แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง
กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้แผนการศึกษาชาติ
พ.ศ. ๒๔๘๙
กำหนดให้โรงเรียนมัธยมสามัญกลับมาเปิดการเรียนการสอนในชั้นมัธยมปลายในชื่อชั้นเตรียมอุดมศึกษา
อีกครั้ง
วชิราวุธวิทยาลัยจึงต้องเปิดรับครูที่มีคุณวุฒิชั้นปริญญาเข้ามาสอนนักเรียนชั้นเตรียมอุดมศึกษาอีกครั้ง
 |
คุณหญิงสนองนาฏ จารุดิลก |
ในการรับสมัครครูชั้นปริญญาคราวนั้น
คุณหญิงสนองนาฏ (บุณยศริริพันธ์) จารุดิลก
ได้กล่าวไว้ในที่ชุมนุมนักเรียนเก่าโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ณ โรงแรมรอแยล ถนนราชดำเนิน เมื่อวันเสาร์ที่ ๖
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๑ ว่า
เมื่อจบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ได้อักษรศาสตร์บัณฑิต ไม่คิดจะเป็นครูเลย
เพราะเหตุว่าคุณพ่อได้หาอาชีพไว้ให้เรียบร้อย
คือคุณพ่อตั้งโรงพิมพ์พระจันทร์ ก็จะให้ลูกๆ
ทำงานโรงพิมพ์กันทุกคน แต่
เผอิญดิฉันเมื่อทำงานที่โรงพิมพ์พระจันทร์ได้วันสองวันก็รู้สึกว่าอยู่ไม่ได้
เพราะตอนเป็นนักเรียนฝึกสอนคุรุศาสตร์ ก็ไปฝึกสอน
ณ ที่ต่างๆ ออกต่างจังหวัดบ้าง
เพราะขณะนั้นเป็นเวลาสงครามโลกครั้งที่สอง
โรงเรียนในกรุงเทพฯ ไม่เปิดสอน
เราจำเป็นต้องไปฝึกสอนที่โรงเรียนต่างๆ
ที่ต่างจังหวัด ฯพณฯ ม.ล.ปิ่น มาลากุล เป็นอธิบดี
[๑]
เมื่อเราไปอยู่ต่างจังหวัด
ครูในต่างจังหวัดเป็นครู ป.ม. [๒]
กับ ป.ป. [๓]
ทั้งสิ้น เมื่อ อ.บ.ออกไป เขาก็เขม่นเรา
เขาหมั่นไส้ว่าปริญญาตรีจะไปข่มเขา ทั้งๆ
ที่เราก็ก็อ่อนหวานอุตส่าห์ไหว้กราบเขาจะดูการสอนของเขา
เขาไม่สอนให้เราดูเลย เขาบอกคำบอกไปแต่ละห้อง
ถามคุณหญิงสมจิตต์
[๔]
ดูก็ได้
เราได้ความรู้ในการที่จะเป็นครูจากอาจารย์หม่อมหลวงตุ้ย
ชุมสาย [๕]
สอนให้เราดูแต่ผู้เดียว
รู้สึกว่าประสบการณ์การเป็นครูน้อยมาก
แต่ดิฉันได้มาสอนที่โรงเรียนวชิราวุธ
ได้รับเกียรติอย่างสูงทีเดียวเพราะเหคุว่าเจ้าคุณภะรต
[๖]
ท่านอุตส่าห์รับเรา
วันที่ท่านโทรศัพท์มาที่คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบอกว่าขอครูปริญญา ๒ คน
ดิฉันกับคุณหญิงสมจิตต์ไปเที่ยวจุฬาฯ ในวันนั้น
โดยยังไม่ได้ทำงาน เมื่อเจ้าคุณภะรตท่านต้องการครู
๒ คนก็ดีใจ ชวนคุณหญิงสมจิตต์ ไปสอนด้วยกัน ทั้งๆ
ที่ไม่ชอบอาชีพครูเลย
[๗] |
การที่วชิราวุธวิทยาลัยตกลงรับคุณหญิงสนองนาฏ
จารุดิลก และคุณหญิงสมจิตต์ ศรีธัญรัตน์
เข้าเป็นครูในวชิราวุธวิทยาลัยนั้น
คงจะเนื่องมาจาก ตอนนั้นโรงเรียนวชิราวุธกำลังจะทดลองมีครูผู้หญิงสำหรับสอนเด็กโต
[๘]
และคงจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การศึกษาไทยที่เปิดรับครูสตรีเข้าสอนนักเรียนชั้นโตในโรงเรียนชายล้วนและเป็นโรงเรียนกินนอนแบบพับลิคสกูลของอังกฤษด้วย
เพราะในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สองนั้น
ระบบการศึกษาไทยยังคงแยกเป็นโรงเรียนชายล้วนหญิงล้วน
และครูในโรงเรียนชายก็ไม่มีครูสตรี
ครูโรงเรียนสตรีก็ไม่มีครูชายเลย
ในชั้นแรกครูสตรีทั้งสองท่านต่างก็วิตกกังวลไปต่างๆ
นาๆ ดังที่คุณหญิงสนองนาฏ
จารุดิลกได้เล่าไว้ในที่ประชุมนักเรียนเก่าโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ว่า
จะให้เราอยู่ประจำหรือเปล่า
เมื่อไปเข้าแล้วก็มีปัญหาว่า
นักเรียนกับครูอยู่ห้องชิดติดกัน
ตอนนั้นดิฉันอายุสัก ๒๒ - ๒๓ นักเรียนอายุประมาณ
๑๘ - ๑๙ คุณพระประทัต [๙]
ก็บอกว่า
ครูกับนักเรียนอายุไล่เลี่ยกันอยู่ไม่ได้
ให้ดิฉันกับคุณหญิงสมจิตต์ไปอยู่คณะเด็กเล็ก
เราดูสภาพคณะเด็กเล็กแล้วอยู่ไม่ไหว
เราต้องรบกับเด็ก ๒๔ ชั้วโมง
เราไม่เคยสอนเด็กเล็กเลย รู้สึกลำบากใจ
ก็ไปกราบท่านว่า ขอไป - กลับ ท่านก็อนุญาต
สมัยนั้นรถยนต์ก็ไม่ค่อยจะมี
ดิฉันกับคุณหญิงสมจิตต์ต้องเช่ารถสามล้อถีบ
ออกจากบ้านประมาณ ๗ โมงเช้า ไปถึงโรงเรียนประมาณ ๘
โมง ๘ โมงครึ่งก็สอน โผล่เข้าไปวันแรกตกใจแทบแย่
เพราะไม่มีคนรุ่นดิฉันเลยจนคนเดียว
มีแต่ท่านเจ้าคุณภะรต คุณพระประทัต คุณหลวงธรรมสารฯ
[๑๐]
ซึ่งเราเรียกว่า คุณตา
เราจะไปเข้าพวกไหนดี? ก็พอดีไปเจอคุณอ๊อด คุณกมล
ชาญเลขา [๑๑]
เป็นครูวิทยาศาสตร์ รู้สึกวัยไล่เลี่ยกัน
ก็ได้เป็นเพื่อน เรียกว่า สามเกลอ จุ๊กจิ๊กกัน ๓
คน ก็ชักจะไม่เป็นที่พอใจของอาจารย์สนั่น
แพทยานนท์ [๑๒]
เพราะท่านเป็นอาจารย์สมัย ร.๖
ผู้หญิงกับผู้ชายต้องแยกกัน อยู่ด้วยกันไม่ได้
เราก็เหงาจะแย่ไปแล่ว เลยต้องทนยอมให้ท่านเขม่น
คุณอ๊อดก็ดีเช้าขึ้นมาก็มีเรื่องเล่า
เมื่อคืนนี้มีเรื่องนักเรียนทำอะไร
ท่านก็เล่าให้เราฟังทุกเช้า รู้สึกสนุกเพลิดเพลิน
ก็เลยมีกำลังใจสอนหนังสือต่อไปได้
คุณพระประทัตท่านดีมาก
ท่านเป็นผู้ควบคุมการเรียนการสอน
ท่านว่าแล้วแต่อาจารย์จะสอน ผมไม่ดู
เตรียมการสอนก็ไม่ต้องเตรียม
ทำให้เราสองคนต้องขวนขวาย
วันเสาร์ครึ่งวันต้องไปโรงเรียนเตรียมอุดม
เขาสอนกันยังไง ต้องไปดูเขาสอน
เตรียมตำหรับตำราอย่างดี ท่านก็เลยพอใจ
ตอนหลังได้เป็นคนโปรดของเจ้าคุณภะรต
เราก็พยายามที่จะเป็นมิตรกับเด็ก
ที่โรงเรียนนี้ครูใหญ่ก็ไม่เรียกอาจารย์ใหญ่ก็ไม่เรียก
เรียก ผู้บังคับการ เจ้าคุณภะรตเป็นผู้บังคับการ
นักเรียนเรียกดิฉันว่า ครู
ที่เรียกครูนี้ซาบซึ้งกว่าเรียก อาจารย์
ท่านเจ้าคุณภะรตเรียกดิฉันว่า อาจารย์
[๑๓]
แต่เด็กๆ เรียกว่า ครู
ครูอ๊อดนี้ถ้ากลางคืนไปทำอะไรมา
เช้าขึ้นมาก็มาเล่าให้ดิฉันฟัง
เช่นเช้าวันหนึ่งเขาเล่าว่าผมไปเที่ยวงานวัดเบญขฯ
สนุกมาก ผมปีนรั้วไปเที่ยว เจ้าโกฟุก
[๑๔]
มันไล่ผมเสียวิ่งขาลากแต่มันก็จับผมไม่ได้
จนกระทั่งรู้ถึงคุณวิชา
คุณวิชาบอกว่าคืนนี้จะจับให้เชียว แล้วนายประสงค์
สุขุม นายเถลิง ธำรงนาวาสวัสดิ์ [๑๕]
ก็เอายานอนหลับใส่ในเหยือกน้ำไปตั้งไว้หน้าห้องพักครู
กินน้ำก็หลับกันหมดทุกคน เลยปีนไปเที่ยวได้
จนกว่างานวัดเบญจฯ จะเลิก เป็นที่สนุกสนานทีเดียว
เขามีเรื่องขำๆ มาเล่า แล้วรู้สึกเป็นกันเอง เช่น
เราจะกลับบ้านเพราะสอนเสร็จเที่ยงหรือบ่ายโมง
ก็ไปทานข้าวที่คณะผู้บังคับการ
เด็กบอกว่าวันนี้ครูกลับไม่ได้นะ ผมเล่นรักบี้
ครูต้องอยู่ดูนะ เรากลัวเด็กเบยต้องอยู่ดู
เดี๋ยวเขาเฮี้ยวเอา
เราสอนหนังสือบางทีเขาก็เอาประทัดโรยไว้
พอครูผู้หญิงมาก็ดังโป้งๆ
เราก็เต้นหยองแหยงเขาก็เฮกัน
นี่แหละชีวิตที่สอนที่วชิราวุธทำให้ได้รับความเพลิดเพลินสนุกสนาน
เป็นกันเองกับเด็ก
[๑๖] |
 |
คุณหญิงสมจิตต์ ศรีธัญรัตน์ |
ในคราวเดียวกัน คุณหญิงสมจิตต์ ศรีธัญรัตน์
ก้ได้เล่าถึงประสบการณ์การเป็นครูสตรีในวชิราวุธวิทยาลัยไว้ว่า
ตอนนั้นโรงเรียนงชิราวุธกำลังจะทดลองมีครูผู้หญิงสำหรับสอนเด็กโต
ดิฉันก็เกรงเหมือนกันว่าปัญหาที่มีนั้นอาจตะเป็นเพราะเด็กอายุใกล้เคียงกับครู
อาจจะไม่เมีความกรงกลัวกันก็ได้ ตอนแรกก็ใจไม่ดี
เข้าไปวันแรกก็ขาสั่นเหมือนกัน
แตก็พยายามไม่ให้เด็กเห็นว่าขาสั่น
พยายามระมัดระวังตัวอย่างดี
แต่ดิฉันก็คิดว่าเป็นบุญ
ที่เด็กในขณะนั้นเป็นระยะที่ไม่พร้อม ดิฉันก็ทราบ
เพราะมีบรรดาครูบาอาจารย์หลายท่านมาเล่าให้ฟังว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่
๒ โรงเรียนวชิราวุธขาดหลายอย่าง
เพราะระยะนั้นบ้านเมืองกำลังอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมมาก
แต่ก็เป็นเดชะบุญ ที่เรา ๒ คนสอนชั้น ม.๗
ก็คือมัธยมศึกษาปีที่ ๕
ดิฉันสอนวิชาที่ดิฉันถนัดน้อยที่สุดเพราะว่าตอนนั้นครูที่สอนภาษาอังกฤษต้องใช้ครูฝรั่ง
หรือครูที่พูดภาษาฝรั่งเป็นที่จะตอบโต้กันได้
พวกเราท่านก็ให้สอนภาษาไทย
ที่จริงพูดภาษาไทยชัดแน่
แต่ความรู้ภาษาไทยยังไม่ชัดเจนนัก ก็สอน
แต่ก็พยายามขวนขวาย
นอกจากนั้นยังให้สอนวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม
แต่ลูกศิษย์พยายามช่วยครูมาก
พยายามตั้งอกตั้งใจและให้กำลังใจ
เวลาสอนเขาก็พยายามปฏิบัติตัวตั้งใจฟัง
จะมีสักคนหนึ่งที่นอนฟัง แต่ก็ปล่อยให้หลับไป
ตื่นขึ้นมาเพื่อนก็ช่วยกันจด ดิฉันยังจำได้เวลาสอน
จะมีที่เขาแหย่กันบ้างแต่ทุกอย่างดำเนินไปโดยเรียบร้อย
เวลาสอนเขาจะไม่ทำอะไรให้เราไม่สบายใจ
ก็เลยทำให้มีความมั่นใจว่าพอสอนไปได้
ถึงแม้ว่าจะมีความรู้น้อย
แต่ลูกศิษย์ช่วยมากทีเดียว
นักเรียนทั้งหมดดิฉันรู้สึกว่าเขาซนน่ารักกว่า
ดิฉันมีนักเรียนตอนนี้ไม่น่ารักเท่า
ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ก็ยังติดตามอยู่ ส่วนใหญ่ก็เรียก
ครู ดิฉันก็มีความดีใจ ตอนนั้นเขาคิดจะแหย่ว่า
จะจับครูโยนหน้าต่าง เราก็ชักใจไม่ดีเหมือนกัน
นี่คือความสนุกของเด็กวชิราวุธสมัยนั้น
สิ่งที่เขาไปซนไปทำอะไรมาเขาบอกกับเราซึ่งเป็นครูผู้หญิง
๒ คน
เขารู้ว่าครูผู้หญิงจะไม่ไปบอกใครจะเก็บเป็นความลับ
เขามีเรื่องเล่าสนุกๆ เสมอ และบางที
ถ้าเขาทำอะไรที่ทำให้เราต้องยุ่งยาก
เขาจะดูที่สีหน้า เขาจะบอกว่า หยุดเถอะ
ดูหน้าครูสิ เท่านั้นเอง ดิฉันก็เลยรู้สึกว่า
ความกลัวที่มีอยู่ทีแรกนั้นมันค่อยๆ จางไป
เวลาไปทานข้าว ทีแรกเราอิดออด
ซึ่งเราก็ไม่ทราบว่านั่งโต๊ะซึ่งมีครูผู้ใหญ่อยู่
เรา ๒ คนก็เร่อร่ากัน
ที่รับประทานอาหารก็มีคนเสิฟอาหาร มีคนดูแล
รู้สึกว่าวชิราวุธหัดคนให้เป็นระเบียบและเป็นผู้ดีพร้อม
เพราะฉะนั้นในตอนแรกๆ
ก็อึดอัดหลีกเลี่ยงจะไม่ทานข้าว
ในที่สุดท่านเจ้าคุณก็บอกให้ทาน เราก็ทาน
วันเสาร์กลับบ้านครึ่งวัน มีลูกศิษย์ ๒
คนขึ้นรถรางไปด้วย
แล้วเราก็แจกสตางค์คนละสตางค์นั่งไปด้วยกัน
สนุกทั้งครูทั้งนักเรียน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ดิฉันก็เกิดความรู้สึกประทับใจเช่นเดียวกับคุณหญิงสนองนาฏ
คือรักลูกศิษย์ รักโรงเรียน
มีความซาบซึ่งในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างที่สุด
คติธรรมทั้งหลายที่สอนในโรงเรียนนั้นได้นำเอามาใส่ใจ
ไม่เฉพาะแต่นักเรียน ครูเองก็นำเอามาใส่ใจ
ในคำที่ทรงสั่งสอนนั้น ขณะนี้เราก็ยังเอามาปฏิบัติ
เป็นสิ่งที่ง่ายๆ ไม่ยากเย็นเลย
ดิฉันมีความรู้สึกว่าที่โรงเรียนวชิราวุธนี้
ถึงแม้จะอยู่ระยะสั้นท่านผู้ฟังอาจจะสงสัยว่า
ทำไมเมื่อเราชอบ เรารักโรงเรียนนี้ ทำไมถึงออก?
ดิฉันมีความรู้สึกว่าตอนนั้นการเดินทางไม่ค่อยสะดวกจริงๆ
และเป็นระยะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ซึ่งเราทั้งสองคนบางครั้งเราต้องเดินผ่านถนนนั้นไม่มีผู้คนอยู่ตรงนั้น
ที่ตรงนั้นค่อนข้างเปลี่ยว
ได้ทราบว่าคุณพระประทัตท่านโกรธมาก เมื่อเราออก
ลูกศิษย์มาส่งกันเป็นแถวที่หน้าประตูโรงเรียน
คุณพระประทัตไม่ยอมออกมารับลาของเราทั้ง ๒ คน
ท่านโกรธจนกระทั่งดิฉันจะไปต่างประเทศ
ดิฉันไปกราบท่าน ท่านไม่ยอมดูหน้า
แต่ในที่สุดท่านก็ใจอ่อน
ดิฉันรู้สึกว่าตอนนั้นเราใจไม่สู้
ถ้าใจสู้คงจะอยู่กับนักเรียนวชิราวุธไปอีกนาน
[๑๗] |
ถึงแม้คุณหญิงสนองนาฏ จารุดิลก และคุณหญิงสมจิตต์
ศรีธัญรัตน์
ครูสตรีสองท่านแรกจะมาสอนนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยเพียงหนึ่งปีการศึกษาในปีการศึกษา
๒๔๘๙ เท่านั้นก็ตาม
แต่ก็ทำให้วชิราวุธวิทยาลัยตระหนักถึงคุณภาพของครูสตรีว่า
สามารถสอนนักเรียนชายล้วนได้ไม่แพ้ครูชายที่มีอยู่เดืม
ในเวลาต่อมาจึงได้รับครูสตรีเข้ามาสอนนักเรียนทั้งชั้นมัธยมและประถมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน