๕๓.
จากดุสิตธานีสู่โฮเต็ลพญาไท (๑)
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ
พระราชทานเลี้ยงส่งนายทหารอาสาที่จะเดินทางไปในงานพระราชสงครามทวีปยุโรป
ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๑
แล้ว วันรุ่งขึ้นได้เสด็จพระราชดำเนินจังหวัดเพชรบุรี
ในการพระราชพิธีเฉลิมพระที่นั่ง ณ พระราชวังบ้านปืน
ซึ่งในโอกาสนั้นได้พระราชทานนามพระที่นั่งและพระราชวังนั้นว่า
"พระที่นั่งศรเพชรปราสาท" และ "พระรามราชนิเวศน์" ตามลำดับ
ประทับแรมที่พระที่นั่งศรเพชรปราสาท ๖ ราตรีแล้ว
จึงแปรพระราชฐานไปประทับแรมที่ค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญ
เพื่อทรงรักษาโรครูมาติซั่มตามคำแนะนำของแพทย์
ในระหว่างประทับรักษาพระองค์ที่ค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญนั้น
นอกจากจะทรงพระอักษรสั่งราชการและทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง
"ท่านรอง" และ "เสียสละ"
ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวทหารที่ไปราชการสงครามเช่นเดียวกับทหารอาสาที่ไปงานพระราชสงคราม
ณ ทวีปยุโรปแล้ว
ในเวลาเย็นได้เสด็จลงสรงน้ำทะเลและทอดพระเนตรมหาดเล็กรุ่นเด็กๆ
อายุ ๑๒ - ๑๖ ปี ที่โปรดเกล้าฯ ให้เป็น "มหาดเล็กรับใช้"
เล่นทรายกันที่ชายหาดจนได้พระราชทานคำแนะนำให้สร้างเป็นเมืองทราย
ดังที่หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล
มหาดเล็กรับใช้คนหนึ่งได้บันทึกไว้ว่า
 |
นักเรียนเสือป่าหลวง หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล |
"เมืองทรายมีกำเนิดเมื่อตอนบ่ายของวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.
๒๔๖๑ เด็กๆ อย่างข้าพเจ้าได้มาเที่ยวชายทะเลก็สนุกยิ่งนัก
เราจึงเริ่มขุดทรายเล่นตามภาษาของเด็กๆ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสรงน้ำทะเล
เสด็จลงเห็นพวกเราเล่นอะไรสนุกๆ จึงเสด็จเข้าร่วมวงด้วย
เรามีเจ้าชีวิตของเราอยู่ที่นั่นแล้ว
จึงกราบบังคมทูลถามอะไรหลายอย่าง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอธิบาย
พระองค์จึงทรงกลายเป็นเจ้าของโครงการเมืองทรายไป"
[๑] |
ที่เมืองทรายนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงสอนมหาดเล็กเด็กๆ นั้นให้รู้จักวิธีทำน้ำตก
วิธีลำเลียงน้ำลอดลำคลองที่เรียกว่า "ไซฟอน" (Siphon)
การสูบน้ำดับเพลิง การสูบฉีดน้ำเพื่อการทำเหมืองแร่
การทำน้ำพุและน้ำตก และการทำท่อล้างสิ่งโสโครก
การทรงเล่นที่เมืองทรายนั้นคงจะเป็นเพราะทรงระลึกไปล่วงหน้าแล้วว่า
เมื่อสงครามในทวีปยุโรปยุติลงแล้วจะต้องทรงปฏิบัติอย่างไรบ้าง
"คงจะต้องทรงหาทางให้ประเทศไทยได้ประโยชน์เมื่อเสร็จสงคราม
ซึ่งไม่มีอะไรจะดีกว่าแก้สัญญาที่ไม่เป็นธรรมที่ได้ทำไว้ขณะที่ประเทศสยามอ่อนแอ
ถ้าจะให้มหาประเทศเห็นใจ ไทยจะต้องทำตัวเป็นเด็กที่ดี
คือพยายามพัฒนาประเทศไปในทางที่ถูกต้อง ได้แก่งาน ๓ อย่าง
คือ แก้ประมวลกฎหมายของไทยให้เรียบร้อย
ต้องให้การศึกษาบังคับแก่คนไทย
และพยายามปรับปรุงประเทศให้หันไปทางเป็นประชาธิปไตย" [๒] |
 |
ภาพวาดฝีพระหัตถ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว |
การแก้ไขปรับปรุงประมวลกฎหมายนั้น
ทรงมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมซึ่งมีที่ปรึกษากฎหมายชาวต่างประเทศไปช่วยกันดำเนินการได้
ด้านการศึกษาภาคบังคับนั้นก็ได้ทรงทมอบหมายให้กระทรวงธรรมการเร่งดำเนินการขยายการศึกษาลงสู่อำเภอและตำบลทั่วประเทศอยู่แล้ว
แต่การปรับปรุงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยนั้น
คงไม่มีใครที่จะช่วยปฏิบัติได้
เพราะเวลานั้นมีคนไทยที่พอจะรู้เรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยบ้างก็แต่เพียงผู้ที่สำเร็จการศึกษามาจากต่างประเทศ
แต่ประชาชนไทยเกือบทั้งประเทศยังไม่เคยรู้จักว่าประชาธิปไตยคืออะไรเลย
ฉะนั้นจึงต้องทรงรับพระราชภาระปลูกฝังความรู้ความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยด้วยพระองค์เอง
 |
พระที่นั่งอัมพรสถานและพระที่นั่งอุดรภาค (ในวงกลม)
พระราชวังดุสิต |
ในการที่จะทรงสอนเรื่องสิทธิและหน้าที่
รวมถึงการเลือกตั้งอันเป็นรากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตยให้คนที่ไม่เคยมีพื้นความรู้มาก่อนนั้นคงจะเป็นเรื่องยาก
แต่คงจะทรงนึกถึงการที่ทรงสอนเด็กๆ
สร้างเมืองทรายที่ค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญ
ซึ่งทรงสอนเรื่องที่ยากๆ ให้เด็กเข้าใจได้ด้วยวิธีการ
"Play to Learn"
หรือการเรียนรู้ด้วยการเล่น
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับมาประทับที่พระที่นั่งอุดร
พระราชวังดุสิต ในตอนเย็นวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ แล้ว
ต่อมาในเย็นวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันบรรจบครบรอบปีที่ทรงประกาศสงครามกับเยอรมนีและออสเตรีย
- ฮังการี
ได้เสด็จลงยังที่ว่างรอบพระที่นั่งอุดร
ทรงวัดที่และกะวางผังสร้างเมืองจำลองขึ้นในพื้นที่ว่างระหว่างพระที่นั่งอุดรกับอ่างหยก
แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้ชาวบ้านหรือที่ต่อมาโปรดให้เรียกว่า
"ทวยนาคร"
จำนวนเกือบ ๓๐๐ คน
เข้าจับจองพื้นที่เพื่อสร้างบ้านในเมืองจำลองที่ได้พระราชทานนามเมื่อวันที่
๒๕ กรกฎคม พ.ศ. ๒๔๖๑ ว่า "ดุสิตธานี"
 |
แผนที่เมืองจำลองดุสิตธานีที่พระราชวังดุสิต |
เมื่อทรงวางผังเมืองจำลองโดยโปรดให้สร้างสวนสาธารณะและภูเขาจำลองขึ้นแล้ว
จึงโปรดให้ขุดคูคลอง สร้างถนน สะพาน
เพื่อแบ่งพื้นที่ของเมืองจำลองออกเป็นส่วนๆ
ทรงกะที่ตั้งพระราชวัง วัด โรงทหาร โรงเรือ โรงพยาบาล ฯลฯ
แล้วโปรดให้ทวยนาครเข้าจับจองพื้นที่เพื่อจัดสร้างบ้านและอาคารพาณิชย์
เพราะทรงกำหนดให้พลเมืองหรือทวยนาครของดุสิตธานีซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการในพระราชสำนักกับมีข้าราชการกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงนครบาลร่วมสมทบอีกจำนวนหนึ่งนั้น
มีถิ่นที่อยู่เป็นของตนเอง
ทวยนาครจึงต้องลงทุนปลูกสร้างบ้านหรืออาคารพาณิชย์ของตนลงในพื้นที่ของดุสิตธานี
สำหรับผู้ที่มีทุนทรัพย์น้อยไม่สามารถสร้างบ้านเรือนหรือโรงร้านของตนได้ก็อาจจะเช่าบ้านหรือโรงร้านของพระคลังข้างที่หรือของทวยนาครรายอื่น
 |
อาคารหลากรูปแบบสถาปัตยกรรมในดุสิตธานี |
อาคารต่างๆ
ที่โปรดให้สร้างขึ้นในดุสิตธานีนับร้อยหลังคาเรือนนั้น
ล้วนปลูกสร้างขึ้นด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมอันวิจิตร
ทั้งแบบไทย จีน แขก ฝรั่ง ญี่ปุ่น
แต่ถูกย่อส่วนลงเหลือเพียง ๑ : ๒๐ ของอาคารจริง
เมืองจำลองดุสิตธานีจึงมีลักษณะเป็นเสมือนเมืองตุ๊กตาที่คนไม่สามารถเข้าไปอยู่ได้
นั้น
บางส่วนโปรดให้จำลองมาจากอาคารจริงที่ได้เคยทอดพระเนตรมาทั้งในและต่างประเทศ
|