าเรียนนานไปอีก ก็เปนเงินของฃ้าเอง
ไม่ต้องเกรงใจใคร" |
ดังนั้นเมื่อโปรดเกล้าฯ ให้มีการซ้อมโขนละคร
ก็จะโปรดเกล้าฯ
ให้ส่งรถยนต์หลวงไปรับนักเรียนมหาดเล็กหลวงซึ่งบางคนเป็นมหาดเล็กข้าหลวงเดิมมานั่งดูการซ้อมอยู่แทบเบื้องพระยุคลบาทโดยรอบที่ประทับ
บางครั้งก็โปรดเกล้าฯ
ให้ร่วมฝึกซ้อมเป็นเสนายักษ์บ้าง เสนาลิงบ้าง
เป็นผู้ชมบ้าง
และโดยที่การซ้อมโขนละครแค่ละคราวนั้นกว่าจะเริ่มลงโรงซ้อมกันก็ราวห้าทุ่มล่วงแล้ว
และกว่าจะเลิกก็ล่วงเข้าตีสองตีสามของวันใหม่
ในระหว่างการซ้อมโขนละครนั้นจึงมักจะมีเรื่องแปลกๆ
ถึงขนาดทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระสรวลอยู่บ่อยๆ
เช่น
มีอยู่วันหนึ่งมีการซ้อมโขนตอนพระรามยกทัพออกมารบกับทศกัณฐ์
พระรามแผลงศรถูกพวกยักษ์ล้มตายเกลื่อนกลาด
รบกันจนถึงย่ำพระทินกรก็ยังหาแพ้ชนะกันไม่
ทศกัณฐ์จึงเจรจาหย่าทัพว่า
รุ่งขึ้นจงมารบกันใหม่ให้แพ้ชนะกันไป
พูดแล้วทศกัณฐ์ก็ยกทัพกลับเข้ากรุงลงกา
บรรดาเสนายักษ์ที่ต้องศรพระรามล้มลงนอนตายก็รีบลุกขึ้นกลับเข้าโรงไป
แต่มีเสนายักษ์ตนหนึ่งเป็นนักเรียนมหาดเล็กหลวง
ต้องศรพระรามจนหลับไปจริงๆ พวกยักษ์เพื่อนๆ
จะเข้าไปปลุก
ก็ทรงห้ามไว้พร้อมกับมีพระราชกระแสว่า
"ปล่อยให้มันนอนตามสบาย"
จนกระทั่งกองทัพพระรามยกพลกลับเข้าโรงจนหมดแล้ว
เสนายักษ์ตนนั้นจึงรู้สึกตัวลุกขึ้นนั่ง
เมื่อเหลียวมองไม่เห็นผู้ใด
จึงทำท่าเร่อร่าวิ่งเข้าโรงไป ล้นเกล้าฯ
ถึงกับทรงพระสรวลและปรบพระหัตถ์ไล่หลัง
ข้างฝ่ายฝ่ายเสนาลิงนั้นก็มีเรื่องเล่ากันมาว่า
ในการฝึกซ้อมบางคราวถึงกับเต้นลงไปในกระบะหมากของครูบ้าง
เตะรางระนาดแทบล้มบ้าง
จูบเสากลางโรงเข้าตูมเบ้อเร่อบ้าง
เข้าประตูโรงไม่ถูกบ้าง ผิดแถวบ้าง ชนกันเองบ้าง
นอนหลับกันกลางโรงบ้าง
คลานเหยียบหางกันเองถึงกับหงายหลังกันบ้าง
ยิ่งเวลารบกัน
ยักษ์ลิงฟาดฟันกันนัวเนียจนถึงหัวโนห้อเลือดก็มีให้เห็นอยู่เนืองๆ