ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาในงานประจำปีของโรงเรียนและทรงเปิด
หอนาฬิกาที่เนินดินริมสระน้ำในโรงเรียนเมื่อวันที่
๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๓ แล้วไม่นาน
จดหมายเหตุพระราชกิจประจำ
วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ ได้บันทึกไว้ว่า
 |
พระวิสูตรและพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
บนหอประชุมวชิราวุธวิทยาลัย |
"เวลา ๑๙.๓๐ น.
เกิดเพลิงไหม้หอประชุมของวชิราวุธวิทยาลัย ประมาณ
๕ นาที จึงสงบ
คงไหม้พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
กับม่านไข เสียหายประมาณ ๒๕๐ บาท
สอบสวนได้ความว่านักเรียนจุดธูปเทียนบูชาพระบรมรูปลมคงพัดม่านไปติดกับธูปเทียนจึงลุกลามขึ้น" [๑] |
เหตุที่เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในครั้งนั้น
นักเรียนเก่ามหาดเล็กหลวงและวชิราวุธวิทยาลัย
เรือเอก โรจน์ ไกรฤกษ์ รน. เล่าว่า
เวลานั้นท่านผู้เล่าเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๘
วันที่เกิดเพลิงไหม้นั้นเป็นช่วงเวลาใกล้สอบไล่ประจำปี
นักเรียนจึงพากันขึ้นไปจุดธูปเทียนถวายบังคมพระบรมรูปที่พระวิสูตรบนหอประชุม
ในระหว่างนั้นมีลมกระโชกทำให้พระวิสูตรปลิวไปถูกเปลวเทียนที่หน้าพระวิสูตร
เมื่อท่านผู้บังคับการพระยาปรีชานุสาสน์ (เสริญ
ปันยารชุน) ทราบเหตุ
ได้มีบัญชาให้ตีระฆังใหญ่ที่หอนาฬิกาเป็นสัญญาณเรียกครูและนักเรียนทั้งโรงเรียนมาประชุมพร้อมกัน
แล้วท่านได้มีบัญชาให้นักเรียนยืนต่อแถวกันจากหอประชุมไปถึงสระน้ำ
(เวลานั้นตึกขาวยังมิได้เริ่มก่อสร้าง)
ให้นักเรียนตักน้ำจากในสระส่งต่อกันขึ้นไปดับไฟ
เดชะพระบารมัปกเกล้าฯ
สามารถดับเพลิงได้ในเวลาอันรวดเร็ว
 |
กระถางธูปที่สนามหน้าหอประชุม |
จากเหตุเพลิงไหม้หอประชุมคราวนั้น
ท่านผู้บังคับการจึงมีคำสั่งห้ามเป็นเด็ดขาดมิให้นักเรียนขึ้นไปจุดธูปเทียนถวายบังคมที่หน้าพระวิสูตรบนหอประชุมอีกต่อไป
และได้จัดให้มีกระถางธูปศิลาตั้งไว้ที่สนามในวงเวียนหน้าหอประชุม
ให้นักเรียนจุดธูปเทียนถวายบังคมที่กระถางนี้แทน
เนื่องจากโรงเรียนตระหนักว่า
การที่เกิดเพลิงไหม้หอประชุมนั้น
เกิดมาจากความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวของนักเรียน
ท่านผู้บังคับการพระยาปรัชานุสาสน์จึงได้ปรึกษากับคณะนักเรียนเก่าที่ร่วมกันจัดสร้างหอนาฬิกาในนามคณะไทยเขษมซึ่งมีนักเรียนเก่ามหาดเล็กหลวง
หลวงสรรสารกิจ (เคล้า คชนันทน์)
อดีตปลัดกรมโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเป็นหัวหน้าคณะ
และได้มีดำริร่วมกันที่จะจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐานไว้ที่เนินหอนาฬิกาภายในโรงเรียน
 |
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
เสด็จพระราชดำเนินมาในงานประจำปีของวชิราวุธวิทยาลัย
วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๑ |
เมื่อสภากรรมการจัดการวชิราวุธวิทยาลัยให้ความเห็นชอบแล้ว
โรงเรียนได้นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์
ประดิษฐานไว้ในโรงเรียน
เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนประเดิมจำนวน
๑,๐๐๐ บาท โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร
และผู้จงรักภักดีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ายู่หัวร่วมกันบริจาคสมทบ
ณ วันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นเงินรวม
๑๑,,๑๙๗.๒๘ บาท [๒]
ในเวลาเดียวกันนั้นหลวงสรรสารกิจ
หัวหน้าคณะไทยเขษม
ก็ได้จัดรวบรวมนักเรียนเก่ามหาดเล็กหลวงและนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาจากจากวชิราวุธวิทยาลัยจัดตั้งสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยขึ้นเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๗๖
เพื่อระดมทุนสมทบจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พร้อมกันไปด้วย
 |
 |
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ |
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ |
อนึ่ง
เพื่อให้การจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นไปโดยถูกต้องสมพระเกียรติยศ
คณะของวชิราวุธวิทยาลัยจึงได้พร้อมกันไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยานิศรานุวัดติวงศ์
ขอประทานพระกรุณาให้ทรงออกแบบพระบรมราชานุสาวรีย์ให้
จึงพบความใน "สาสน์สมเด็จ"
ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยานิศรานุวัดติวงศ์
ทรงมีไปมากับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ รวม ๔ ฉบับ ดังนี้
กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพฯ
ทราบฝ่าพระบาท
...
เรื่องที่เขาบอกเรี่ยไรสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เห็นเขาลงหนังสือพิมพ์ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัสโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพันบาท จำนวนเท่านั้นน่าจะเป็นสกัดหน้า
แต่ว่ายังมีข้อไขที่โปรดเกล้าฯ พระราชทานไว้
ว่าภายหลังถ้าบกพร่องก็จะโปรดเกล้าฯ พระราชทานเติม
เรื่องสร้างพระบรมรูปรายนั้น
เกล้ากระหม่อมจะได้กราบทูลฝ่าพระบาทแล้วยังจำไม่ได้
เขาเชิญเกล้ากระหม่อมให้ช่วยคิดออกแบบ
เกล้ากระหม่อมแม้จะชราทุพพลภาพแล้วก็ต้องรับทำ
ด้วยเกี่ยวแก่การสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เขาต้องการให้ทำพระบรมรูปยืน
ทรงเครื่องอย่างเมื่อสรงมุรธาภิเษกแล้วในปางประกาศสงคราม
ด้วยเขาเข้าใจว่าเป็นเครื่องทรงอย่างโบราณราชประเพณี
แต่ความจริงเข้าใจผิด เป็นเครื่องทรงใหม่ทั้งนั้น
มีของเก่าแต่สังวาลย์นพรัตน์
กับพระแสงดาบคาบค่ายเท่านั้น
เกล้ากระหม่อมชี้แจงแก่เขา เขาก็ยอมถอนความคิดเดิม
อนุญาตให้เกล้ากระหม่อมก็คิดจะทำให้สมความประสงค์เขาทั้งสองอย่าง
จะย่อกะเปาะฐานพระบรมรูปออกสองข้างทั้งรูปหุ่นฐานพระบรมรูปด้านหลังจะเป็นรูปภาพนูน
ด้านหน้าจะฝังอักษรจารึกสิ่งเหล่านี้
ใคร่จะหารือฝ่าพระบาทว่า
๑. จะทำทรงเครื่องอย่างไรดี
๒. รูปภาพหุ่นจะทำรูปคนจำพวกใดดี
มีพวกที่ได้ทรงจัดขึ้นหลายพวก
แต่น่าจะต้องเอาพวกนักเรียนวชิราวุธนั้นเองกะเปาะหนึ่ง
อีกกะเปาะหนึ่งเอาลูกเสือดีกระมัง
๓. รูปภาพนูนเห็นจะควรทำปางประกาศสงคราม
หรือฉลองชัยชำนะสงคราม
อันจะเป็นพระเกียรติยศใหญ่ยิ่งกว่าอื่นหมด
แต่เวลานี้ฝ่าพระบาทเพิ่งเสด็จกลับจากเที่ยวผ่อพักพระกายพระทัยใหญ่ๆ
ยังไม่ควรทรงพระดำริอะไรมากนัก นี่
เป็นแต่กราบทูลไว้ให้ทรงทราบเรื่องก่อนเท่านั้น
แล้วจึงจะกราบทูลรบกวนจู้จี้ทีหลัง...
|
|
วันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๖
|
ทูล สมเด็จกรมพระนริศฯ
ที่ตรัสหารือมา
ถึงเรื่องพระบรมรูปสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่จะสร้าง ณ โรงเรียนวชิราวุธนั้น
เข้าใจว่าไม่เป็นการเร่งร้อน
ขอประทานเวลาตริตรองไว้ทูลเสนอเมื่อเสด็จลงมาหัวหิน
|
|
วันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๖
|
กราบทูลสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทราบฝ่าพระบาท
... เกล้ากระหม่อมหมู่นี้ก็มีใจมุ่นเข้าไปข้องอยู่แต่เรื่องอนุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
ฯ ด้วยว่าจะทำพระบรมรูปวางบนหลักตั้งไว้กลางสนาม
ตามที่กรรมการเขาต้องการเช่นนั้น
ให้นึกหวั่นใจกลัวจะไม่ชนะโมนุเมนต์มองซิเออปาวี
ซึ่งเขาเปิดที่เมืองหลวงพระบางเมื่อเร็วๆ นี้
ทั้งในทางทำรูปที่เคารพตั้งกลางหาวตากแดดตากฝน
ฝจก็ยังไมเป็นฝรั่งพอที่จะหายรำคาญ
อีกประการหนึ่งการสร้างรูปบุคคลตั้งบนหลักเป็นอนุสรณ์นั้นก็ติดจะพ้นสมัย
ฝรั่งเขาก็เบื่อใจกันแล้ว
เที่ยวนี้เขาเลิกหนีไปทำกันเป็นรูปอะไรต่ออะไรแผลงๆ
แต่ให้เห็นปรากฏเป็นแสดงคุณของผู้ตายเท่านั้น
ก็เราจะไปเดินหง่าวๆ ให้ผิดสมัยนิยม
และตัวเราเองก็ไม่นิยมด้วยจะเอาดีที่ไหนมา
อีกประการหนึ่งดูบัญชีเงินซุ่งมีคนส่งเข้าเรี่ยไรเขาลงพิมพ์
ตามที่ตัดถวายมาทอดพระเนตรนี้ก็ให้ท้อใจ
จึงคิดหาทางอยู่ว่าจะทำท่าไรดี
ให้ท่วงทีปรากฏเป็นไม่ใช่คนโง่คิด
และไม่ให้เปลืองเงินมากนักด้วย
...
|
|
วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๖
|
ทูลสมเด็จกรมพระนริศฯ
...
ตั้งแต่หม่อมฉันได้รับลายพระหัตถ์ตรัสปรึกษาถึงแบบที่จะทำพระบรมรูปอนุสรณ์สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่โรงเรียนวชิราวุธก็ได้ตริตรองสนองพระประสงค์มา
มีความเห็นดังจะทูลต่อไปนี้
๑.
การที่ทรงรับประกอบการอันใดให้แก่ผู้ใด
ตามพระเกียรติคุณที่เคยปราก(ฏมาแต่ก่อน
หม่อมฉันเห็นว่าในเวลานี้
ควรจะถือหลักว่าต่างกันเป็น
๒ สถาน คือ เป็นการของรัฐบาลสถาน ๑
เป็นการของบุคคลสถาน ๑ มีอุทาหรณ์ เช่น นายประยูร
ภมรมนตรี
มาทูลขอให้ทรงคิดแบบตู้ใส่รัฐธรรมนูญอันเป็นการของรัฐบาล
ที่กรรมการสร้างอนุสาวรีย์มาทูลขอให้ทรงคิดแบบอนุสาวรีย์ครั้งนี้
เป็นการของบุคคลทั้ง ๒ สถานผิดกันดังนี้คือ
ถ้ารับทำการของรัฐบาลย่อมจะจิดพระองค์ "เป็นธรรมเนียม"
และขึ้นชื่อว่ายังทำราชการ
ฝ่ายการส่วนบุคคลนั้นถึงจะทำให้ใครก็แล้วแต่พระหฤทัย
ไม่ผูกพันและไม่จำต้องพยายามคิดอ่านจนกระทั่งเขาชอบใจ
เปรียบว่าพระบรมรูปอนุสรณ์ที่กล่าวนี้ทรงคิดเป็นอย่างใด
ถ้ากรรมการไม่ชอบจะทูลขอให้ทรงคิดใหม่
หรือให้ทรงแก้ไขไปตามความนิยมของเขาจะบอกปัดเสียก็ได้
ผิดกันดังนี้
๒.
เรื่องแบบเครื่องแต่งพระองค์นั้น
หม่อมฉันนึกว่าความประสงค์ของกรรมการหรือความนิยมของผู้อื่นในสมัยนี้
เห็นจะไม่ต้องการหลักฐานอันใดที่เกี่ยวกับแบบแผนและประเพณีโบราณ
เห็นแต่จะให้แปลก
เพราะฉะนั้นจะทำทรงเครื่องที่สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐ์ขึ้นเอง
อย่างฉายพระรูปไว้ก็คงไม่ขัดข้องกับความนิยมของบุคคลในสมัยนี้
ถ้าหากจะมีผู้คัดค้านก็คงน้อยตัว
แต่ถ้าว่าตามใจหม่อมฉัน
เห็นว่าเครื่องทรงซึ่งสมควรกับอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระมงกุฎนั้น
ควรจะทำทรงฉลองพระองค์ครุยปริญญา
ด้วยเป็นของพระองค์ทรงประดิษฐ์ขึ้นและยังใช้อยู่เป็นแบบแผน
หรือถ้าว่าอีกนัยหนึ่งทำเป็นนักเรียนสมเกียรติกว่าเป็นนักรบ
๓.
เรื่องฐานที่จะตั้งพระบรมรูปนั้น
ถ้าจะหนีฐานอย่างฝรั่งก็จะต้องมีเครื่องประกอบ
เช่นซุ้มจรนำหรือสิ่งอื่นอันต้องสิ้นเปลืองยิ่งขึ้นกว่าฐานอย่างสามัญไม่
น่าวิตกอยู่ด้วยทุนจะไม่พอทำ
๔. รูปภาพที่จะประกอบฐาน ๓
ด้านนั้น
การที่จะทรงพระดำริมาหม่อมฉันก็เห็นชอบด้วย
คือเป็นรูปลูกเสือด้าน ๑
รูปนักเรียน (จะเป็นนักเรียนโรงเรียนวชิราวุธหรือนักเรียนมหาวิทยาลัยก็ได้)
ด้าน ๑ อีกด้าน ๑ ทำรูปทหารอาสาไปสงครามในยุโรป (อย่าทำรูปการพิธีที่ท้องสนามหลวงจะดีกว่า)
หม่อมฉันคิดเห็นดังนี้ ...
|