 |
โฉนดที่ดินสวนกระจังซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวง |
ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการตราพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์
พ.ศ. ๒๔๗๙
ซึ่งมีบทบัญญัติให้ทรัพย์สินที่พระมหากษัตริย์ทรงได้มาเมื่อเสด็จดำรงสิริราชสมบัติแล้วตกเป็นทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์
ฉะนั้นโดยผลของกฎหมายฉบับนี้จึงทำให้ที่ดินสวนกระจังซึ่งเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
และได้พระราชทานให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวงมาตั้งแต่แรกเสด็จเสวยสิริราชสมบัติในเดือนมกราคม
พ.ศ. ๒๔๕๓
แต่เพราะเมื่อมีการออกโฉนดที่ดินสวนกระจังที่เป็นที่ตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๕๕ นั้น
กระทรวงนครบาลในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินได้ระบุพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นผู้ทรงกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าว
ที่ดินผืนนี้จึงต้องโอนกรรมสิทธิ์ไปเป็นทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์โดยผลแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
ซ้ำร้ายในสมัยผู้บังคับการ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ
อยุธยา
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ยังได้จัดส่งเจ้าหน้าที่มารังวัดสอบเขตที่ดินสวนกระจังที่เป็นที่ตั้งวชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบัน
ผู้เขียนซึ่งเวลานั้นเป็นครูวชิราวุธวิทยาลัยเห็นผิดสังเกต
จึงเริ่มสืบเสาะและทราบความจากแหล่งข่าวในสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ว่า
สำนักงานทรัพย์สินฯ
มีดำริที่จะเรียกเก็บค่าเช่าที่ดินจากโรงเรียน
เมื่อทราบความดังกล่าวแล้วผู้เขียนได้นำความเรียนปฏิบัติท่านผู้บังคับการ
เมื่อท่านผู้บังคับการทราบความตลอดแล้วได้มีบัญชาให้ทำหนังสือชี้แจงไปยังสำนักงานทรัพย์สินฯ
ว่า
ที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งวชิราวุธวิทยาลัยนี้เป็นที่ดินที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นเป็นประดุจพระอารามหลวงประจำรัชกาล
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์พิเศษส่วนพระองค์
ซึ่งพระมหากษัตริย์รัชกาลต่อๆ
มาก็ทรงรับเป็นพระบรมราชูปถัมภกโรงเรียนตลอดมา
หากสำนักงานทรัพย์สินฯ
จะมาเก็บค่าเช่าที่ดินจากโรงเรียนซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
โรงเรียนก็ต้องนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทและขอพระราชทานพระบรมราชานุมัติกำหนดเงินค่าเช่านี้ไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีของโรงเรียน
ดังนี้จึงเสมือนสำนักงานทรัพย์สินฯ
เรียกเก็บเงินจากพระราชทรัพย์ไปเข้าบัญชีสำนักงานทรัพย์สินฯ
หรืออีกนัยหนึ่ง คือ
เก็บเงินจากกระเป๋าซ้ายไปใส่กระเป๋าขวา
ซึ่งคงจะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ แก่สำนักงานทรัพย์สินฯ
หลังจากที่โรงเรียนมีหนังสือตอบกลับไปดังว่า
ก็ปรากฏว่า
เจ้าพนักงานที่มารังวัดสอบเขตที่ดินก็เลิกรังวัดสอบเขตที่ดินไปทั้งที่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ
และไม่ปรากฏว่า สำนักงานทรัพย์สินฯ
มาเรียกเก็บเงินค่าที่ดินจากโรงเรียนอีกเลย
นอกจากที่ดินที่สวนกระจังที่พระราชทานให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวงแล้ว
ต่อมาวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๒
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จางวางตรี พระยาสราชสาสนโสภณ (สอาด
ชูโต)
ราชเลขานุการในพระองค์เชิญกระแสพระราชดำรัสแจ้งไปยังจางวางเอก
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น
เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ความว่า
"มีพระราชดำรัสเหนือเกล้าฯ ว่า
ที่ดินริมถนนราชดำริห์ ตำบลประทุมวัน แปลง
๑ ดังปรากฏในแผนที่ซึ่งกระผมได้ส่งมานี้
เปนของกระทรวงธรรมการคือ
เดิมได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้กระทรวงนครบาล
เปนเจ้าน่าที่จัดซื้อจากราษฎรหลายราย
และส่วนของพระคลังข้างที่ด้วย
มอบให้แก่กระทรวงธรรมการเพื่อจัดการปลูกสร้างโรงเรียนราชวิทยาลัย
แต่บัดนี้โรงเรียนนั้นก็หาได้ปลูกสร้างขึ้นในที่นี้ไม่แล้ว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานที่รายนี้ให้เปนที่ผลประโยชน์ของโรงเรียนมหาดเล็กหลวงสืบไปแล้ว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ใต้เท้าส่งโฉนดสำหรับที่รายนี้ไปยังกรมราชเลขานุการในพระองค์"
[๑] |
 |
แผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๔๗๔
แสดงที่ตั้งที่ดินพระราชทานริมถนนราชดำริพร้อมตึกเช่า
๘ หลัง |
เมื่อกระทรวงธรรมการส่งโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวไปยังกรมราชเลขานุการในพระองค์แล้ว
ได้พระราชทานโฉนดที่ดินฉบับดังกล่าวแก่กรมโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์
เจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ)
ในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์จึงได้มอบหมายให้กรมพระคลังข้างที่ไปจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินผืนดังกล่าวจากกระทรวงธรรมการมาเป็นทรัพย์สินของโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
และได้มอบหมายให้กรมพระคลังข้างที่เป็นผู้จัดการผลประโยชน์ในที่ดินผืนนี้ในนามของโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ด้วยเหตุนี้เมื่อมีการแยกทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์
พ.ศ. ๒๔๗๙
ที่ดินผืนนี้จึงมิได้ถูกโอนไปเป็นทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์
ทั้งที่กรมพระคลังข้างที่เป็นผู้รักษาโฉนดที่ดินผืนนี้เช่นเดียวกับที่ดินสวนกระจัง
อนึ่ง เมื่อเงินทุนพระราชทาน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ฝากไว้กับแบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด
ใกล้จะครบกำหนดฝาก ๑๐ ปีตามที่ตกลงกันไว้
เจ้าพระยารามราฆพ
ผู้สำเร็จราชการมหาดเล็กได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๗
เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๓ ไปยังพระยาศุภกรณ์บรรณสาร (นุ่ม
วสุธาร) อธิบดีกรมพระคลังข้างที่ว่า
"เงินที่พระราชทานให้ฝากแบงก์เปนรายปีตั้งไว้เปนทุนบำรุงโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
เมื่อแรกตั้งเปนจำนวนทุน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
รวมทั้งดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินจำนวนนั้น
ซึ่งกรมพระคลังข้างที่เก็บรักษาและนำฝากไว้ที่ธนาคารเวลานี้นั้น
กรมมหาดเล็กเห็นว่า
จะนำฝากไว้ที่ธนาคารเป็นทุนนอนอยู่เช่นนี้
ผลประโยชน์ที่ได้จากการฝากก็จะมีจำนวนน้อยไม่เพียงพอ
ถ้าแม้ว่าได้โอนเงินรายที่กล่าวนี้ไปหาประโยชน์โดยทางอื่น
เช่น
จัดการปลูกตึกให้คนเช่าเก็บผลประโยชน์เป็นค่าบำรุงโรงเรียน
ปีหนึ่งคงจะได้ผลประโยชน์เพิ่มเติมขึ้นอีกเป็นจำนวนมากกว่าฝากธนาคารหลายเท่า
เพราะฉนั้น
จึงขอประทานเรียนหาฤามายังเจ้าคุณเพื่อดำริห์
ถ้าเห็นเป็นการสมควรแล้ว
ขอเจ้าคุณได้โปรดนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต
โอนเงินทุนและเงินดอกเบี้ยของโรงเรียนไปจัดการปลูกสร้างตึกให้เช่าหาประโยชน์ต่อไป" |
 |
พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (นพ ไกรฤกษ์) |
เมื่ออธิบดีกรมพระคลังข้างที่นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว เจ้าพระยารามราฆพ
ผู้สำเร็จราชการมหาดเล็กจึงได้มอบหมายให้พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ
(นพ ไกรฤกษ์) เป็นแม่กองจัดการก่อสร้างตึก ๓
หลังขึ้นในที่ดินริมถนนราชดำริขึ้นก่อน
ในการก่อสร้างก่อสร้างตึกที่ริมถนนราชดำรินั้น
นักเรียนเก่ามหาดเล็กหลวงและวชิราวุธวิทยาลัย
เรือเอก โรจน์ ไกรฤกษ์ ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า
เจ้าคุณพ่อของท่านได้เลือกบ้านตุ๊กตาพอร์ซเลนที่ท่านสะสมไว้มาเป็นต้นแบบ
ตึกทั้ง ๓
หลังนั้นจึงมีลักษณะเป็นตึกทรงยุโรปที่มีรูปลักษณะแตกต่างกันไปตามแบบบ้านตุ๊กตาที่ท่านสะสมไว้
ในประวัติพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ ได้กล่าวไว้ว่า
"เริ่มลงมือจัดทำแบบแปลนและได้ทำสัญญาให้ช่างก่อสร้างเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๖๔ กิจการแล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๔๖๕
ได้เสด็จทอดพระเนตรและประทับเสวยน้ำชาเวลาบ่ายเป็นที่พอพระราชหฤทัย"
ตึกทั้ง ๓
หลังนี้มีผู้เช่าเป็นชาวต่างประเทศเช่าครบทั้ง ๓
หลัง และเมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า ใน
พ.ศ. ๒๔๖๖ โรงเรียนมีรายได้จากค่าเช่าตึกทั้ง ๓
หลังนี้เป็นเงินถึง ๙,๓๕๕ บาท
และถึงแม้จะหักค่าภาษีโรงร้าน
ค่าซ่อมบำรุงอาคารและค่าประกันอัคคีภัยแล้ว
โรงเรียนก็ยังคงมีรายได้เหลือจากค่าเช่าบ้านทั้งสามหลังนั้นเป็นจำนวนเงินกว่า
๖,๐๐๐ บาท
ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยที่เคยได้รับจากแบงก์สยามกัมมาจลหลายเท่า
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภจัดการสร้างตึกเพิ่มเติมในที่ดินริมถนนราชดำริอีก
๕ หลัง "เริ่มสร้างใน
พ.ศ. ๒๔๖๖ สร้างสำเร็จใน พ.ศ. ๒๔๖๗
ค่าก่อสร้างทั้ง ๒ คราว รวม ๘ หลัง
รวมทั้งค่าไฟฟ้า ประปา เขื่อน ถนน
สนามและรั้วเป็นเงิน ๓๔๕,๘๗๔ บาท ๙ สตางค์"