พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
ให้ความหมายคำว่า เข็น ไว้ว่า ดันให้เคลื่อนที่ไป
เช่น เข็นรถ. เข็นเรือ.
ประเพณีเข็นรถยนต์พระที่นั่งส่งเสด็จของนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
จึงหมายถึงการดันรถยนต์พระที่นั่งให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า
การเข็นรถยนต์พระที่นั่งของนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยนั้น
น่าจะเริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินมาในงานวิสาขบูชาของโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ ซึ่ง ข่าวในพระราชสำนัก
ที่พิมพ์เผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา ได้บันทึกไว้ว่า
เวลาบ่ายวันดังกล่าวเสด็จพระราชกำเนินยังโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ทรงจุดธูปเทียนเครื่องบูชา แล้วทรงนำสวดคำนมัสการ
พระราชทานพระบรมราโชวาท
และพระราชทานฉลากรางวัลแก่ครูและนักเรียนแล้ว
พอได้เวลาสมควรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิรกลับ
นักเรียนวิ่งตามส่งเสด็จจนสิ้นเขตร์ของโรงเรียนโห่ร้องถวายไชยมงคลด้วยความจงรักภักดี
[๑]
การที่ นักเรียนวิ่งตามส่งเสด็จจนสิ้นเขตร์ของโรงเรียน
นั้นน่าจะเป็นการเข็นรถยนต์พระที่นั่งซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้โรงเรียนถือปฏิบัติเป็นประเพณีสืบมาจนถึงปัจจุบัน
การเข็นรถยนต์พระที่นั่งนี้เท่าที่ตรวจสอบดู
ไม่พบว่ามีธรรมเนียมการแสดงความจงรักภักดีด้วยการเข็นรถยนต์พระที่นั่งเช่นที่วชิราวุธวิทยาลัยเลย
คงพบแต่เพียงว่า
ในยยุโรปมีธรรมเนียมการแสดงความจงรักดีด้วยการปลดม้าลากรถพระที่นั่งทรงออก
แล้วเหล่าอัศวินผู้จงรักภักดีเข้าช่วยกันฉุดชักรถม้าพระที่นั่งทรงนั้นแทน
 |
ทหารบกทหารเรือฉุดชักพระมหาพิชัยราชรถทรงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามไปยังพระเมรุมาศท้องสนามหลวง
เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ |
สำหรับประเทศสยาม
ธรรมเนียมการฉุดชักราชรถนั้นมีมาแต่โบราณกาล
ดังจะเห็นได้ในการฉุดชักพระมหาพิชัยราชรถในการพระบรมศพหรือรถวอเชิญพระศพ
แต่เมื่อมีการทำสัญญาบาวริงกับอังกฤษเมื่อ พ.ศ.
๒๓๙๘ แล้ว
นอกจากชาวตะวันตกจะทยอยกันเข้ามาตั้งรกรากทำการค้าในกรุงสยามแล้ว
ยังได้นำวิถีชีวิตแบบตะวันตกเข้ามาใชกรุงสยาม
มีการนำม้าเข้ามาเป็นพาหนะในการเดินทางก่อน
เพราะในเวลานั้นในกรุงสยามยังไม่มีการจัดถนนนทางเป็นเส้นทางคมนาคมเช่นในยุโรป
จากนั้นฝรั่งชาติตะวันตกก็ได้กราบบังคมทูลขอให้มีการตัดถนนเป็นเส้นทางสัญจรไปมา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ
ให้ตัดถนนเจริญกรุงเป็นถนนสายแรก
แล้วจึงมีการตัดถนนเพิ่มเติมเป็นลำดับทั้งในกรุงเทพฯ
และหัวเมือง
 |
จอมพล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
จอมทัพสยาม
และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนี พันปีหลวง ทรงรถม้าพระที่นั่ง
ในการทรงตรวจพลสวนสนามทหารในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช
ณ ท้องสนามหลวง
เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ |
เมื่อมีการตัดถนนเจริญกรุงขึ้นแล้ว
ชาวตะวันตกก็สั่งรถม้าเข้ามาเป็นพาหนะในการสัญจรไปมาในถนนที่ตัดขึ้นใหม่
ในขณะเดียวกันพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้สั่งรถม้าเข้ามาใช้เป็นพระราชพาหนะแทนการใช้พระราชยานคานหามในการเสด็จพระราชดำเนินประพาสเป็นการส่วนพระองค์
แล้วเลยกลายเป็นพระราชพาหนะสำคัญในราชสำนัก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จนถึงมีการจัดตั้งกรมรถม้าขึ้นในราชสำนักในเวลาต่อมา
ส่วนการฉุดชักรถวอเชิญพระศพพระบรมวงศ์หรือศพขุนนางก็ได้เปลี่ยนมาใช้ม้าแทนการใช้คนฉุดชักตามแบบเดิม
 |
กระบวนรถปืนใหญ่เทียมม้า ๖ เชิญพระโกศพระศพจอมพล
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช
จากวังมหานาคไปรับพระราชทานเพลิงพระศพที่พระเมรุวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๙ |
แต่กลับกัน ชาวตะวันตกในกรุงเทพฯ
กลับนำธรรมเนียมการแสดงความจงรักภักดีด้วยการฉุดชักรถม้าพระที่นั่งเข้ามาใช้ในกรุงสยาม
ดังที่จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อวันอังคารที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๘
ได้บันทึกไว้ว่า
"เวลาบ่าย ๔ โมง ๑๕ นาที
ทรงเครื่องเสือป่ากรมม้าหลวง
ทรงรถม้าพระที่นั่งเทียม ๔
เสด็จสโมสรราชกรีฑาประทุมวัน
ซึ่งพระองค์ได้ทรงดำรงค์ตำแหน่งเปนนายกพิเศษมาหลายปีแล้ว
เข้าทางโรงเรียนสารวัด นาย เย.โคล ฟิลด์ เยมส์
นายกกรรมการราชกรีฑาสโมสรแลกรรมการคอยเฝ้าอยู่พร้อมกันแล้ว
ประทับพลับพลายกซึ่งจัดขึ้นเปนพิเศษ
ทำเปนเพิงน่าโขนเล็กๆ
ตั้งพระเก้าอี้ทางน่าตะวันออกทอดพระเนตร์การแข่งขันฟุตบอลรหว่างชาติ
ผู้แข่งขันทั้งสองฝ่ายเข้าแถวรับเสด็จที่น่าพลับพลาแล้ว
เวลาบ่าย ๔ โมงครึ่งลงมือเล่น...พอหมดเวลา
รวมฝ่ายสยามได้ ๒, ฝ่ายยุโรปได้ ๑
จึงเปนอันว่าฝ่ายสยามชนะได้เห็นแถวเฝ้า
อีกครั้ง
๑
คนดูต่างโยนหมวกตบมือโห่ร้องไชโยวิ่งตรงไปน่าพลับพลา
โปรดพระราชทานถ้วยทองของราชกรีฑาแก่คณะฟุตบอลสยาม
หม่อมเจ้าสิทธิพรรับพระราชทานต่อพระหัดถ์
แลพระราชทานเหรียญที่ระฤกเปนรางวัลแก่ฝ่ายชนะเรียงตัว
คนดูซึ่งห้อมล้อมอยู่โห่ร้องไชโยทุกครั้งที่พระราชทาน
ครั้นเสร็จแล้วเสด็จขึ้นประทับรถพระที่นั่ง
สมาชิกราชกรีฑาสโมสรปลดม้า
แล้วพร้อมกันเข้าห้อมล้อมลากเข็นรถพระที่นั่ง
ซึ่งกรรมการอัญเชิญเสด็จไปที่สโมสรที่สร้างขึ้นใหม่"
[๒] |
 |
ทหารรักษาวัง ว.ป.ร.
ฉุดชักรถปืนใหญ่รางเกวียนทรงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เวียนพระเมรุมาศในการถวายพระเพลิงพระบรมศพ
เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ |
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงราชบุรีดิรกฤทธิ์)
เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมเสด็จกลับจากไปทรงรักษาพระองค์ที่ประเทศฝรั่งเศสเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๔๔
ได้ทรงสั่งซื้อรถยนต์เดมเลอร์จากยุโรปเข้ามาน้อมเกล้าฯ
ถวายเป็นพระราชพาหนะองค์หนึ่ง
ต่อจากนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ที่ใช้น้ำมันแก็ซโซลีนเข้ามาใช้ราชการในพระราชสำนัก
รวมทั้งพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่นับจำนวนได้หลายสิบคัน
จากนั้นมารถยนต์ก็ได้เริ่มมีบทบาทเป็นพระราชพาหนะในการเสด็จพระราชดำเนินสถานที่ต่างๆ
เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ
ส่วนรถม้าพระที่นั่งนั้นคงใช้เป็นพระราชพาหนะในการพระราชพิธีสำคัญ
เช่น การเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินประจำปี
ฯลฯ
 |
นายพลเสือป่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นายกเสือป่า
ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งทุษยันต์ปราสค่ายหลวงพระราชวังสนามจันทร์
มีนักเรียนเสิอป่าหลวงปาณี ไกรฤกษ์ (นายจ่ายวด)
นักเรียนเสือป่ารับใช้ประจำพระองค์นายกเสือป่าโดยเสด็จ |
ล่วงมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดการก่อสร้างโรงเรียนชั่วคราวที่สวนกระจังริมคลองเปรมประชากร
และโปรดเกล้าฯ
ให้ย้ายโรงเรียนมหาดเล็กหลวงมาเปิดการเรียนการสอนที่สวนกระจังเมื่อวันที่
๑ มิถุนายน ร.ศ. ๑๓๐ (พ.ศ. ๒๔๕๔) แล้ว
พระยาภะรตราชา (ม.ล.ทศทิศ อิศรเสนา)
อดีตผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยเล่าไว้ว่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงรถยนต์พระที่นั่งเสด็จประพาสตามท้องถนนในพระนครในทุกเย็นวันเสาร์
และมักจะเสด็จมาที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
และเวลานั้นท่านผู้บังคับการยังคงมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ก็ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นประจำ
 |
นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยเข็นรถยนต์พระที่นั่งส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร
เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๗ |
อนึ่ง
เนื่องจากพระราชพาหนะที่ทรงใช้ในการเสด็จพระราชดำเนินไปโรงเรียนมหาดเล็กหลวงนั้นเป็นรถยนต์จตึงไม่สามารถแสดงความจงรักภักดีด้วยวิธีฉุดชักเช่นการฉุดชักรถม้าพระที่นั่งได้
เมื่อรถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนออกจากหอประชุมโรงเรียน
นักเรียนมหาดเล็กหลวงจึงพร้อมกันวิ่งตามส่งเสด็จไปจนถึงประตูโรงเรียนด้านถนนราชวิถี
(ปัจจุบันคือประตูคณะจิตรลดา)
แทนการฉุดชักรถม้าพระที่นั่งตามธรรมเนียมตะวันตก
ซึ่งนักเรียนเก่ามหาดเล็กหลวง จมื่นอมรดรุณารักษ์
(แจ่ม สุนทรเวช) ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า
ในเวลานั้นท่านผู้เล่ายังเป็นนักเรียนมหาดเล็กหลวงอยู่และเป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่วมเข็นรถพระที่นั่งส่งเสด็จในวันนั้น
ท่านเล่าว่า วันรุ่งขึ้นพระอภิรักษ์ราชฤทธิ์ (ศร
ศรเกตุ - พระยาบริหารราชมานพ)
ผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงในเวลานั้น
ได้รับพระราชกระแสใส่เกล้าฯ
ให้โรงเรียนจัดให้นักเรียนเข็นรถยนต์พระที่นั่งเป็นประเพณีของโรงเรียนสืบไป
ด้วยมีพระราชดำริว่า การที่นักเรียนร่วมกันเข็นรถ
 |
นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยที่จะจบการศึกษาชั้นมัธยมปีที่
๖ ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๙
เข็นรถยนต์พระที่นั่งส่งเสด็จ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร
ในงานพระราชทานประกาศนียบัตรและรางวัล ณ
วชิราวุธวิทยาลัย
เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ |
พระที่นั่งส่งเสด็จนั้นเป็นการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีต่อเบื้องพระยุคลบาท
วชิราวุธวิทยาลับจึงคงรักษาประเพณีการเข็นรถยนต์พระที่นั่งสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน