นับแต่ประเทศสยามเปิดความสัมพันธ์ทางการค้ากับชาติตะวันตกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว
จากนั้นชาวต่างชาติก็เริ่มทยอยเข้ามาตั้งรกรากทำการค้าในกรุงสยาม
พร้อมกันนั้นก็มีการนำรถม้าซึ่งเป็นพาหนะสำคัญของชาวตะวันตกเข้ามาใช้ในกรุงสยาม
 |
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร
ประทับรถม้าพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปในการทรงวางศิลารากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย
เมื่อวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๘ |
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีการตัดถนนและสร้างสะพานในกรุงเทพฯ เพิ่มมากขึ้น
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สั่งซื้อรถม้าจากยุโรปมาใช้ในราชการในพระราชสำนัก
จากนั้นมารถม้าก็ได้เป็นพระราชพาหนะสำคัญในการเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ต่างๆ
ทั้งภายในพระนครและหัวเมืองบางเมือง เช่น
นครเชียงใหม่
นอกจากรถม้าจะได้เข้ามามีบทบาทเป็นพระราชพาหนะสำคัญประจำราชสำนักสยามแล้ว
พร้อมกันนั้นก็ได้มีการนำวัฒนธรรมการแสดงความจงรักภักดีด้วยการฉุดชักลากรถม้าด้วยแรงคนตามแบบตะวันตกเข้ามาในกรุงสยาม
ดังมีบันทึกใน "จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน
วันอังคารที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๘" ว่า
"เวลาบ่าย ๔ โมง
๑๕ นาที ทรงเครื่องเสือป่ากรมม้าหลวง
ทรงรถม้าพระที่นั่งเทียม ๔
เสด็จสโมสรราชกรีฑาประทุมวัน
ซึ่งพระองค์ได้ทรงดำรงค์ตำแหน่งเปนนายกพิเศษมาหลายปีแล้ว
เข้าทางโรงเรียนสารวัด นาย เย.โคล ฟิลด์ เยมส์
นายกกรรมการราชกรีฑาสโมสรแลกรรมการคอยเฝ้าอยู่พร้อมกันแล้ว
ประทับพลับพลายกซึ่งจัดขึ้นเปนพิเศษ
ทำเปนเพิงน่าโขนเล็กๆ
ตั้งพระเก้าอี้ทางน่าตะวันออกทอดพระเนตร์การแข่งขันฟุตบอลรหว่างชาติ
ผู้แข่งขันทั้งสองฝ่ายเข้าแถวรับเสด็จที่น่าพลับพลาแล้ว
เวลาบ่าย ๔ โมงครึ่งลงมือเล่น...พอหมดเวลา
รวมฝ่ายสยามได้ ๒, ฝ่ายยุโรปได้ ๑
จึงเปนอันว่าฝ่ายสยามชนะได้เห็นแถวเฝ้าอีกครั้ง ๑
คนดูต่างโยนหมวกตบมือโห่ร้องไชโยวิ่งตรงไปน่าพลับพลา
โปรดพระราชทานถ้วยทองของราชกรีฑาแก่คณะฟุตบอลสยาม
หม่อมเจ้าสิทธิพรรับพระราชทานต่อพระหัดถ์
แลพระราชทานเหรียญที่ระฤกเปนรางวัลแก่ฝ่ายชนะเรียงตัว
คนดูซึ่งห้อมล้อมอยู่โห่ร้องไชโยทุกครั้งที่พระราชทาน
ครั้นเสร็จแล้วเสด็จขึ้นประทับรถพระที่นั่ง
สมาชิกราชกรีฑาสโมสรปลดม้า
แล้วพร้อมกันเข้าห้อมล้อมลากเข็นรถพระที่นั่ง
ซึ่งกรรมการอัญเชิญเสด็จไปที่สโมสรที่สร้างขึ้นใหม่" [๑] |
อนึ่ง เมื่อครั้งที่พระเจ้าลูกยาเธอ
กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงราชบุรีดิรกฤทธิ์)
เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมเสด็จกลับจากไปทรงรักษาพระองค์ที่ประเทศฝรั่งเศสใน
พ.ศ. ๒๔๔๔ นั้น
ได้ทรงสั่งซื้อรถยนต์เดมเลอร์จากยุโรปเข้ามาน้อมเกล้าฯ
ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ให้ทรงใช้เป็นพระราชพาหนะ
แล้วในตอนปลายรัชกาลก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้สั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ที่ใช้น้ำมันแก็ซโซลีนเข้ามาใช้ราชการในพระราชสำนัก
รวมทั้งพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่นับจำนวนได้หลายสิบคัน
จากนั้นมารถยนต์ก็ได้เริ่มมีบทบาทเป็นพระราชพาหนะในการเสด็จพระราชดำเนินสถานที่ต่างๆ
เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ
ส่วนรถม้าพระที่นั่งนั้นคงใช้เป็นพระราชพาหนะในการพระราชพิธีสำคัญ
เช่น การเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินประจำปี
ฯลฯ
ล่วงมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดการก่อสร้างโรงเรียนชั่วคราวที่สวนกระจังริมคลองเปรมประชากร
และโปรดเกล้าฯ
ให้ย้ายโรงเรียนมหาดเล็กหลวงมาเปิดการเรียนการสอนที่สวนกระจังเมื่อวันที่
๑ มิถุนายน ร.ศ. ๑๓๐ (พ.ศ. ๒๔๕๔) แล้ว
พระยาภะรตราชา (ม.ล.ทศทิศ อิศรเสนา)
อดีตผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยเล่าไว้ว่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงรถยนต์พระที่นั่งเสด็จประพาสตามท้องถนนในพระนครในทุกเย็นวันเสาร์
และมักจะเสด็จมาที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
และเวลานั้นท่านผู้บังคับการยังคงมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ก็ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นประจำ
 |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ขณะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไฟฟ้าเด็จประพาสตามท้องถนนในพระนครเป็นการส่วนพระองค์
โดยมี "ย่าเหล"
สุนัขทรงเลี้ยงโดยเสด็จมาในรถยนต์พระที่นั่ง |
นอกจากการเสด็จประพาสเป็นการส่วนพระองค์แล้ว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งไปในงานวิสาขบูชาและงานประจำปีของโรงเรียนมหาดเล็กหลวงมาเป็นลำดับตลอดรัชกาล
อนึ่ง
เนื่องจากพระราชพาหนะที่ทรงใช้ในการเสด็จพระราชดำเนินไปโรงเรียนมหาดเล็กหลวงนั้นเป็นรถยนต์
ดังนั้นเมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปในงานประจำปีของโรงเรียนเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่
๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๖
ตอนจะเสด็จพระราชดำเนินกลับในดึกคืนวันนั้น
นักเรียนจึงได้พร้อมกันห้อมล้อมเข็นรถยนต์พระที่นั่งไปจนสุดเขตโรงเรียนแทนการปลดม้าแล้วฉุดชักลากเช่นเวลาที่เสด็จพระราชดำเนินโดยรถม้าพระที่นั่ง
การที่นักเรียนพร้อมกันเข้าห้อมล้อมเข็นรถยนต์พระที่นั่งส่งเสด็จในคืนวันนั้น
นักเรียนเก่ามหาดเล็กหลวง จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม
สุนทรเวช) เล่าให้ฟังว่า
ในเวลานั้นท่านผู้เล่ายังเป็นนักเรียนมหาดเล็กหลวงอยู่และเป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่วมเข็นรถพระที่นั่งส่งเสด็จในวันนั้น
ท่านเล่าว่า วันรุ่งขึ้นพระอภิรักษ์ราชฤทธิ์ (ศร
ศรเกตุ -
พระยาบริหารราชมานพ)
ผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงในเวลานั้น
 |
นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยเข็นรถพระที่นั่งส่งเสด็จ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร
เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานประกาศนียบัตรและรางวัลแก่นักเรียนเป็นครั้งแรกในรัชกาล
เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๕ |
ได้รับพระราชกระแสใส่เกล้าฯ
ให้การเข็นรถยนต์พระที่นั่งของนักเรียนคงเป็นประเพณีของโรงเรียนสืบไป
ด้วยมีพระราชดำริว่า
นักเรียนกระทำไปด้วยความจงรักภักดี
เหตุนี้วชิราวุธวิทยาลับจึงคงรักษาประเพณีการเข็นรถยนต์พระที่นั่งสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
 |
นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๖ ที่จะจบการศึกษา
เข็นรถพระที่นั่งส่งเสด็จ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร
เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานประกาศนียบัตรและรางวัลแก่นักเรียนเป็นครั้งแรกในรัชกาล
เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ |
อนึ่ง
มีคำบอกเล่าของนิสิตเก่าอาวุโสแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงดนตรีร่วมกับวงดนตรีนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในครั้งแรกๆ
นั้น
ถึงเวลาประทับนถยนต์พระที่นั่งจะเสด็จพระราชดำเนินกลับมีนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้าเข็นรถยนต์พระที่นั่งส่งเสด็จ
และมีการเข็นรถยนต์พระที่นั่งอยู่สัก ๒
ปีจึงเลิกไป
จากคำบอกเล่าดังกล่าว
เมื่อไปสอบถามนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยที่ได้ไปศึกษาต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในช่วงเวลานั้น
ก็ได้รับคำบอกเล่าว่า
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร
ทรงรับเป็นพระบรมราชูปถัมภกวชิราวุธวิทยาลัยเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๙๕ แล้ว
มักจะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงดนตรีร่วมกับนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
จนถึงกับทรงรับเป็นผู้ฝึกสอนนักเรียนที่จะเข้าร่วมการประกวดวงดนตรีด้วยพระองค์เอง
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยหาที่สุดมิได้
ต่อมานักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยที่เป็นสมาชิกวงหัสดนตรีที่ทรงฝึกสอนมานั้นได้ไปศึกษาต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และได้ไปรวมกันเล่นดนตรีกับนิสิตที่มาจากโรงเรียนอื่นๆ
เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทจึงได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงดนตรีร่วมกับนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และเมื่อประทับรถยนต์พระที่นั่งจะเสด็จพระราชดำเนินกลับ
นักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยที่เคยเข็นรถยนต์พระที่นั่งส่งเสด็จมาก่อน
ได้ชักชวนนักดนตรีอื่นที่ร่วมในการทรงดนตรีในวันนั้น
เข็นรถพระที่นั่งส่งเสด็จจนถึงประตูหน้าหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จนบรรดานักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยนั้นสำเร็จการศึกษาไปจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยการเข็นรถยนต์พระที่นั่งที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงเลิกไป
แต่การทรงดนตรีคงดำเนินต่อมาจนงดไปภายหลังเหตุการณ์
๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖