 |
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร
ประทับฉายพระฉายาลักษณ์พร้อมด้วยพระอนุชา
และครอบครัวนายคอลเชสเตอร์ -
วีมซ (Maynard W. Colchester-Wemyss)
ที่พระตำหนักเวสต์เบอรรี่ คอร์ต (Westburry Court)
เมืองกลอสเตอร์เชียร์ (Gloustershire) เมื่อ พ.ศ.
๒๔๔๔
(แถวนั่งจากซ้าย) |
๑. นายพันเอก พระยาราชวัลภานุสิษฐ (อ๊อด
ศุภมิตร) ราชองครักษ์
[๑]
๒. นายคอลเชสเตอร์ - วีมซ (Maynard W.
Colchester -Wemyss)
๓. นางคอลเชสเตอร์ - วีมซ (Maynard W.
Colchester-Wemyss) |
(แถวยืนจากซ้าย) |
๑. พระเจ้าลูกยาเธอ
พระองค์เจ้าสุริยงประยุรพันธ์
[๒]
๒. พระเจ้าลูกยาเธอ
พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์
[๓]
๔. พระเจ้าลูกยาเธอ
พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ
[๔]
๕. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
สยามมกุฎราชกุมาร
๘. พระเจ้าลูกยาเธอ
พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์
[๕]
๙. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร
[๖] |
|
เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๗
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาพระราชทานไปยังนายเมนาร์ด
วิลโลบี คอลเชสเตอร์-วีมซ (Maynard Willoughby
Colchester-Wemyess) พระสหายชาวอังกฤษ
ความตอนหนึ่งว่า
"ที่คุณถามมาในจดหมายฉบับที่ ๓๑๓
เกี่ยวกับฐานทัพเรือที่สิงคโปร์นั้น
ฉันเกรงว่าจะไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก
คงได้แต่ให้ความเห็นส่วนตัวของฉัน
ถ้าจะมีค่าอะไรบ้าง
ฉันคิดว่าทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าฐานทัพนี้จำเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าบริเทนใหญ่ตั้งใจจะเสนอความช่วยเหลือที่ได้ผลจริงๆ
ต่อออสเตรเลีย
หากว่าทวีปนั้นถูกคุกคามด้วยกองกำลังต่างชาติ
โดยไม่ต้องพูดอ้อมค้อมทุกคนรู้ (แม้ว่าน้อยคนจะยอมรับ)
ว่า กองกำลังซึ่งอาจคุกคามออสเตรเลียก็คือญี่ปุ่น
และคนญี่ปุ่นก็รู้ข้อเท็จจริงดีว่าฐานทัพเรือสิงคโปร์นั้นจะสร้างขึ้นเพื่อเป็นเสมือนเครื่องสกัดกั้นความทะเยอทะยานของตน
ในสำนวนไทยของเรา
ฐานทัพที่สิงคโปร์ในสายตาของญี่ปุ่นคือ "ก้างขวางคอ"
เพราะฐานทัพนี้จะหยุดยั้งการใช้กำลังโจมตีออสเตรเลียโดยฉับพลันได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
ถ้าหากญี่ปุ่นเกิดมุ่งหมายจะทำอะไรแบบนั้น
แน่นอนที่ปัจจุบันนี้ญี่ปุ่นไม่อยู่ในสภาพที่จะขยายจักรวรรดิออกไปและจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีกเป็นเวลานานหลายปีทีเดียว
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าญี่ปุ่นได้ล้มเลิกความความทะเยอทะยานทั้งหมด
ญี่ปุ่นไม่เคยทำเช่นนั้นเลย
คนญี่ปุ่นมีความอดทนที่น่าอัศจรรย์อย่างที่สุด
และเขาอาจต้องรอคอยเป็นปีๆ
หรือแม้กระทั่งหลายชั่วอายุคน
ก่อนที่จะสามารถหวังที่จะทำให้เป็นความจริงขึ้นมา..."
[๗] |
 |
แผนที่แสดงการส่งพลของกองทัพญี่ปุ่นเข้าสู่ประเทศไทย
เมื่อเช้ามืดวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
|
ภายหลังจากที่ญี่ปุ่นสามารถยึดครองดินแดนแมนจูเรียของจีนและสถาปนาเป็นรัฐแมนจูกัวได้แล้ว
ญึ่ปุ่นก็ได้เริ่มเปิดฉากสงครามมหาเอเซียบูรพาด้วยการส่งกำลังเข้าโจมตีฐานทัพเรือเพิร์ลฮาเบอร์ของสหรัฐอเมริกา
และฐานทัพเรืออังกฤษที่สิงคโปร์ซึ่งเป็นก้างขวางคอสำคัญในการรุกรานอาณานิคมออสเตรเลียของอังกฤษพร้อมๆ
กัน
ดังที่พระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชวิจารณ์ไว้ในพระราชหัตถเลขาที่พระราชทานไปยังพระสหายชาวอังกฤษ
เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๗
ญี่ปุ่นเริ่มส่งกำลังบุกประเทศไทยในเช้ามืดของวันที่
๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
แต่ด้วยข้อจำกัดทางด้านกำลังทหารของกองทัพไทยที่ด้อยกว่าแสนยานุภาพทางทหารของญี่ปุ่น
ไทยจึงต้องยินยอมให้ญี่ปุ่นดินทีพผ่านประเทศไทยลงไปตีกระหนาบฐานทัพเรือังกฤษที่สิงคโปร์
และเดินทัพผ่านไปโจมตีเมียนมาร์ซึ่งเวลานั้นยังเป็นอาณานิคมจองอังกฤษ
และเมื่อรัฐบาลไทยตกลงประกาศสงครมกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกาตามคำเรียกร้องของกองทัพญี่ป่นในวันที่
๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๕ แล้ว
ประเทศไทยซึ่งเดิมอยู่ในสถานะประเทศเป็นกลางในสงครามก็เปลี่ยนสถานะมาเป็นประเทศคู่สงครามร่วมรบกับญี่ปุ่นจนสงครามโลกครั้งที่
๒ สงบลงใน พ.ศ. ๒๔๘๘
 |
พลเอก ฮิเดกิ โตโจ
|
เมื่อประเทศไทยประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกาซึ่งรวมกันเป็นกองทัพสัมพันธมิตรได้ไม่นาน
เครื่องบินของกองทัพสัมพันธมิตรก็เริ่มมาทิ้งระเบิดในจังหวัดพระนครและธนบุรี
ทำให้กระทรวงศึกษาธิการต้องประกาศให้โรงเรียนทั่วประเทศหยุดการเรียนการสอนและงดสอบไล่
โดยอนุโลมให้นักเรียนที่มีเวลาเรียนเกินกว่าที่กำหนดได้เลื่อนชั้นโดยไม่ต้องสอบไล่
จึงมีคำเรียกขานผู้ที่ได้เลื่อนชั้นครั้งนั้นว่า
"รุ่นโตโจ" เพื่อเป็นที่ระลึกถึงนายพลโตโจ
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นผู้เปิดฉากสงครามโลกครั้งนั้น
 |
สภาคารราชประยูร
|
เมื่อกรุงเทพฯ ต้องประสบภัยสงคราม
คณะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัยจึงได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตย้ายโรงเรียนไปเปิดการเรียนการสอนเป็นการชั่วคราวที่พระราชวังบางปะอิน
เมื่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
พระอัฐมรามาธิบดินทร์
มีพระราชโองการพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว
โรงเรียนจึงได้อพยพนักเรียนไปเปิดโรงเรียนชั่วคราวที่พระราชวังบางปะอิน
โดยใช้สภาคารราชประยูรซึ่งเดิมเป็นที่ประทับแรมของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
สยามมกุฎราชกุมารและพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าเป็นที่อยู่ของนักเรียนคณะเด็กเล็กพร้อมด้วยครูสตรีหลายคนเป็นผู้ดูแล
ส่วนนักเรียนรุ่นโตอยู่เรือนไม้อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ
คือฝั่งเกาะบ้านเลน
ที่ตอนเหนือพระอุโบสถวัดนิเวศธรรมประวัติ
เวลารับประทานอาหารทุกมื้อนักเรียนทุกคนมารวมกันในโรงเลี้ยงใหญ่หลังคามมุงจาก
และเดินไปเรียนที่โรงเรียนประถมบรมราชานุสรณ์ซึ่งขณะนั้นว่างอยู่และไม่ไกลจากที่พัก
อนึ่ง ครูจิต พึ่งประดิษฐ์
ได้เล่าถึงการอพยพครูและนักเรียนไปเปิดการเรียนการสอนที่บางปะอินไว้ว่า
"ในระหว่างสงครามกำลังรบติดพัน
โรงเรียนวชิราวุธต้องอพยพหลบภัยไปเปิดสอนที่บางปะอิน
ตอนนี้ท่านผู้บังคับการ (พระยาภะรตราชา - วรชาติ)
เหมือนพ่อหอบหิ้วลูกและครอบครัวหลบภัยจากนครหลวงไปสู่ชนบท
ไฟฟ้าไม่มี น้ำประปาไม่มี
ท่านผู้บังคับการนี่แหละหาน้ำมันก๊าสซึ่งแสนจะหายากเพราะต้องปันส่วน
ชาวบ้านต้องใช้ตะเกียงน้ำมันมะพร้าว
หรือแสงเดือนดาวต่างไฟ
แต่วชิราวุธวิทยาลัยสามารถจะคุยได้ว่าเรามีน้ำมันก๊าสใช้อย่างบริบูรณ์
วชิราวุธวิทยาลัยตามไฟด้วยโคมรั้ว
ตะเกียงน้ำมันสว่างไสว
เพราะผู้บังคับการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ วันเว้นวัน
ตอนขากลับท่านจะต้องมีน้ำมันก๊าสหนึ่งป็บติดมือมาด้วยทุกครั้ง
ส่วนน้ำประปาท่านผู้บังคับการก็ทำขึ้นใช้
จนเมื่อเราอพยพกลับผู้ที่ไปอยู่ทีหลังเรายังได้ใช้เป็นเวลาช้านาน" |
วชิราวุธวิทยาลัยคงเปิดสอนอยู่ที่บางปะอินได้เพียง
๔ - ๕ เดือน บางปะอินก็ประสบภัยทางอากาศ
โดยเครื่องบินของสัมพันธมิตรได้ยิงกราดลงมา
ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเพราะเข้าใจผิดหรือมีเหตุขัดข้องประการใด
แต่ด้วยเดชะพระบารมัปกเกล้าฯ
ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดได้รับอันตราย
แม้นักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ดนัย บุนนาค
จะเล่าว่า เมื่อเครื่องบินข้าศึกกราดยิงลงมานั้น
คุณครูตลอดจนพระเณรและชาวบ้านในละแวกนั้นล้วนวิ่งลงหลบภัยกันหมด
แต่มีนักเรียนวชิราวุธบางคนไปยืนดูเครื่องบินข้าศึกโดยไม่หวั่นเกรงภยันตรายใดๆ
ในที่สุดท่านผู้บังคับการพระยาภะรตราชา (ม.ล.ทศทิศ
อิศรเสนา)
จึงตัดสินใจปิดโรงเรียนและส่งนักเรียนกลับบ้าน