ในเรื่องหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนมหาดเล็กหลวงซึ่งเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
(สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
อดีตกรรมการจัดการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงได้นำความกราบบังคมทูลเรียนพระราชปฏิบัติเมื่อวันที่
๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๕ นั้น มีความตอนหนึ่งใน
"หมวดหน้าที่และความรับผิดชอบพะแนกสอนวิชา"
กำหนดให้ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชามีหน้าที่
"ตั้งสโมสรต่างๆ อันจะให้ประโยชน์แก่การวิชา
เช่นสโมสรอ่านหนังสือ
และสโมสรสักรวาทีปรวาทีเปนต้น
วางระเบียบข้อบังคับและรักษาการให้เปนไปโดยสม่ำเสมอและได้ประโยชน์จริง"
นั้น
พบหลักฐานว่า เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานที่ดินที่สวนกระจัง
ซึ่งเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่พระราชวังสวนดุสิตให้เป็นที่ตั้งถาวรของโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
กับได้โปรดเกล้าฯ
ให้ขุดสระเพื่อนำดินมาถมท้องร่องปรับเป็นสนามให้นักเรียนได้ใช้เป็นที่เล่นกีฬาแล้ว
เมื่อโรงเรียนมหาดเล็กหลวงย้ายมาเปิดทำการที่โรงเรียนชั่วคราวที่สวนกระจังแล้ว
โรงเรียนได้จัดให้มีสโมสรเรือ
เป็นสโมสรสำหรับนักเรียนฝึกหัดพายเรือและว่ายน้ำในสระใหญ่ของโรงเรียน
 |
แผนที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง พ.ศ. ๒๔๖๖
แสดงที่ตั้ง "โรงเรือ" (ในวงกลมสีแดง) |
โรงเรือจะสร้างขึ้นเมื่อไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
นักเรียนเก่าในยุคนั้นท่านเล่าไว้แต่เพียงว่า
โรงเรือเป็นเรือนไม้สองชั้น
ปลูกยื่นลงไปในสระน้ำข้างเนินดินซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งหอนาฬิกา
ชั้นล่างใช้เป็นสโมสรเรือและฝึกหัดว่ายน้ำของนักเรียน
ส่วนชั้นบนใช้เป็นเรือนพักของผู้บังคับการโรงเรียน
ต่อมาในสมัยที่พระยาปรีชานุสาสน์เป็นผู้บังคับการโรงเรียน
ท่านได้นำความเรียนปฏิบัติสภากรรมการจัดการโรงเรียนหรือปัจจุบันเรียกว่า
คณะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัยว่า
โรงเรือซึ่งจัดเป็นที่พักของผู้บังคับการนั้นคับแคบไม่พอที่ท่านและครอบครัวจะพักอาศัยได้
ทั้งนี้เนื่องมาจากท่านเป็นผู้มีบุตรมากถึง ๑๒ คน
จึงใคร่จะขอย้ายครอบครัวขึ้นไปพักอาศัยที่พระตำหนักสมเด็จ
ซึ่งเป็นพระตำหนักเดิมของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนี พันปีหลวง
และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ
ให้รื้อย้ายจากวังพญาไทมาปลูกสร้างเป็นหอเรียนวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ต่อมาในสมัยที่รวมโรงเรียนเป็นวชิราวุธวิทยาลัยแล้ว
พระตำหนักสมเด็จนั้นได้ใช้เป็นสถานที่พยาบาลนักเรียนที่เจ็บป่วย
เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า
พระยาปรีชานุสาสน์จะขอย้ายครอบครัวขึ้นไปพักอาศัยที่พระตำหนักสมเด็จแทนโรงเรือซึ่งเป็นเรือนพักผู้บังคับการ
อันเป็นการไม่ต้องด้วยพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ด้วยมีพระราชกระแสว่า
พระตำหนักนั้นเคยเป็นที่ประทับในสมเด็จพระบรมราชชนนีและพระองค์เองก็เคยประทับที่พระตำหนักนั้นมาก่อน
การที่โรงเรียนจัดเป็นสถานที่พยาบาลนักเรียนที่เจ็บป่วยนั้นก็ไม่เป็นพอพระราชหฤทัยอยู่แล้ว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รื้อย้ายพระตำหนักสมเด็จไปปบูกสร้างเป็นกุฏิพระสงฆ์ที่วัดราชาธิวาส
ซึ่งยังคงอยู่ที่นั้นมาจนบัดนี้
และได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดสร้างตึกพยาบาลให้แก่โรงเรียนแทน
(ปัจจุบันโรงเรียนใช้ตึกพยาบาลนั้นเป็น
หอประวัติวชิราวุธวิทยาลัย)
 |
เรือนผู้บังคับการซึ่งเดิมเป็นโรงเรือ |
ในเมื่อไม่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ผู้บังคับการย้ายขึ้นไปพักอาศัยบนพระตำหนักสมเด็จ
ในที่สุดสภากรรมการจัดการวชิราวุธวิทยาลัยจึงได้มีมติให้รื้อย้ายโรงเรือขึ้นไปปลูกสร้างที่สนามหน้าคณะเด็กเล็กหรือในเวลานั้นเรียกว่า
คณะปรีชานุสาสน์ (ปัจจุบันคือ คณะผู้บังคับการ)
ทั้งนี้เพราะผู้บังคับการเป็นผู้กำกับคณะเด็กเล็กโดยตำแหน่ง
จากนั้นมาวชิราวุธวิทยาลัยก็ได้จัดเรือนพักที่หน้าคณะเด็กเล็กหรือคณะผู้บังคับการทั้งชั้นบนและชั้นล่างเป็นเรือนพักของผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยต่อเนื่องมาจนถึงสมัยพระยะรตราชา
(ม.ล.ทศทิศ อิศรเสนา)
เป็นผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย
เรือนพักผู้บังคับการในสมัยพระยาภะรตราชานั้น
เป็นเรือนไม้สองชั้นยกพื้นสูงจากพื้นดินราว ๙๐
เซนติเมตร มีระเบียงเล็กๆ มีลูกกรงเตี้ยๆ
กั้นที่ด้านหน้าเรือน (ด้านคณะผู้บังคับการ)
มีโต๊ะเล็กๆ พร้อมเก้าอี้วางอยู่
เรียกพื้นที่เล็กๆ ตรงนี้ว่า "กรงลิง"
นัยว่าเป็นสถานที่ลงโทษนักเรียนที่ประพฤติตนไม่อยู่ในระเบียบวินัย
เช่น
เป็นที่ทำการบ้านของนักเรียนไม่ทำการบ้านส่งครู
หรือนั่งคุกเข่าสวดมนต์สำหรับผู้ที่กลับเข้ามาสวดมนต์ไม่ทันในเช้าวันจันทร์ที่เข้าโรงเรียนหลังจากหยุดกลับบ้านในวันสิ้นเดือน
หรือเป็นที่เป่าปี่สก๊อตของนักเรียนที่หนีการฝึกซ้อม
ฯลฯ นอกจากนั้นยังเป็นที่ทำการของ "โกกู๊ด"
แขกยามที่มีหน้าที่ประจำที่หน้าเรือนผู้บังคับการ
ภายในเรือนผู้บังคับการ
เมื่อก้าวขึ้นบันไดไปสู่ชั้นล่างของตัวเรือนจะเป็นระเบียงไม้สักมีมู่ลี่ไม้ไผ่
ที่ระเบียงนี้ในบางคราวท่านผู้บังคับการก็ใช้เป็นที่รับรายงานตัวนักเรียนที่เข้าใหม่
ส่วนทางซ้ายของระเบียงนั้นเป็นห้องรับแขกที่ตกแต่งแบบบ้านผู้ดีอังกฤษ
มีเฟอร์นิเจอร์ไม้ทำเป็นเตาผิงจำลองตอนบนเป็นกระจกเงาตั้งอยู่ชิดผนังด้านตะวันออก
ภายในห้องมีชุดรับแขก
ซึ่งปกติแขกที่ได้รับเชิญมาดิ่มน้ำชาที่ห้องนี้มักจะเป็นผู้ปกครองนักเรียนที่มีความผิดร้ายแรง
ถัดเข้าไปตอนในเป็นห้องพักผ่อนและห้องรับประทานอาหาร
ด้านหลังเรือนที่หันลงไปทางสระน้ำเป็นพื้นที่เปิดโล่ง
ซึ่งเมื่อท่านผู้บังคับการออกไปมี่ระเบียงนี้จะมองเห็นทั้งโรงอาหารว่างที่เรียกกันว่า
เรือนจาก สนามหน้า ไปจนถึงหอประชุม ตึกวชิรมงกุฎ
(ตึกขาว) และศาลากลางน้ำ
ทำให้ท่านสามารถตรวจตราพื้นที่โรงเรียนโดยรอบได้จากเรือนที่พัก
และวันใดที่ท่านไม่เห็นวงปี่สก๊อตซึ่งมีที่ฝึกซ้อมประจำอยู่ที่หน้าหอประชุมทำการฝึกซ้อมกันตามปกติ
หรือมีนักเรียนมาฝึกซ้อมน้อย
ท่านก็จะบุกมาถึงสถานที่ฝึกซ้อมและนักเรียนที่หนีการฝึกซ้อมนอกจากจะโดนลงโทษด้วยวิธีการพิเศาของท่านแล้ว
ยังมักจะต้องนำปี่ไปยืนเป่าที่กรงลิงให้ท่านฟัง
หากขาดเสียงปี่โดยไม่มีคำสั่งให้หยุดก็จะถูกลงโทษด้วยวิธีพิเศษอีกเช่นกัน
นอกจากนั้นที่ตอนกลาง
มีบันไดขึ้นลงสู่สวนทางด้านใต้ของตัวเรือน
ซึ่งที่บันไดนี้ท่านผู้หญิงภะรตราชา (ขจร
อิศรเสนา)
ภรรยาท่านผู้บังคับการจะใช้เป็นที่รับรองคุณครูสตรีจากคณะเด็กเล็กที่มักจะมากราบคารวะท่านผู้หญิงในเวลาที่คุมนักเรียนเดินแถวกลับคณะเด็กเล็กหลังจากสวดมนต์เสร็จในตอนเช้า
ส่วนชั้นบนของเรือนพักนั้นแบ่งเป็น ๒
ห้องนอนตามความยาวของตัวเรือน
ท่านผู้บังคับการท่านใช้ห้องนอนด้านทิศตะวันตก คือ
ฝั่งคณะผู้บังคับการเป็นห้องนอน
(ท่านเคยเรียกผู้เขียนขึ้นไปสั่งงานในเวลาที่ท่านนอนเจ็บอยู่บนเรือน)
ส่วนห้องด้านทิศตะวันออกใช้เป็นห้องเก็บของ
ด้านข้างเรือนพักผู้บังคับการทางด้านทิศใต้เป็นสนามและสวนไม้ดอก
ซึ่งในเวลามีงานคณะก็จะอาศัยสวนนี้เป็นที่นั่งของนักเรียนในเวลาชมการแสดง
ปัจจุบันสนามและสวนนี้ยังคงอยู่แต่มีการดัดแปลงรูปแบบไปบ้างตามกาล
 |
เรือนผู้บังคับการ
ซึ่งสร้างขึ้นใหม่ในสมัยศาสตราจารย์
ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา |
เมื่อท่านผู้บังคับการพระยาภะรตราชาถึงอนิจกรรมที่ห้องนอนบนเรือนพักนี้ในวันที่
๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ แล้ว
ต่อมาคณะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัยได้อนุมัติงบประมาณให้รื้อเรือนไม้ซึ่งเป็นเรือนพักผู้บังคับการลง
แล้วสร้างขึ้นใหม่เป็นตึกสองชั้นในสถานที่เดิม
โดยพยายามรักษาโครงสร้างการใช้งานของเรือนให้คล้ายกับเรือนผู้บังคับการหลังเดิมที่รื้อไป
เรือนผู้บังคับการหลังใหม่นี้ได้ใช้เป็นที่พักอาศัยของผู้บังคับการต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัย
ศาสตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา
ศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช
มาจนถึงดร.สาโรจน์ ลีสวรรค์
ผู้บังคับการคนปัจจุบัน