เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงรับรัชทายาทเสด็จดำรงสิริราชสมบัติสืบต่อมา
ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดระเบียบราชการในพระราชสำนัก
โดยโปรดเกล้าฯ
ให้ยุบส่วนราชการและแปรสภาพกรมมหาดเล็กซึ่งในรัชกาลก่อนเคยเป็นหน่วยงานอิสระเทียบเท่ากระทรวงขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์
คงเป็นเพียงกรมหนึ่งในสังกัดกระทรวงวัง
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นส่งผลให้กรมโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์และโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ที่คงเหลืออยู่ทั้งสามโรง
คือ โรงเรียนมหาดเล็กหลวง โรงเรียนราชวิทยาลัย
และโรงเรียนพรานหลวงต้องถูกยุบเลิกไปพร้อมกัน
 |
 |
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ
อยุธยา)
|
พระยาบรมบาทบำรุง (พิณ
ศรีวรรธนะ) |
แต่เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น
เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
เสนาบดีกระทรวงธรรมการซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการจัดการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงมาแต่แรกตั้งโรงเรียน
และพระยาบรมบาทบำรุง (พิณ ศรีวรรธนะ)
ผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ได้ถวายฎีกาคัดค้านโดยอ้างว่า
โรงเรียนมหาดเล็กหลวงนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สถาปนาขึ้นประดุจเป็นพระอารามหลวงประจำรัชกาล
การที่จะยุบโรงเรียนมหาดเล็กหลวงนั้นเปรียบเสมือนยุบพระอารามหลวงประจำรัชกาลทิ้ง
ส่วนพระราชธรรมนิเทศ (เพียร ไตติลานนท์)
ผู้บังคับการโรงเรียนราชวิทยาลัยก็ได้ถวายฎีกาคัดค้านว่า
โรงเรียนราชวิทยาลัยนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตั้งขึ้นเพื่อเตรียมกุลบุตรออกไปศึกษาต่อต่างประเทศ
ต่อมาในตอนปลายรัชกาล
 |
พระราชธรรมนิเทศ (เพียร ไตติลานนท์) |
กระทรวงยุติธรรมได้ขอโอนโรงเรียนนี้จากกระทรวงธรรมการไปสังกัดกระทรวงยุติธรรมเพื่อเตรียมนักเรียนที่รู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนกฎหมาย
แม้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกระทรวงยุติธรรมจะถวายโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์คู่กับโรงเรียนมหาดเล็กหลวงแล้วก็ตาม
ก็ยังโปรดเกล้าฯ
ให้โรงเรียนราชวิทยาลัยคงจัดสอนตามหลักสูตรเพื่อเตรียมนักเรียนไปศึกษาต่อต่างประเทศและป้อนให้โรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมตลอดมา
และที่สำคัญเมื่อครั้งกระทรวงธรรมการโอนโรงเรียนราชวิทยาลัยมาขึ้นกระทรวงยุติธรรมนั้น
ก็ได้มีการจัดสรรเงินงบประมาณปีละ ๑๒๐,๐๐๐ บาท
เป็นเงินสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนราชวิทยาลัยด้วย
และเมื่อโรงเรียนนี้โอนมาเป็นโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์สังกัดกรมมหาดเล็กเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๕๙ เงินอุดหนุนนั้นก็ยังถูกโอนตามมา
ฉะนั้นจึงอาจจะดำรงโรงเรียนราชวิทยาลัยต่อไปได้โดยใช้เงินอุดหนุนจากกระทรวงศึกษาธิการ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรฎีกาทั้งสามฉบับแล้ว
มีพระบรมราชวินิจฉัยว่า
เนื่องจากโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเป็นพระบรมราชานุสรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดสถาปนาไว้แทนพระอารามหลวง
จึงจะต้องทรงทนุบำรุงต่อไปตามพระราชประเพณี
แต่การดำรงโรงเรียนมหาดเล็กหลวงต่อไปนั้นจำจะต้องใช้เงินมาก
ในขณะที่มีการลดทอนรายจ่ายในพระราชสำนักเพราะโปรดเกล้าฯ
ให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติลดทอนเงินปีที่จัดถวายลงเหลือเพียงปีละ
๖ ล้านบาท
จึงไม่พอเพียงที่จะเจียดมาเป็นค่าใช้จ่ายของโรงเรียนมหาดเล็กหลวงได้
ฉะนั้นทางเดียวที่จะคงให้โรงเรียนมหาดเล็กหลวงเป็นพระบรมราชานุสรณ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ต่อไป
จึงต้องโปรดเกล้าฯ
ให้ยกโรงเรียนราชวิทยาลัยมารวมกับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
เพื่ออาศัยเงินอุดหนุนจากกระทรวงศึกษาธิการเป็นค่าใช้จ่ายของโรงเรียนมหาดเล็กหลวงซึ่งได้โปรดเกล้าฯ
ให้เปลี่ยนนามเป็น "โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย"
ในคราวเดียวกันนั้น
 |
ครั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ยกโรงเรียนราชวิทยาลัยมารวมกับโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๖๙ แล้ว
บรรดาทรัพย์สมบัติของโรงเรียนราชวิทยาลัยนอกจากอาคารและที่ดินก็ถูกขนมาเก็บรักษาและใช้ประโยชน์ที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
 |
พระยาปรีชานุสาสน์ (เสริญ ปันยารชุน)
ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย
๑๕ พฤศจิกายน ๒๔๖๙ - ๑๖ เมษายน ๒๔๗๖ |
ต่อมาเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระยาปรีชานุสาสน์ (เสริญ ปันยารชุน)
ย้ายมาดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๙ แล้ว ก็ได้ตระหนักว่า
นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยในเวลานั้นมีทั้งนักเรียนจากโรงเรียนมหาดเล็กหลวงกรุงเทพฯ
มหาดเล็กหลวงเชียงใหม่ และนักเรียนราชวิทยาลัย
และด้วยความประสงค์จะให้นักเรียนราชวิทยาลัย
"...ได้เห็นอะไรๆ
ในวชิราวุธวิทยาลัย
ซึ่งจะทำให้เขาระลึกถึงราชวิทยาลัยอันเป็นที่รักของเขา..."
[๑] วันหนึ่งพระยาปรีชานุสาสน์ได้เข้าไปสำรวจทรัพย์สินต่างๆ
ในคลังพัสดุของวชิราวุธวิทยาลัย
 |
หอประชุมโรงเรียนราชวิทยาลัย
|
"... บังเอิญ...ไปเห็นนาฬิกาเรือนใหญ่ซึ่งวางไว้ในห้องพัสดุของโรงเรียนวชิราวุธฯ
นาฬิกาเรือนใหญ่นี้เคยเป็นนาฬิกาติดบนหอประชุมของราชวิทยาลัยมาก่อน
...เห็นทิ้งอยู่โดยใช้การไม่ได้
จึงได้ติดต่อกับเอเย่นต์ผู้สั่งนาฬิกานั้นมาให้ราชวิทยาลัยให้ช่วยติดต่อกับบริษัทเดิมว่า
นาฬิกาเดิมที่มีหน้าปัดเดียวนั้น
จะทำให้เป็นสี่หน้าปัดจะได้หรือไม่ เพราะตั้งใจว่า
จะสร้างหอนาฬิกาบนเนินแห่งหนึ่งในบริเวณโรงเรียน
เพื่อประโยชน์ที่จะได้รู้เวลาทั้งสำหรับนักเรียน
สำหรับบุคคลภายนอกในละแวกนั้น
ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
การติดต่อกับบริษัทต่างประเทศเป็นผลสำเร็จ
เขารับจะแก้ให้เป็น ๔ หน้าปัดได้..."
[๒] |