ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
รัฐบาลในยุคนั้นได้ยึดทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์และของพระบรมวงศ์หลายพระองค์ไปใช้เพื่อประโยชน์ของรัฐ
บางส่วนก็ถูกทุบทำลายเ เช่น
พระตำหนักวังกลางทุ่งซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใช้ประโยชน์เพื่อการศึกษา
ก็ถูกทุบทิ้งเพื่อสนามศุภชลายศัย
กรีฑาสถานแห่งชาติ
และโรงโขนหลวงสวนมิสกวันซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโรงละครโอเปราที่สวนและทันสมัยที่สุดในภาคพื้นเอเซียในยุคนั้นก็ถูกทำลายลง
โดยอ้างว่าจะสร้างโรงละครแก่งชาติขึ้นใหม่แต่ก็ไม่มีการก่อสร้าง
นอกจากนั้นยังมีศาลสนามสถิตยุติธรรมที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างไว้ในโอกาสฉลองกรุงเทพฯ
ครบ ๑๐๐ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๕
เพื่อเป็นพยานสำคัญให้นานาชาติเห็นว่าประเทศสยามได้เริ่มปฏิรูปกิจการศาลยุติธรรมตามแบบนานาอารยประเทศ
อันจะเป็นหนทางในการทวงคืนเอกราชทางการศาลก็ถูกทุบทำลายลงในช่วงเวลาเดียวกันนั้น
สำหรับวชิราวุธวิทยาลัยซึ่งเป็นโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ก็ตกอยู่ในสภาพที่ต่างกันนัก
ท่านผู้บังคับการพระยาภะรจราชาเคยเล่าให้ฟังว่า
ในช่วงเวลานั้นมีความพยายามที่จะเลิกโรงเรียนนี้เสียให้ได้
แต่ติดขัดด้วยข้อกฎหมายที่ว่า
โรงเรียนนี้ตั้งขึ้นโดยพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
การจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือกนะทำการใดๆ
ต่อโรงเรียนนี้จำจะต้องเสนอรัฐสภาออกเป็นพระราชบัญญัติ
ความคิดที่จะยึดโรงเรียนนี้จึงเป็นอันระงับไป
ในเมื่อไม่สามารถกระทำการใดๆ
กับโรงเรียนได้ตามอำเภอใจ
รัฐบาลในยุคนั้นจึงหันมาใช้วิธีปรับเปลี่ยนตัวผู้ดำรงตำแหน่งนายกกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัยจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
ศึกษาธิการไปเป็นนายกรัฐมนตรี
และปรับลดเงินอุดหนุนโรงเรียนตามพระบรมราชโองการจากปีละ
๙๐,๐๐๐ บาท ลงมาเหลือเพียงปีละ ๓๕,๐๐๐ บาท
ติดต่อกันมาหลายปี จนหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
รัฐบาลจึงได้ยินยอมเพิ่มเงินอุดหนุนวชิราวุธวิทยาลัย
เริ่มจากพ.ศ. ๒๔๙๐ เพิ่มเป็นปีละ ๑๒๐,๐๐๐ บาท
และถัดมาในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัย
ครั้งที่ ๕๘ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๒
พลเอก มังกร พรหมโยธี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในตำแหน่งนายกกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัย
ได้แถลงในที่ประชุมว่า
"ยอดเงินรายได้ของวชิราวุธวิทยาลัยไม่พอกับรายจ่ายยังขาดอีกหลายหมื่นบาท
ถ้าได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลอีกสัก ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ก็จะเพียงพอกับรายจ่าย ที่จริงรัฐบาลควรจะให้ได้
เพราะในการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างโรงเรียนนี้ขึ้นด้วยทรัพย์ส่วนพระองค์
และยังทรงอุทิศทรัพย์มฤดกอีกมากให้ไว้เป็นสมบัติของโรงเรียนอีกด้วย
และทรัพย์สินที่พระราชทานให้วชิราวุธวิทยาลัยนี้
เก็บผลประโยชน์ได้เท่าใดก็บำรุงโรงเรียนทั้งหมด
หักไว้เลี้ยงเจ้าหน้าที่เพียง ๑๐ เปอร์เซนต์
รัฐบาลควรจะรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงอุทิศทรัพย์สินของพระองค์ไว้บำรุงการศึกษาของประเทศชาติสืบมาเช่นนี้
และรัฐบาลควรถือว่าเป็นกำไร
เพราะรัฐบาลมีหน้าที่จะต้องให้การศึกษาแก่ประชาชนอยู่แล้ว
ถ้าไม่มีใครอุทิศเงินบำรุงการศึกษา
รัฐบาลก็ต้องบำรุง
เพราะเป็นหน้าที่อันหนึ่งของรัฐบาล
และวชิราวุธวิทยาลัยนี้ปรากฏว่าผลประโยชน์ที่ได้ไม่เพียงพอ
รัฐบาลก็ควรจะรับเป็นภาระอุดหนุน"
[๑] |
ด้วยแนวนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการดังกล่าว
ใน พ.ศ. ๒๔๙๓
วชิราวุธวิทยาลัยจึงได้รับเงินรัฐบาลอุดหนุนเพิ่มเป็นปีละ
๓๕๐,๐๐๐ บาท
และเนื่องจากรัฐบาลในเดียวกันนั้นรัฐบาล
"มีนโยบายที่จะไม่ให้นักเรียนที่ยังไม่จบการศึกษษชั้นมัธยมปีที่
๖ ไปเรียนต่อยังต่างประเทศ
นักเรียนไทยที่ประสงค์จะไปเรียนต่อยังต่างประเทศจะต้องเรียนสำเร็จชั้นมัธยมปีที่
๖ ก่อนจึงจะไปได้
และโรงเรียนที่อบรมแบบปับลิคสกูลของต่างประเทศ
ก็มีโรงเรียนนี้โรงเรียนเดียวเท่านั้น
เมื่อได้รับการศึกษาและอบรมจากโรงเรียนนี้แล้วย่อมจะเป็นการง่ายในการที่จะไปศึกษาอบรมต่อยังต่างประเทศ"
[๒] |
จากเหตุผลเรื่องการอนุญาตให้นักเรียนไปเรียนต่อต่างประเทศดังกล่าว
ประกอบกับการที่คณะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัยมีความเห็นว่า
"การศึกษาในปับลิคสกูล
ต่างประเทศยกย่องว่าเป็นการศึกษาอบรมนักเรียนดีที่สุด"
[๓]
คณะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัยจึงมีความเห็นร่วมกันว่า
"รัฐบาลควรหาทางสนับสนุนในทางการเงินเพื่อจรรโลงโรงเรียนนี้ให้มั่นคงวัฒนาถาวรสืบไป"
[๔]
ในการนี้คณะกรรมการอำนวยการฯ จึงได้มีมติ
"ให้ตั้งเงินรัฐบาลอุดหนุนเพิ่มขึ้นเป็น
๕๐๐,๐๐๐ บาท (ห้าแสนบาท) ในปี ๒๔๙๔"
และเพิ่มเป็นปีละ ๗๕๐,๐๐๐ บาท
มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๘
 |
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์
นายกรัฐมนตรี ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ - ๔
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ |
จากนั้นมาวชิราวุธวิทยาลัยคงได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลปีละ
๗๕๐,๐๐๐ บาทติดต่อกันมาหลายสิบปี จนราว พ.ศ. ๒๕๓๐
ในสมัยผู้บังคับการ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา
เงินผลประโยชน์ที่พระคลังข้างที่จัดสรรให้แก่โรงเรียนไม่เพียงพอแก่การที่จะดำเนินกิจการโรงเรียนให้เป็นไปโดยราบรื่น
ท่านผู้บังคับการจึงได้นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร
พระบรมราชูปถัมภ์วชิราวุธวิทยาลัยทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท
จึงมีพระราชกระแสด้วยพลเอก เปรม ติณสูลานนท์
นายกรัฐมนตรีในเวลานั้นให้ช่วยจัดสรรเงินรัฐบาลอุดหนุนเพิ่มเติมแก่วชิราวุธวิทยาลัย
เมื่อนายกรัฐมนตรีเชิญพระราชกระแสเข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีๆ
จึงได้มีมติให้จัดสรรเงินรัฐบาลอุดหนุนให้แก่วชิราวุธวิทยาลัยเป็น
๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท
แต่วชิราวุธวิทยาลัยก็คงได้รับเงินจำนวนดังกล่าวเพียงปีเดียว
เมื่อพระคลังข้างที่ซึ่งเป็นผู้จัดการผลประโยชน์ของวชิราวุธวิทยาลัยทวงถามไปยังกระทรวงศึกษาธิการ
ก็ได้รับคำตอบว่า
มติคณะรัฐมนตรีคราวนั้นมิได้กำหนดให้ปรับเพิ่มเงินรัฐบาลอุดหนุนเป็นปีละ
๑,๕๐๐,๐๐๐ บาทตลอดไป ปีถัดๆ
มากระทรวงศึกษาธิการจึงคงจัดสรรงบประมาณอุดหนุนวชิราวุธวิทยาลัยเพียงปีละ
๗๕๐,๐๐๐ บาท เท่าปีก่อนหน้าต่อมาอีกกว่า ๑๐ ปี
จนถึงยุค ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช
ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย
กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ยินยอมปรับเพิ่มเงินรัฐบาลอุดหนุนให้แก่วชิราวุธวิทยาลัยเป็นปีละ
๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท มาจนถึงปัจจุบัน
อนึ่ง
เนื่องจากเงินรัฐบาลอุดหนุนตามกระแสพระบรมราชโองการหรือเงินพระบรมราชโองการนี้
เป็นเงินที่กระทรวงพระคลังมหาสมบัติจัดถวายมาตั้งแต่ครั้งโอนโรงเรียนราชวิทยาลัยจากกระทรวงธรรมการไปสังกัดกระทรวงยุติธรรม
และเมื่อกระทรวงยุติธรรมถวายโรงเรียนราชวิทยาลัยมาเป็นโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ตั้งแต่
พ.ศ. ๒๔๕๙
เงินพระบรมราชโองการหรือเงินรัฐบาลอุดหนุนนี้ก็ถูกโอนมาให้พระคลังข้างที่เป็นผู้ดูแลจัดการเบิกจ่ายให้แก่โรงเรียนราชวิทยาลัย
จนพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ
ให้ยกโรงเรียนราชวิทยาลัยมารวมกับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
และพระราชทานนามให้ใหม่ว่า "โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย"
ก็ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดสรรเงินรัฐบาลอุดหนุนนั้แก่วชิราวุธวิทยาลัยมาตั้งแต่
พ.ศ. ๒๔๖๙
เงินรัฐบาลอุดหนุนแก่วชิราวุธวิทยาลัยนี้จึงเป็นเงินอุดหนุนตามพระบรมราชโองการในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ซึ่งมีศักดิ์เป็นกฎหมาย
เป็นเงินคนละยอดกับเงินรัฐบาลอุกหนุนโรงเรียนราษฎร์ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์
ซึ่งตลอดมาวชิราวุธวิทยาลัยไม่เคยได้ใช้สิทธิขอรับเงินอุดหนุนโรงเรียนราษฎร์จากกระทรวงศึกษาธิการเลย
เพราะในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัย
ครั้งที่ ๖๒ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๕
อธิบดีกรมวิสามัญศึกษาในตำแหน่งกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัยได้เสนอต่อที่ประชุมว่า
"วชิราวุธวิทยาลัยไม่ควรจะขอเงินประเภทอุดหนุนโรงเรียนราษฎร์ของกระทรวงศึกษาธิการ
เพราะว่าเราได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลโดยตรงอยู่แล้ว
ถ้าเอาเงินจากประเภทอุดหนุนโรงเรียนราษฎร์อีก
บางทีจะเป็นเหตุให้ถูกตัดเงินอุดหนุนจากรัฐบาลได้
ดังนั้นเมื่อเงินที่ได้รับอุดหนุนจากรัฐบาลไม่พอ
เราก็ควรขอเพิ่มจากรัฐบาลอีก" [๕]
เมื่อที่ประชุมเห็นชอบตามข้อเสนอของอธิบดีกรมวิสามัญศึกษาแล้ว
วชิราวุธวิทยาลัยก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการรับเงินอุดหนุนโรงเรียนราษฎร์ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์มาจนถึงปัจจุบัน
 |
แต่ถึงแม้วชิราวุธวิทยาลัยจะมิได้รับเงินอุดหนุนโรงเรียนราษฎร์ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ก็ตาม
แต่ในช่วงหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๑๖
ซึ่งเป็นยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน
มีการตราพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๑๘
ซึ่งในพระราชบัญญัติดังกล่าวได้แก้ความในมาตรา ๔๔
ว่าด้วยการอุดหนุนโรงเรียนราษฎร์
โดยให้กระทรวงศึกษาธิการอุดหนุนและส่งเสริมโรงเรียนราษฎร์
โดย "(๓) ให้เงิน ทั้งนี้เฉพาะแก่โรงเรียนการกุศล"
[๖] บทบัญญัติดังกล่าวจึงกลายเป็นประเด็นให้นักการเมืองใช้เป็นเหตุผลที่จะตัดเงินอุดหนุนก้อนนี้แก่วชิราวุธวิทยาลัย
โดยอ้างว่า
ตามกฎหมายนี้กระทรวงศึกษาธิการอาจไม่มีอำนาจเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่วชิราวุธวิทยาลัยดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาได้
เมื่อมีความเห็นขัดแย้งในเรื่องข้อกฎหมายดังกล่าว
กระทรวงศึกษาธิการจึงได้เสนอขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
ซึ่งคณะรัฐมนตรีก็ได้ส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัย
ในที่สุดคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยกรรมการร่างกฎหมาย
กองที่ ๖
ได้พิจารณาและมีความเห็นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๙
ว่า "โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยมีฐานะเป็นโรงเรียนสถาบันการศึกษาที่ได้จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายพิเศษ
เพราะได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช
และวัตถุประสงค์การจัดตั้งโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยตามที่ปรากฏในประกาศพระบรมราชโองการ
ก็ถือได้ว่าเป็นการตั้งขึ้นมาเพื่อการกุศล
ฉะนั้นการจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยจึงไม่ขัดกับบทบัญญัติมาตรา
๔๔ (๓) แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ พ.ศ. ๒๔๙๗
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๘" ฉะนั้นเมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกามีคำวินิจฉัยเป็นดังที่กล่าวมา
เรื่องเงินรัฐบาลอุดหนุนวชิราวุธวิทยาลัยซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมาแต่ครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงเป็นอันยุติลงนับแต่บัดนั้น.