 |
"เรือนจาก"
(ในวงกลมแดง)
ที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งตึกรามจิตติหลังใน |
นอกจากโรงฝึกงานวิชาศิลปะที่ริมลำคูด้านเหนือของโรงเรียนแล้ว
ในแนวเดียวกับโรงฝึกงานศิลปะนั้นยังมีอาคารไม้ขนาดย่อมชั้นเดียวเป็นอาคารชนิดเปิดโล่ง
มีลูกกรงระเบียงรอบอีกหลังหนึ่ง
นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยในยุคพระยาภะรตราชา (ม.ล.ทศทิศ
อิศรเสนา) เป็นผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย
ต่อเนื่องมาจนถึงยุคผู้บังคับการศาสตราจารย์ ดร.กัลย์
แศรเสนา ณ อยุธยา จะรู้จักเรือนนี้ในนาม
"เรือนจาก"
เพราะเมื่อแรกสร้างอาคารนี้ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่
๒ เรือนนี้มีสภาพเป็นเรือนหลังคาจาก
และแม้ว่าจะเปลี่ยนหลังคาจากเป็นหลังคากระเบื้องลอนแล้ว
นักเรียนก็ยังคงเรียกเรือนนี้ว่าเรือนจากต่อมา
มูลเหตุของการสร้างเรือนจากนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระมหากรุณาสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้นแล้ว
ได้โปรดเกล้าฯ
ให้โรงเรียนจัดการเรียนการสอนตามแบบพับลิคสกูลของอังกฤษ
ฉะนั้นโรงเรียนจึงรับเอาขนบประเพณีที่ถือปฏิบัติกันในพับลิคสกูลของอังกฤษมาใช้ในชีวิตประจำวันของนักเรียนมหาดเล็กหลวง
ดังเช่น การกินน้ำชาบ่าย ซึ่งปรากฏใน
"การประจำวันตามเวลาปกติของโรงเรียน"
ในระเบียบการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์พิเศษส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งระบุไว้ว่า
"บ่าย ๔ โมงครึ่ง กินน้ำชาบ่าย
แล้วออกเล่นในสนาม"
วัฒนธรรมการกินน้ำชาบ่ายนี้คงมีอยู่ตลอดรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อเนื่องมาจนถึงต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งเวลานั้นตารางเรียนของนักเรียนในห้องเรียนของนักเรียนยังอยู่ในช่วงวันจันทร์
- ศุกร์ ระหว่างเวลา ๙.๐๐ - ๑๒.๐๐น
แล้วพักรับประทานอาหารกลางวัน เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๓๐
น. กลับเข้าห้องเรียน เวลา ๑๕.๔๕ น. เลิกเรียนแล้ว
นักเรียนเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นชุดกีฬา ถึงเวลา
๑๖.๓๐ น. เป็นเวลากินน้ำชาบ่าย
แต่เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระยาปรีชานุสาสร์ (เสริญ ปันยารชุน)
มาเป็นผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยในระหว่าง พ.ศ.
๒๔๖๙ - ๒๔๗๕
ท่านผู้บังคับการพระยาปรีชานุสาสน์ได้ปรับเวลาเรียนในห้องเรียนเป็นวันจันทร์
- เสาร์ เริ่มจากเวลา ๗.๐๐ - ๘.๐๐ น.
แล้วพักรับประทานอาหารเช้า เข้าเรียนต่อในช่วงเวลา
๙.๐๐ ไปจนถึง ๑๓.๐๐ น. จึงเลิกเรียน
แล้วรับประทานอาหารกลางวัน
แล้วเข้าเพรบเพื่อทำการบ้านและทบทวนการเรียน
หรือทำกิจกรรมอื่นตามที่โรงเรียนกำหนด
ออกจากเพรบแล้วเป็นเวลากีฬาไปจนเย็น
การรับประทานอาหารว่างยามบ่ายที่เรียกว่า
"กินน้ำชาบ่าย"
แบบอังกฤษ
จึงหายไปจากวชิราวุธวิทยาลัยตั้งแต่บัดนั้น
เมื่อไม่มีอาหารว่างให้รับประทานในยามบ่าย
นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยในยุคผู้บังคับการพระยาปรีชานุสาสน์ต่อเนื่องมาจนถึงยุคพระพณิชยสารวิเทศ
(ผาด มนธาตุผลิน) จึงต้องฝากท้องไว้กับ
"ขนมปังไส้ไก่" ของ
"แม่เนื่อง"
ภรรยาคนงานที่บ้านพักริมสนามหลัง (บริเวณที่เป็นที่ตั้งอาคารอัศวพาหุในปัจจุบัน)
 |
เรือนจากที่ริมคูน้ำด้านทิศเหนือ
มองเห็นร้านเจ๊กเฉ่าทางด้านขวาของภาพ |
ต่อมาในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
ท่านผู้บังคับการพระยาภะรตราชาได้จัดให้นักเรียนมีช่วงพักรับประทานอาหารว่างในระหว่างคาบเรียนที่
๓ และ ๔ หรือระหว่างเวลา ๑๐.๕๐ - ๑๑.๑๕ น.
ของวันจันทร์ - เสาร์
และช่วงหลังจากสวดมนต์ทำวัตรเช้าในวันอาทิตย์
อาหารว่างที่กลายเป็นอาหารมื้อหลักของนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยในช่วงเวลานั้น
มีทั้งข้าวราดแกงเจ๊กโย่ง ก๋วยเตี่ยวลูกชิ้นน้ำใส
ขนมปังต่างๆ ที่ขึ้นชื่อเห็นจะได้แก่สโนว์บอล์
ซึ่งเป็นขนมปังก้อนมีไส้แยมสตอเบอร์รี่เคลือบผิวด้วยน้ำตาลไอซ์ซิ่ง
ส่วนน้ำดื่มนั้นมีน้ำอัดลมยี่ห้อไบร์เลย์และอาร์ซี
โคล่า ยืนพื้น
ร้านขายน้ำอัดลมนั้นเป็นห้องมีบานปิดมิดชิดอยู่ทางด้านปลายเรือนจากด้านทิศตะวันตกริมสระน้ำ
คนขายน้ำอัดลมนั้นชื่อ นายเชาว์
แต่นักเรียนนิยมเรียกว่า "เจ๊กเฉ่า"
เพราะหน้าตาแกจัดอยู่ในประเภทบอกบุญไม่รับ
นอกจากนั้นเจ๊กเฉ่ายังมักจะสร้างศัตรูกับนักเรียนด้วยเหตุที่ไม่ยอมให้นักเรียนซื้อน้ำอัดลมหรือขนมเป็นเงินเชื่อ
เพราะมักจะทวงถามไม่ได้
 |
กิจกรรมถล่มเจ๊กเฉ่าตอนปลายปีการศึกษา
(ภาพวาดผลงาน ไตรธวัช ศีติสาร รุ่น ๔๖) |
ด้วยอัธยาศัยที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับนักเรียนนี้เอง
เจ๊กเฉ่าจึงมักจะถูกลงโทษ
ด้วยคำสั่งของหัวหน้านักเรียนให้นักเรียนงดเว้นการอุดหนุนสินค้าของเจ๊กเฉ่า
จนเจ๊กเฉ่ายอมอ่อนข้อให้ทุกอย่างจึงกลับมาเหมือนเดิม
แต่ปฏิบัติการจองเวรของนักเรียน
ที่ถ่ายทอดเป็นพันธุกรรมต่อเนื่องกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
คือช่วงปลายปีการศึกษาของทุกปีจะมีประเพณี
"ปาเจ๊กเฉ่า"
ในยามวิกาล
คือการน้ำก้อนหินไปปาหลังคาเรือนจากในเวลากลางดึก
เพื่อล่อให้เจ๊กเฉ่าซึ่งนอนเฝ้าสินค้าอยู่ในร้านออกมาวิ่งไล่นักเรียนซึ่งเป็นกองหน้า
จากนั้นนักเรียนที่เป็นกองหลังก็จะบุกเข้าโจรกรรมน้ำอัดลมและขนมออกจากร้านเจ็กเฉ่าเป็นเช่นนี้ทุกปี
บางปีขนลังน้ำอัดลมไม่ทันก็ใช้วิธีโยนลงไปในคูน้ำข้างเรือนจาก
ซึ่งเมื่อจะสร้างตึกรามจิตติหลังนอกคร่อมลงไปบนคูน้ำติดกับเรือนจากเก่านั้น
คนงานในโรงเรียนเล่าให้ฟังว่า
พอสูบน้ำออกแล้วพบน้ำอัดลมหลายลังที่ยังไม่ได้เปิดดื่มจมอยู่ในโคลน
 |
อาคารอินดอร์สเตเดียมหลังเก่า
อาคารทางขวาคือ ตึกประชาธิปก |
เมื่อเรือนจากในตำนานนั้นถูกรื้อทิ้งไปใน พ.ศ.
๒๕๒๕
เพื่อก่อสร้างอาคารโสตทัศนูปกรณ์หรือปัจจุบันคือ
ตึกรามจิตติหลังในแล้ว
โรงอาหารหรือที่เรียกกันติดปากว่า
เรือนจากได้ย้ายไปอยู่ที่เรือนไม้เก่า
ริมคูน้ำด้านทิศใต้ทางด้านหลังโรงยิมเก่า
เมื่อรื้อโรงยิมเก่าเพื่อสร้างตึกประชาธิปกจึงย้ายโรงอาหารว่างไปปลูกสร่งเป็นเรือนชั่วคราวที่ด้านหลังอาคารอินดอร์สเตเดียวหลังเดิม
แต่เพราะเจ๊กเฉ่านั้นเป็นเสมือนสัญลักษณ์คู่กับเรือนจากมาช้านาน
นอกจากนักเรียนจะเรียกโรงอาหารว่างเรือนจากซึ่งเป็นชื่อดั้งเดิมแล้ว
ในระยะหลังยังมีคำเรียกขานว่า "เจ๊กเฉ่า"
แล้วกร่อนมาเป็น "เฉ่า"
เพียงพยางค์เดียว
จนในที่สุดคำว่าเรือนจากก็หายไปจากสารบบของนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
และมีคำว่า "เฉ่า"
มาแทนที่ในความหมายของโรงอาหารว่าง
ภายหลังจากที่โรงเรียนรื้ออาคารอินดอร์สเตเดียวหลังเก่าลง
แล้วสร้างอาคารอินดอร์สเตเดียมหลังใหม่ขึ้นแทนที่
ก็ได้ผนวกเอาโรงอาหารว่างเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินดอร์สเตเดียมหลังใหม่
แต่นักเรียนก็ยังคงเรียกโรงอาหารว่างนี้ว่า
"เฉ่า" ต่อๆ กันมา
คงมีแต่นักเรียนเก่ายุคพระยาภะรตราชาเท่านั้นที่ยังเรียกโรงอาหารว่างนั้นว่า
"เรือนจาก"
แม้เรือนจากนั้นจะแปรสภาพเป็นตึกหลังใหญ่ไปแล้วก็ตาม