 |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเครื่องบรมราชภูษิตาภรณ์
ประทับเหนือพระแท่นมนังคศิลารัตนสิงหาสน์
ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช
วันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ |
เนื่องจากเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระมงกึฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับรัชทายาทเสด็จดำรงสิริราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่
๖ แก่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ แล้ว
เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอให้ทรงแยกราชการส่วนพระองค์ออกจากราชการแผ่นดิน
เมื่อทรงอนุโลมให้แยกราชการในพระราชสำนักออกจากราชการแผ่นดินแล้ว
ต่อมาได้โปรดเกล้าฯ
ให้ยกแผนกฎีกาในกรมราชเลขานุการ
กับศาลรับสั่งกระทรวงวังเดิม
มารวมตั้งขึ้นเป็นกรมพระนิติศาสตร์
จัดเป็นกรมในพระราชสำนักสังกัดกระทรวงวัง
ศาลรับสั่งกระทรวงวังนั้นมีเขตอำนาจเช่นเดียวกับศาสทหาร
ที่มี อำนาจที่จะพิจารณา
และวางบทลงโทษผู้ที่กระทำผิดต่อพระราชกำหนดกฎหมายทหาร
หรือพระราชกำหนดกฎหมายในทางอาญาหลวง
ซึ่งผู้กระทำผิดนั้น
เปนบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารบก
ในขณะที่กระทำความผิด [๑]
แต่ศาลรับสั่งกระทรวงวังนั้นมีเขตอำนาจเฉพาะในเขตพระราชฐาน
โดยผู้กระทำผิดนั้นเข้าราชการในพระราชสำนัก
รวมทั้งบุคคลพลเรือนทั้งปวงซึ่งทำการอยู่ในพระราชสำนักทั้งที่สังกัดกระทรวงวัง
และกรมมหาดเล็ก
ที่กระทำผิดต่อกฎหมายลักษณะอาญาและกฎมณเฑียรบาลซึ่งบังคับใชอยู่ในเวลานั้น
และเมื่อศาลรับสั่งกระทรวงวังมีคำพิพากษาในคดีใดแล้ว
เป็นหน้าที่เสนาบดีกระทรวงวังต้องนำความกราบบะงคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท
เพื่อมีพระบรมราชวินิจฉัยเป็นที่สุด
 |
แผนที่แสดงแนวเขตพระราชวังดุสิต |
คดีที่สำคัญที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ที่ศาลรับสั่งกระทรวงวังได้รับว้พิจารณา เมื่อ
พ.ศ. ๒๔๕๙ คือ
คดีลักทรัพย์และยักยอกทรัพย์ของหม่อมพยอม
ในพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิไลยวรวิลาศ
ครูแม่บ้านคณะเด็กเล็ก โรงเรียนมหาดแล็กหลวง
คดีนี้ศาลรับสั่งกระทรวงวังได้มีคำพิพากษาไว้ดังนี้
คดีที่ ๑๗/๒๔๕๙ |
ศาลรับสี่งกระทรวงวัง |
|
วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พระพุทธศักราช ๒๔๕๙ |
|
ข้าพระพุทธเจ้าผู้มีนามข้างท้ายนี้
ได้นั่งพร้อมกัน ณ ศาลรับสั่งกระทรวงวัง
พิจารณาคดีอาญา |
|
|
อัยการวัง (ขุนฤทธิเดชพลขันธ์ แทน)
|
โจท |
|
|
ในระหว่าง |
|
|
|
อำแดงกุหลาบ
|
จำเลย |
|
|
|
เสร็จสำนวนแล้ว
ขอพระราชทานนำข้อความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท |
|
|
|
|
|
ในคดีเรื่องนี้โจทฟ้องว่า
อำแดงกุหลาบเปนผู้ร้ายลักผ้าพื้น ๓ ผืน ผ้าลาย ๓
ผืนกับผ้าเช็ดหน้า ๑๒ ผืนรวมราคา ๑๐
บาทของหม่อมพยอมซึ่งเปนนายจ้างของจำเลย
เมื่อวันที่
๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๙ ในโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
เขตรพระราชวังดุสิต
และจำเลยได้ยักยอกสร้อยข้อมมือทองคำ ๒
สายทองคำหนัก ๓ สลึงเศษ ราคา ๒๕ บาท
ของหม่อมพยอมไปด้วย จำเลยกระทำผิดแล้วหลบหนีไป
เจ้าพนักงานตำรวจพระนครบาลจับตัวจำเลยพร้อมทั้งของกลางบางอย่างได้ส่งมายังกระทรวงวัง
ขอให้ศาลลงโทษฐานลักทรัพย์และยักยอกทรัพย์
อำแดงกุหลาบอายุย่างเข้า ๑๕ ปี
จำเลยให้การรับว่าเมื่อหนีไปได้เอาผ้านุ่งผ้าเช็ดหน้าที่หม่อมพยอมให้ไว้สำหรับใช้ไปด้วย
ผ้าที่ไม่ได้คืนมาเปนของกลางได้นุ่งขาดเสียแล้ว
ผ้าเช็ดหน้า ๓ ผืนได้ให้ผู้อื่นไป
สร้อยข้อมือถอดห่อกระดาษเก็บไว้แล้วเลยหาย
ทางพิจารณาได้ความว่า
จำเลยเคยอยู่กับหม่อมพยอมเจ้าทรัพย์ณะโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ในบริเวรพระราชวังดุสิตมาตั้งแต่เล็ก
เคยหลบหนีไปครั้งหนึ่งและเก็บเอาผ้าผ่อนที่ให้ใช้หนีไปเสียด้วย
เพราะฉนั้นเมื่อกลับมาอยู่คราวนี้
หม่อมพยอมจึงคิดจ้างจำเลยเป็นเงินเดือนๆ ละ ๔ บาท
ส่วนผ้านุ่งห่มเครื่องแต่งตัวสัญญาไม่ให้แก่จำเลยเปนสิทธิ
ให้สำหรับตบแต่งเท่านั้น
เมื่อจะไปอยู่ที่อื่นต้องคืนแต่ถ้าใช้สรอยสึกหลอขาดวิ่นไปไม่เอาใช้
ในครั้งนี้จำเลยหลบหนีไปตามวันเวลาที่โจทหาแลเอาทรัพย์คือผ้านุ่ง
๕ ผืนราคา ๗ บาท ผ้าเช็ดหน้า ๑ โหล ราคา ๓ บาท
กับสร้อยข้อมือ ๒ สายราคา ๒๐ บาท
ซึ่งหม่อมพยอมนายจ้างมอบไว้ไปด้วย
ในวันที่จับจำเลยได้ๆ ผ้าคืนมาบ้าง
ส่วนสร้อยข้อมือจำเลยจำหน่ายว่าหาย
ตามทางพิจารณาซึ่งข้าพระพุทธเจ้าได้กราบบังคมทูลพระกรุณาเห็นด้วยเกล้าฯ
ว่า จะลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ไม่ถนัด
จำเลยมีความผิดแต่เพียงฐานยักยอกทรัพย์ตากฎหมายประมวลอาญา
มาตรา ๓๑๙ ข้อ ๑ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า
ควรวางโทษจำคุกจำเลยมีกำหนดเพียง ๑ ปี
แต่จำเลยอายุยังไม่ครบ ๑๖
ปีตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๕๘ ตอน ๓
ให้ลงอาญาแต่กึ่ง ๑
ทั้งจำเลยให้การรับสารภาพเปนประโยชน์แก่การพิจารณาควรได้รับพระมหากรุณาลดโทษตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา
๕๙ ลงอีกครึ่งหนึ่ง
โทษที่จะต้องรับพระราชอาญาจึ่งคงเหลือ ๓
เดือนนับแต่วันที่จำเลยต้องขังมาแล้วเปนต้นไป
กับให้ใช้ทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเปนราคา ๒๐ บาท ๗๕
สตางค์
ถ้าไม่มีใช้ให้จำเลยไถ่โทษตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา
๑๘ ของกลางที่จับได้ให้คืนเจ้าทรัพย์ไป
ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมพร้อมกันดังนี้
การจะควรประการใดสุดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ขอเดชะ
|
|
ข้าพระพุทธเจ้า |
เสวกเอก พระศรีวิกรมาทิตย์ |
|
|
ขุนตำรวจเอก พระยาราชสงคราม |
|
|
เสวกเอก พระเทพศาสตร์ราชสภาบดี |
|
|
มหาเสวกโท พระยาจักรปาณีศรีศิลวิสุทธิ์ |
|
|
 |
เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล)
เสนาบดีกระทรวงวัง |
ต่อมาวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๙
เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล)
เสนาบดีกระทรวงวัง
ได้มีหนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณาเรียนพระราชปฏิบัติมีความตอนหนึ่งว่า
ในคดีระหว่างอัยการวังโจทย์ อำแดงกุหลาบจำเลย
โจทย์ฟ้องกล่าวว่า เมื่อวันที่ ๘ กันยายนศกนี้
จำเลยเปนผู้ร้ายลักทรัพย์แลยักยอกทรัพย์ของพยอมหม่อมห้ามในพระราชวรวงษ์เธอ
พระองค์เจ้าวิไลยวรวิลาศ
ผู้เปนนายจ้างที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
เขตรพระราชวังดุสิต แล้วหลบหนีไป
เจ้าน่าที่จับจัวได้พร้อมของกลางบางอย่างส่งมายังกระทรวงวัง
จึงขอให้ศาลรับสั่งลงโทษ
จำเลยมีอายุย่างเข้า ๑๕ ปีให้การรับว่า
เมื่อหนีได้อาทรัพย์ที่กล่าวนี้ไปด้วย
เพราะพยอมให้ไว้สำหรับใช้
ศาลรับสั่งกระมรวงวังพิจารณาเสร็จสำนวนแล้วคงได้ความว่า
จำเลยอยู่กับพยอม ณ
โรงเรียนมหาดเล็กหลวงในบริเวณพระราชวังดุสิตมาแต่เล็ก
เคยหนีไปครั้งหนึ่งแลเก็บทรัพย์ที่ให้ใช้ติดตัวไปด้วย
เมื่อมาอยู่คราวนี้พยอมคิดจ้างเปนเงินดือนๆ ละ ๔
ลาท มีข้อสัญญาว่าเครื่องแต่งตัวไม่ให้เปนสิทธิ์
เมื่อไม่อยู่ด้วยต้องคืน
ครั้งนี้จำเลยหนีเก็บเอาทรัพย์ที่ให้ใช้ติดตัวไปด้วย
ได้ความดังนี้ จึงปฤกษาเห็นพร้อมกันว่า
จะลงโทษจำเลยถานลักทรัพย์ยังไม่ถนัด
มีความผิดแต่เพียงฐานยักยอกทรัพย์ตากฎหมายประมวลอาญา
มาตรา ๓๑๙ ข้อ ๑ ระวางโทษจำคก ๑ ปี
จำเลยมีอายุไม่ครบ ๑๖ ปี ตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา
๕๘ ตอน ๓ ให้ลงอาญากึ่งหนึ่ง
ทั้งจำเลยให้การรับสารภาพเปนประโยชน์แก่การพิจารณาควรได้รับพระมหากรุณาลดโทษตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา
๕๙ ลงอีกครึ่งหนึ่ง
โทษที่จะต้องรับพระราชอาญาจึงคงเหลือ ๓
เดือนนับแต่วันที่จำเลยจ้องขังมาแล้วเปนต้นไป
กับให้ใช้ทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเปนราคา ๒๐ บาท ๗๕
สตางค์
ถ้าไม่มีใช้ให้จำไถ่โทษตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๑๘
ของกลางที่จับได้ให้คืนเจ้าทรัพย์ไป
ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานทูเกล้าฯ
ถวายคำปฤกษษของศาลรับสั่งเรียนพระราชปฏิบัติ |
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรหนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณาของเสนาบดีกระทรวงวังและคำพิพากษาศาลรับสั่งกระทระทรวงวังในคดีดังกล่าวแล้ว
ได้มีพระบรมราชซินิจฉียเป็นที่สุดว่า พอควรแล้ว
คดีนี้จึงเป็นที่สุด
แต่ประเด็นสำคัญในคำพิพากษาศาลรับสั่งคดีนี้ คือ
ข้อที่ระบุว่า
โรงเรียนมหาดเล็กหลวง เขตรพระราชวังดุสิต
ดังนี้จึงเป็นพยานสำคัญที่ชี้ชัดว่า
โรงเรียนมหาดเล็กหลวง หรือปัจจุบัน คือ
วชิราวุธวิทยาลัย ตั้งอยู่ในเขตพระราชวังดุสิต
ซึ่งเป็นเขตพระราชฐาน