๕๘.
เรื่องของกรมหลวงชุมพรฯ (๓)
 |
จอมพล จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์
กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
เมื่อครั้งทรงดำรงพระยศเป็น นายพลเรือเอก
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ
กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต
เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ |
ครั้น ณ วันที่ ๖
เมษายนได้มีประชุมเสนาบดีสภาตามธรรมดา,
แล้วฉันจึ่งได้พบพูดเรื่องกรมชุมพรกับน้องชายเล็ก
[๑]
และกรมนครไชยศรี [๒].
ท่านทั้งสองนี้ก็ออกความเห็นว่าควรให้กรมชุมพรออกเป็นกองหนุนเสียคราว
๑,
เพื่อให้กรมชุมพรเองรู้สำนึกว่าจะนอนกินเงินเดือนอยู่เฉยๆ
ไม่ได้,
และให้พวกศิษย์รู้สึกว่าครูมิใช่คนสำคัญเท่าที่เฃาทั้งหลายตีราคาไว้.
ต่อมาวันที่ ๘
เมษายนฉันจึ่งได้มีโอกาสให้หาเสนาบดีทหารเรือเฃ้าไปพูดจาเรื่องนั้น,
และฉันได้ชี้แจงความเห็นของฉันให้ฟังโดยพิสดาร.
ดูท่าทางบริพัตร์ออกจะวิตกอยู่, คือเกรงว่า
ถ้าให้กรมชุมพรออกพวกนายทหารที่เปนศิษย์จะหัวเสียและอาจจะทำบ้าอะไรได้ต่างๆ
มีลาออกพร้อมกันเปนต้น.
แต่ลงปลายก็รับว่าผู้ที่ไม่ไว้วางพระราชหฤทัยแล้ว
จะให้ทำราชการในตำแหน่งน่าที่สำคัญไม่ได้อยู่เอง,
แล้วและเลยกล่าวขึ้นว่าเห็นควรให้วุฒิชัย [๓]
เปนเจ้ากรมยุทธศึกษาแทน, ฉันก็ตกลงเห็นชอบด้วย.
ครั้น ณ วันที่ ๑๑ เมษายน
ฉันได้รับจดหมายจากบริพัตร์แสดงความวิตกต่างๆ
ในการที่จะให้กรมชุมพรออกจากราชการประจำ;
แต่ความเห็นของฉันก็ยังมียืนอยู่ตามเดิมว่าต้องให้ออก,
เพื่อรักษาอำนาจแห่งราชการ.
ฉันได้ส่งจดหมายของบริพัตร์ไปให้น้องชายเล็กและกรมนครชัยศรีดู,
ก็ได้รับตอบในวันรุ่งขึ้น ว่าไม่ควรรั้งรอไว้อีกต่อไป,
ฉันจึ่งได้ตกลงตอบไปยังบริพัตร์
สั่งให้กรมชุมพรออกจากประจำการกรมทหารเรือ หนังสือต่างๆ
เนื่องด้วยเรื่องนี้มีอยู่บริบูรณ,
รักษาไว้ที่กรมราชเลฃาธิการ.
ต่อมาอีกไม่ช้า, ใน พ.ศ. ๒๔๕๔ นั้นเอง,
กรมชุมพรได้ขอเฃ้ารับราชการในกองทัพเรือตามเดิม
ที่ฉันรับเอาเฃ้าทำราชการกรมมหาดเล็กนั้น
เพาะต้องการควบคุมให้ได้สดวกประการ ๑, กับอีกประการ ๑
ฉันบังเกิดความรู้สึกกระดากขึ้นในใจว่าอาจจะได้ประพฤติต่อกรมชุมพรข้อนฃ้างแรงเกินไปสักหน่อย
เมื่อคำนึงดูว่าทั้งผู้ที่เปนโจทก์
ทั้งผู้ที่ได้เปนที่ปรึกษาในเมื่อวินิจฉัยคดีนั้นเปนผู้ที่ไม่ชอบกับกรมชุมพรส่วนตัวอยู่.
แต่กรมชุมพรก็มีความผิดจริงอยู่ด้วย
ดังได้กล่าวมาแล้วซึ่งจะละเลยเสียทีเดียวนั้นก็หาได้ไม่."
[๔] |
จากพระราชบันทึกดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดว่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงติดใจเอาความในเรื่องที่นักเรียนนายเรือวิวาทกับมหาดเล็กเลย
และเมื่อตรวจสอบเรื่องการพระราชทานนามสกุลยังพบอีกว่า
นายเรือตรี เจือ กระทรวงทหารเรือ
หรือที่ต่อมาได้รับพระราชทานยศบรรดาศักดิ์เป็น นายนาวาตรี
หลวงจบเจนสมุท ก็ได้รับพระราชทานนามสกุล "สหนาวิน"
เป็นนามสกุลลำดับที่ ๒๓๑ เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๖
ย่อมชวนให้เกิดข้อสงสัยต่อไปว่า หากนักเรียนนายเรือเจือ
สหนาวิน
เป็นคู่กรณีวิวาทกับมหาดเล็กในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
ดังที่ได้บันทึกไว้จริง
นักเรียนนายเรือเจือจะกล้าขอพระราชทานนามสกุลและจะมิได้รับพระราชทานนามสกุลในลำดับต้นๆ
เพียงระยะเวลาเดือนเศษๆ
นับแต่มีการพระราชทานนามสกุลเชียวหรือ?
ส่วนการที่ทรงปลดนายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ
กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์
ออกจากราชการเป็นกองหนุนเมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๔
ทั้งที่เพิ่งจะทรงตั้งพระเจ้าพี่ยาเธอพระองค์นี้ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงทหารเรือและเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือไปเมื่อวันที่
๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ นั้น
ความในพระราชบันทึกก็ปรากฏชัดอยู่แล้วว่า
เพราะไม่เสด็จไปทรงงานที่กระทรวงทหารเรือ
ทั้งยังทรงเป็นต้นแบบให้นายทหารเรือรุ่นหนุ่มคิดกระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชา
จึงต้องทรงปลดพระเจ้าพี่ยาเธอพระองค์นั้นออกเป็นกองหนุน
เพื่อให้ทรงสำนึกผิด แต่ถัดมาวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๔
หรืออีกเพียง ๓ เดือนเศษก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้เสด็จเข้ารับราชการในกรมมหาดเล็ก รับพระราชทานยศชั้น
"หัวหมื่น"
หรือที่ในเวลานั้นเรียกว่า "ชั้นที่
๒ เอก"
ซึ่งเป็นชั้นยศเทียบเท่านายพันเอกทหารบก
และคงโปรดให้รับราชการในกรมมหาดเล็กมาจนคราวที่ทรงประกาศสงครามกับเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการี
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ แล้ว
และนายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ
กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
ได้กราบบังคมทูลสำนึกผิดและทรงอาสาเข้ารับราชการทหารเรือเพื่อทำหน้าที่ป้องกันพระราชอาณาจักรในสภาวะสงครามอีกครั้ง
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เสด็จกลับเข้ารับราชการทหารเรือในตำแหน่ง จเรทหารเรือ
เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๐
เมื่อได้เสด็จกลับเข้ารับราชการทหารเรือและทรงอุทิศพระองค์ปฏิบัติราชการทหารเรือด้วยพระอุตสาหะวิริยะแล้ว
ก็ได้ทรงรับความไว้วางพระราชหฤทัยโปรดเกล้าฯ
ให้เป็นที่ปรึกษาแห่ง "คณะที่ปฤกษาสำหรับเครื่องราชอิศริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี"
ทั้งยังได้รับพระราชทานฐานันดรเป็น มหาโยธิน
แห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
และต่อมายังได้ทรงเป็นผู้แทนราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม
ในพระบรมราชูปถัมภ์ ออกไปจัดซื้อเรือหลวงพระร่วง
และทรงบังคับการเรือนั้นร่วมกับนายทหารเรือไทยนำเรือรบหลวงพระร่วงเดินทางจากประเทศอังกฤษมาถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ
นับการเดินเรือข้ามทวีปครั้งแรกโดยคนไทย เป็นอาทิ
จึงทำให้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเลื่อนพระยศเป็นนายพลเรือโท
และนายพลเรือเอก ทั้งยังได้โปรดเกล้าฯ
เฉลิมพระอิสริยยศเป็น
กรมขุนและกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ตามลำดับ
กับได้โปรดเกล้าฯ
ให้ทรงดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือซึ่งเป็นตำแหน่งบังคับบัญชากำลังพลเทียบเท่าตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือในปัจจุบัน
ก่อนที่จะโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่ง
เสนาบดีกระทรวงทหารเรืออันเป็นตำแหน่งสูงสุดในราชการทหารเรือ
ในบั้นปลายพระชนม์ชีพ นายพลเรือเอกพระเจ้าพี่ยาเธอ
กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
ได้กราบถวายบังคมลาออกไปรักษาพระองค์ที่มณฑลสุราษฎร์ซึ่งเดิมเคยชื่อว่า
"มณฑลชุมพร" อันพ้องกับพระนามกรม
และได้ประชวรสิ้นพระชนม์เสียที่นั้น
เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชบันทึกไว้ในจดหมายเหตุรายวันส่วนพระองค์ว่า
"มีความสลดใจเปนอันมากที่จำเปนต้องจดลงในรายวันนี้ว่า
พระเจ้าพี่ยาเธอ
กรมหลวงชุมพรเฃตอุดมศักดิ์ได้สิ้นพระชนม์เสียที่ตำบลหาดรี,
ปากน้ำชุมพร, เมื่อเวลา ๑๑ นาฬิกาก่อนเที่ยงวันนี้.
ฃ่าวนี้ได้รับในเวลาดึก.
เมื่อเดือนเมษายน กรมชุมพรได้ขอลาพักรักษาพระองค์ ๑ เดือน
โดยคำแนะนำของหม่อมเจ้าถาวรมงคลวงศ์
[๕],
นายแพทย์ใหญ่กระทรวงทหารเรือ,
ผู้ที่ได้กล่าวในใบตรวจพระอาการว่า
กรมชุมพรประชวรเปนพระโรคเส้นประสาทไม่ปรกติ.
ตั้งแต่เมื่อทำบุญอายุเจ้าจอมมารดาโหมดได้สังเกตเห็นกรมชุมพรเดินง่องแง่งไม่ใคร่ถนัดอย่างไรอยู่.
เมื่อได้รับอนุญาตแล้วก็ได้ขอยืมเรือพวก "ทเล" ลำ ๑
ลงเดินทางออกไปว่าจะไปประพาศทางมาณฑลสุราษฎร์.
แรกที่จะได้ฃ่าวว่าประชวรครั้งสุดท้ายนี้
คือเจ้าพระยารามราฆพได้นำโทรเลขของเจ้าจอมมารดาโหมดมีมาถึงเธอนั้นมาให้เราดู,
มีความว่ากรมหลวงชุมพรประชวรเป็นไข้พิษ พระอาการหนัก.
ครั้นเวลาค่ำได้รับโทรเลขพระองค์เจ้าธานี
[๖]
บอกฃ่าวมาว่า
กระทรวงทหารเรือได้จัดส่งหม่อมเจ้าถาวรออกไปทางรถไฟยังชุมพร,
และส่งเรือ "พระร่วง" ออกไป
โดยคำขอร้องของเจ้าจอมมารดาโหมด,
เพื่อจะได้รับกรมชุมพรกลับเฃ้าไปกรุงเทพ.
ครั้นเวลาดึกจึ่งได้ฃ่าวว่ากรมชุมพรได้สิ้นพระชนม์เสียแล้วที่หาดรี
เมื่อ ๑๑ นาฬิกาเช้า. ตำบลหาดรีนี้,
ได้ทราบจากพระยาเวียงใน [๗]
(ซึ่งเคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร)
ว่า เปนที่มีไข้ป้าขุกชุม, และในฤดูเดือน ๖ เดือน ๗
ไม่มีใครอยู่ได้โดยปลอดไข้.
กรมชุมพรประสูติวันที่ ๑๙ ธันวาคม, (ปีมะโรง) พ.ศ. ๒๔๒๓,
ฉะนั้นมีพระชนม์ได้ ๔๒ ปี กับ ๕ เดือน;
และเพราะได้เปนเพื่อนกันมาแต่เด็กเราจึ่งรู้สึกเสียดายและใจหายมาก"
[๘]
|
ความในพระราชบันทึกที่อัญเชิญมาข้างต้นย่อมเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
มิได้ทรงขัดแย้งกับพระเจ้าพี่ยาเธอ
กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์เลยแม้แต่น้อย
ทั้งยังทรงแสดงให้เห็นถึงความผูกพันกันมาแต่ทรงพระเยาว์ตราบจนพระเจ้าพี่ยาเธอพระองค์นั้นสิ้นพระชนม์ไปเมื่อวันเสาร์ที่
๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ แล้ว
ก็ยังได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ทหารเรือไว้ทุกข์ด้วยการลดธงครึ่งเสามีกำหนดสามวัน
นับแต่วันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖
ซึ่งเป็นวันที่เรือเชิญพระศพกลับถึงกรุงเทพฯ
นอกจากนั้นยังเล่ากันต่อมาว่า เมื่อเวลาที่นายพลเรือเอก
พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์สิ้นพระชนม์นั้น
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกำลังทรงพระอักษรอยู่ที่พราชนิเวศน์มฤคทายวัน
แล้วก็ทรงเหลียวมามีพระราชดำรัสอะไรสั้นๆ
ซึ่งมหาดเล็กเวรที่เฝ้าฯ อยู่ ณ
ที่นั้นก็ไม่ทราบว่ามีพระราชประสงค์อะไร
ถึงวันรุ่งขึ้นเมื่อพระทายาทของพระเจ้าพี่ยาเธอพระองค์นั้นนำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบถวายบังคมลาสิ้นพระชนม์แทนพระบิดา
ก็มีรับสั่งว่า "รู้แล้ว"
|