ในงบประมาณประจำปีของวชิราวุธวิทยาลัยนั้น
มีการแสดงงบประมาณรายรับในแต่ละปีไว้ ๓ หมวด คือ
๑) เงินค่าเล่าเรียน
๒) เงินผลประโยชน์
๓) เงินรัฐบาลอุดหนุน
เงินค่าเล่าเรียนนั้น คือ
เงินค่าเล่าเรียนที่โรงเรียนเรียกเก็บจากนักเรียนตามอัตราค่าธรรมเนียมการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด
เงินผลประโยชน์ คือ
เงินผลประโยชน์จากทรัพย์สมบัติของโรงเรียนที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้
โดยให้พระคลังข้างที่เป็นผู้จัดหาประโยชน์อุดหนุนโรงเรียน
รวมทั้งส่วนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระบรมราชูปถัมภกวชิราวุธวิทยาลัย
ทรงพระมหากรุณาพระราชทานเพิ่มเติมในกรณีที่เงินผลประโยชน์จากพระคลังข้างที่จัดเก็บในปีนั้นๆ
ไม่พอแก่ค่าใช้จ่ายของโรงเรียน
ส่วนเงินรัฐบาลอุดหนุนนั้น
เป็นเงินที่โรงเรียนมีปัญหากับกระทรวงศึกษาธิการมาโดยตลอด
แม้จนปัจจุบันนี้ก็ยังมีข้อโต้แย้งกันมามิได้ขาด
ทั้งนี้เพราะเงินอุดหนุนที่กระทรวงศึกษาธิการต้องอุดหนุนโรงเรียนเป็นประจำทุกปีมานั้น
ไม่มีบทบัญญัติในพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์หรือปัจจุบันเปลี่ยนเป็นพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนรองรับ
ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายที่กำหนดให้กระทรวงศึกษาธิการจ่ายเงินอุดหนุนแก่วชิราวุธวิทยาลัย
แต่กระทรวงศึกษาธิการได้จ่ายเงินอุดหนุนนี้ให้แก่วชิราวุธวิทยาลัยต่อเนื่องกันมาหลายสิบปีนับตาปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
นับว่าเป็นเรื่องที่น่าศึกษาที่มาของเงินจำนวนนี้
ในรายงานแสดงกิจการของโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์
ที่พิมพ์แจกในงานประจำปีของโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์
พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ ได้กล่าวถึงเรื่อง "การเงิน
เงินการกุศลแลเงินรายได้เบ็ดเตล็ด" ไว้ว่า
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชศรัทธาที่จะบำรุงการศึกษาของชาติให้เจริญรุ่งเรืองเท่าทันกับประเทศอื่น,
จึงทรงสละพระราชทรัพย์เปนจำนวนมากในการใช้จ่ายของโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์
เปนการประจำแลการจรต่างๆ
นอกจากเงินรัฐบาลอุดหนุนในบางโรงเรียน"
[๑]
"เงินรัฐบาลอุดหนุนในบางโรงเรียน" นั้น
มีที่มาจากในตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
"กระทรวงยุติธรรมมีความต้องที่จะให้ผู้ที่มีน่าที่เปนผู้พิพากษาตุลาการ,
ได้มีความรู้ทางภาษาอังกฤษด้วย
เพื่อจะได้กว้างขวางในการที่จะเทียบเคียงวินิจฉัยอรรถคดี,
จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้โอนโรงเรียนราชวิทยาลัยจากกระทรวงศึกษาธิการ
มาอยู่ในความปกครองของกระทรวงยุติธรรม"
[๒]
 |
ครูและนักเรียนโรงเรียนราชวิทยาลัยที่ตำบลบางขวาง
ครั้งยังสังกัดกระทรวงยุติธรรม |
เมื่อกระทรวงศึกษาธิการโอนโรงเรียนราชวิทยาลัยไปให้อยู่ในความปกครองของกระทรวงยุติธรรมแล้ว
กระทรวงพระคลังมหาสมบัติก็ได้ตัดจ่ายงบประมาณปีละ
๑๒๐,๐๐๐ บาท
ไปให้กระทรวงยุติธรรมเป็นเงินอุดหนุนโรงเรียนราชวิทยาลัย
มาตั้งแต่ครั้งที่โรงเรียนราชวิทยาลัยยังตั้งอยู่ที่สายสวลี-สัณฐาคาร
(โรงเลี้ยงเด็ก) ถนนบำรุงเมือง
ต่อมาในสมัยที่ เจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร
(ม.ร.ว.ลบ สุทัศน์)
ได้รับตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมใน พ.ศ.
๒๔๕๕ แล้ว ได้พิจารณาเห็นว่า
กระทรวงยุติธรรมไม่มีหน้าที่จัดการศึกษา
แต่โรงเรียนราชวิทยาลัยมาสังกัดอยู่ในกระทรวงยุติธรรมนั้นไม่เหมาะสม
จึงได้นำความราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวขอพระราชทานถวายโรงเรียนราชวิทยาลัยมาไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์เช่นเดียวกับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์
มีสภากรรมการกลางมหาดเล็กเป็นสภากรรมการจัดการปกครองโรงเรียนตามพระบรมราโชบาย
เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท
ในชั้นต้นมีพระราชกระแสว่า "ขอคิดดูก่อน"
แล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้กองลูกเสือโรงเรียนราชวิทยาลัยแต่งกายอย่างลูกเสือหลวง
(โรงเรียนมหาดเล็กหลวง)
เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ยกกองลูกเสือหลวงขึ้นเป็นกรมนักเรียนเสือป่าหลวงใน
พ.ศ. ๒๔๕๗ ก็ได้โปรดเกล้าฯ
ลูกเสือราชวิทยาลัยเปลี่ยนมาเป็นนักเรียนเสือป่าหลวงเช่นเดียวกับนักเรียนเสือป่าหลวงมหาดเล็กหลวง
และนักเรียนทหารกระบี่หลวง
(ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เปลี่ยนนามเป็นนักเรียนเสือป่าพรานหลวง)
ในขณะเดียวกันก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้นักเรียนราชวิทยาลัยเปลี่ยนมาแต่งกายอย่างนักเรียนมหาดเล็กหลวง
แต่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายของโรงเรียนราชวิทยาลัยเป็นสีดำเครื่องทองตามเครื่องแต่งกายของข้าราชการกระทรวงยุติธรรม
คือหมวกสีดำผ้าพันสีขาว ตราหน้าหมวกโลหะสีทอง
แผ่นคอสีขาวทาบแถบทอง ดุมทอง และกางเกงสีดำแถบทอง
ภายหลังจากที่มีพระราชดำริที่จะให้จัดตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้นอีกแห่งหนึ่งที่เชียงใหม่
และได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาประสิทธิ์ศุภการ
(ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ)
กรรมการสภากรรมการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
และพระยาบริหารราชมานพ (ศร ศรเกตุ)
เดินทางขึ้นไปหาสถานที่เพื่อเตรียมการจัดตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่เมื่อเดือนมิภุนายน
ฑ.ศ. ๒๔๕๙ แล้ว ต่อมาวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๙
จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้โอนโรงเรียนราชวิทยาลัยจากกระทรวงยุติธรรมมาขึ้นสภากรรมการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ขาดจากกระทรวงยุติธรรมมาเป็นส่วนราชการสังกัดกรมมหาดเล็กเช่นเดียวกับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
"โรงเรียนราชวิทยาลัย,
ขณะเมื่อย้ายมาอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลปีละ
๑๒๐,๐๐๐ บาท,
เพราะโรงเรียนนี้มีข้าราชการต่างประเทศหลายนาย,
แลประกอบด้วยสถานที่กว้างขวางมีโรงทำไฟฟ้ามีเครื่องจักร์สำหรับสูบน้ำที่ต้องจ่ายค่าใช้สรอยเพิ่มขึ้น
จึงได้รับเงินอุดหนุนเปนจำนวนมาก
ครั้นต่อมาเมื่อพระพุทธศักราช ๒๔๖๐
กระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้ขอให้กรมบัญชาการกลางมหาดเล็กโอนเงินอุดหนุนของโรงเรียนนี้เสีย
๓๐,๐๐๐ บาท
ไปจ่ายให้แก่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่
โรงเรียนนี้จึงได้รับเงินอุดหนุนแต่เพียงปีละ
๙๐,๐๐๐ บาท แต่เวลานั้นมาจนกาลบัดนี้
ในระหว่างที่โรงเรียนต้องลดเงินอุดหนุนลงจากจำนวนเดิมเช่นนี้
ปรากฏว่าการใช้จ่ายของโรงเรียนได้บกพร่องลงถึงกับมีณี่สินเกิดขึ้น
จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานเงินส่วนพระองค์ให้แก่โรงเรียน ๑๕,๖๒๕
บาท ๙๙ สตางค์
เพื่อใช้ณี่แลพระราชทานอุดหนุนเพิ่มขึ้นอีกปีละ
๑๐,๐๐๐ บาท, นับตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๖๓ เปนต้นมา,
โรงเรียนจึงได้ดำเนินกิจการเปนที่เรียบร้อยปราศจากอุปสัคทั้งปวง."
[๓] |
เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้โอนโรงเรียนราชวิทยาลัยมาขึ้นแก่สภากรรมการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงแล้ว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้นักเรียนราชวิทยาลัยเปลี่ยนมาใช้เครื่องแบบสีขาวน้ำเงินเครื่องหมายเงินเช่นเดียวกับนักเรียนมหาดเล็กหลวง
แต่ติดอักษรหมายนามโรงเรียนที่แผ่นคอต่างกันคือ
มหาดเล็กหลวงกรุงเทพฯ ติดอักษร ม
ราชวิทยาลัย ติดอักษร ร
มหาดเล็กหลวงเชียงใหม่ ติดอักษร ช
 |
เจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ)
ผู้อำนวยการโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์
ฉายภาพร่วมกับคณะครูและนักเรียนโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่ |
ในตอนปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตรวจตัดรายจ่ายในพระราชสำนัก และได้โปรดเกล้าฯ
ให้ยุบเลิกโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่เสียตั้งแต่วันที่
๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘
และเมื่อโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่ยุบเลิกไปแล้ว
กระทรวงพระคลังมหาสมบัติก็ถือโอกาสตัดเงินรัฐบาลอุดหนุนโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่ปีละ
๓๐,๐๐๐ บาทไปเสียด้วยเลย.