เมื่อประเทศไทยเริ่มจัดระเบียบกรมกองทหารตามแบบกรมกองทหารของกองทัพชาติตะวันตกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว
ไทยเราก็ได้รับเอาคำเรียกตำแหน่งต่างๆ
ในกองทัพมาใช้ในกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์หรือปัจจุบันคือ
กรมทหารราบที่ ๑
มหาดเล็กรักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นหน่วยแรก
ในระยะแรกของการจัดระเบียบกรมกองทหารนั้น
คงใช้คำเรียกตำแหน่งและยศนายทหารตามคำศัพท์ภาษาอังกฤษ
เช่น คอมมานดิงอินชีฟ (Commanding in Chief)
คอลอแนล (Colonel) เมเจอร์ (MaJor) เปย์ซายันต์
(Pay Sergeant) ฯลฯ
ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งกรมยุทธนาธิการและจัดระเบียบกองทัพเป็นกรมทหารบก
๗ กรม และกรมทหารเรือ ๒ กรม ใน พ.ศ. ๒๔๓๐ แล้ว
จึงมีการแปลชื่อยศและตำแหน่งจากภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทย
เช่น คอลอแนล แปลเป็น นายพันเอก
และคอมอมนดิงอินชีฟ แปลเป็น ผู้บังคับการ
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษและเสด็จพระราชดำเนินนิวัตประเทศไทยใน
พ.ศ. ๒๔๔๕ แล้ว ก็ได้ทรงร่วมกับนายพลโท
พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช (จอมพล
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช)
ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ และนายพันเอก
พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ
กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ (จอมพล สมเดจพระอนุชาธิราช
เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ)
เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก
และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในกรมยุทธนาธิการในเวลานั้น
จัดวางระเบียบกองทัพบกสยามเป็น ๑๐ กองพล
กระจายกำลังไปทั่วราชอาณาจักร
จึงทำให้เกิดตำแหน่งใหม่ในกองทัพบก คือ
ผู้บัญชาการกองพล มียศเป็นนายพลตรี
จากนั้นมาจึงมีการวางลำดับตำแหน่งยศในกองทัพบกเป็นมตรฐานสืบมาถึงทุกวันนี้
คือ
ผู้บัญชาการ
เป็นตำแหน่งยศสำหรับนายทหารชั้นนายพลตรี
หรือสูงกว่า
มีหน้าที่บังคับบัญชาหน่วยทหารระดับกองพลหรือเทียบเท่า
ผู้บังคับการ
เป็นตำแหน่งยศสำหรับนายทหารชั้นนายพันเอก
มีหน้าที่บังคับบัญชาหน่วยทหารระดับกรมหรือเทียบเท่า
ผู้บังคับกองพัน
เป็นตำแหน่งยศสำหรับนายทหารชั้นพันโท
หรือนายพันตรี
มีหน้าที่บังคับบัญชาหน่วยทหารระดับกองพันหรือเทียบเท่า
ผู้บังคับกองร้อย
เป็นตำแหน่งยศสำหรับนายทหารชั้นนายร้อยเอก
หรือนายร้อยโท
มีหน้าที่บังคับบัญชาหน่วยทหารระดับกองร้อยหรือเทียบเท่า
ฯลฯ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อทรงตั้งกองเสือป่าขึ้นแล้ว
ก็ทรงนำคำเรียกตำแหน่งทางทหารมาใช้ในราชการเสือป่า
เช่น คำว่า
ผู้บังคับการใช้กับตำแหน่งผู้บังคับบัญชาหน่วยเสือป่าระดับกรม
ผู้บังคับกองพันและกองร้อยใช้กับตำแหน่งผู้บังคับบัญชาหน่วยเสือป่าระดับกองพันและกองร้อยลดหลั่นกันลงไปตามลำดับ
และเมื่อโปรดเกล้าฯ
ให้จัดรวมกรมกองเสือป่าเป็นกองเสนา แล้ว
ก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้เรียกตำแหน่งผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองเสนานั้นว่า
ผู้บัญชาการกองเสนา
ส่วนในฝ่ายราชสำนักนั้น พบว่า
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้กำหนดตำแหน่งผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกรมมหรสพเป็น
ผู้บัญชาการกรมมหรสพ นอกจากนั้นยังพบว่า
ได้โปรดเกล้าฯ ให้ใช้คำว่าผู้บัญชาการกับสถานศึกษา
คือ ผู้บัญชาการโรงเรียนราชแพทยาลัย
ผู้บัญชาการโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามลำดับ สำหรับคำว่า
ผู้บังคับการในสถานศึกษานั้น
มีเฉพาะที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
โรงเรียนราชวิทยาลัย
และโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่
ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์
อนึ่ง
เมื่อมีการกำหนดชื่อตำแหน่งผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารเป็นผู้บัญชาการ
และผู้บังคับการแล้ว
ก็ได้มีการกำหนดคำเรียกชื่อสำนักงานของผู้บัญชาการว่า
กองบัญชาการ และสำนักงานของผู้บังคับการว่า
กองบังคับการ
ฉะนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เรียกตำแหน่งบังคับบัญชาของส่วนราชการฝ่ายพลเรือนเป็นผู้บัญชาการและผู้บังคับการ
คำว่ากองบัญชาการและกองบังคับการจึงถูกนำมาใช้กับสำนักงานผู้บังคับบัญชาในฝ่ายพลเรือนด้วย
กล่าวสำหรับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
เมื่อแรกพระราชทานกำเนิดโรงเรียนนั้น
ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของโรงเรียนยังเรียกว่า
อาจารย์ใหญ่ จนเมื่อโปรดเกล้าฯ
ให้ยกกองลูกเสือหลวงขึ้นเป็นกรมนักเรียนเสือป่าหลวงใน
พ.ศ. ๒๔๕๗ และโปรดเกล้าฯ
ให้อาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงเป็นผู้บังคับการกรมนักเรียนเสือป่าหลวงโดยตำแหน่งแล้ว
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๘ ได้โปรดเกล้าฯ
ให้เปลี่ยนนามตำแหน่งอาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงเป็นผู้บังคับการโรงเรียน
สำนักงานอาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงจึงเปลี่ยนมาเรียกว่า
กองบังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงมาแต่บัดนั้น
กองบังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงซึ่งเป็นที่ทำการของผู้บังคับการ
ปลัดกรม และสมุห์บัญชีของโรงเรียน โดยมีนายเวรต่าง
เป็นผู้ช่วยนั้น
ในระยะแรกคงตั้งอยู่ที่เรือนไม้หลังคาจากซึ่งเป็นอาคารชั่วคราวในระยะแรกตั้งโรงเรียน
ต่อเมื่อคณะข้าราชดารกรมราชเลขาตุการได้ร่วมกับริจาคทุนทรัพย์เนื่องในการบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายแด่พระเจ้าบรมวงศฺเธอ
กรมพระสมมตอมรพันธ์ ราชเลขานุการซึ่งสิ้นพระชนม์ใน
พ.ศ. ๒๔๕๘ โดยจัดส้าง "กุฏิสมมต"
เป็นเรือนไม้ชั้นเดียวที่ริมสระน้ำด้านทิศตะวันตก
ระหว่างโรงเรียนหลังที่ ๑ (ปัจจุบันคือ
คณะผู้บังคับการ) กับโรงเรียนหลังที่ ๒
(ปัจจุบันคือ คณะดุสิต)
ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งสระว่ายน้ำ
ไว้ในโรงเรียนมหาดเล็กหลวงแล้ว
กองบังคับการโรงเรียนจึงได้ย้ายไปทำการอยู่ที่กุฏิสมมต
จนรวมโรงเรียนเป็นวชิราวุธวิทยาลัยใน พ.ศ. ๒๔๖๙
แล้ว
กองบังคับการโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยก็ยังคงทำการอยู่ที่กุฏิสมมตต่อมา
 |
กุฏิสมมต |
กุฏิสมมตคงได้ใช้เป็นกองบังคับการวชิราวุธวิทยาลัยเรื่อยมา
จนพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำผาติกรรมด้วยการสร้างตึกพยาบาลขึ้นแทน
"พระตำหนักสมเด็จ" หรือตึกพยาบาลเดิมที่โปรดเกล้าฯ
ให้รื้อไปสร้างเป็นกุฏิสงฆ์วัดราชาธิวาส
และเมื่อวชิราวุธวิทยาลัยได้สร้างอาคารเรียนวิทยาศาสตร์หลังใหม่เป็นตึกชั้นเดียวสีเหลืองหลังคามุงกระเบื้องที่ด้านทิศใต้ของหอประชุมขึ้นแล้ว
กองบังคับการวชิราวุธวิทยาลัยก็ได้ย้ายมาทำการอยู่ที่ตึกเหลืองข้างหอประชุม
 |
ตึกวิทยาศาสตร์เก่า (ในวงกลมสีน้ำเงิน)
ซึ่งเคยใช้ส่วนหนึ่งเป็นกองบังคับการวชิราวุธวิทยาลัย |
 |
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ในพิธีเปิดอาคารกองบังคับการและพิพิธภัณฑ์ของโรงเรียน
เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ |
ต่อมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่
๒ พระยาภะรตราชา (ม.ล.ทศทิศ อิศรเสนา)
ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยในขณะนั้นได้มีดำริว่า
"พิพิธภัณฑ์โรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญอันหนึ่งที่จะส่งเสริมการศึกษา
โรงเรียนจึงหาทางคิดสร้างขึ้นและจะต้องเป็นอาคารที่กว้างขวางพอสมควร
เพื่อจะได้สามารถจัดวัตถุต่างๆ
เข้าเป็นหมวดหมู่ตามสภาพธรรมชาติและประเภทวิชา
หม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ
ทรงออกแบบและกำหนดราคาค่าก่อสร้างไว้ประมาณ
๗๐๐,๐๐๐ บาท เนื่องจากเงินมีไม่พอ
โรงเรียนจึงได้จัดเก็บแผนผังนั้นไว้
และพยายามหาเงินเอง
สะสมอยู่เป็นเวลาพอสมควรรวมเงินได้
๓๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อเรียกสองราคา
ผู้รับเหมาคิดราคาค่าก่อสร้างเป็นเงิน
๖๗๐,๐๐๐ บาท
สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยจึงได้เอื้อเฟื้อบริจาคเงินช่วยอีก
๓๗๐,๐๐๐ บาท การก่อสร้างจึงเป็นผลสำเร็จ" [๑] |
 |
กองบังคับการเก่า |
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถ
เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดอาคารพิพิธภัณฑ์โรงเรียนนี้เมื่อวันที่
๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๙
แต่เนื่องจากในระยะแรกของการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์โรงเรียนนั้น
"วัตถุที่แสดงมีน้อย
ชั้นล่างว่างอยู่จึงจะใช้เป็นห้องประชุม,
ที่ทำการของโรงเรียน และห้องพักครูไปพลางก่อน
เมื่อมีของตั้งแสดงมากขึ้นจะได้ย้ายกิจการชั้นล่างไปตั้งที่อื่นต่อไป"
[๒]
จากนั้นมาวชิราวุธวิทยาลัยก็ได้ใช้พื้นที่ชั้นล่างของอาคารพิพิธภัณฑ์โรงเรียนเป็นกองบังคับการตลอดมา
แม้ในสมัยศาสตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา
เป็นผู้บังคับการ
จะมีดำริและเตรียมการจัดพื้นที่ชั้นที่ ๒
ของอาคารโสตทัศนูปกรณ์ ริมสนามบาสเกตบอล
(ตรงบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งโรงขายอาหารว่างหรือ
"เรือนจาก") เป็นกองบังคับการใหม่ของโรงเรียน
แต่ก็มิได้ย้ายไปจนถึงสมัยที่ศาสตราจารย์
ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช
มาดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยใน พ.ศ.
๒๕๓๙ แล้ว
จึงได้ขอสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานพระคลังข้างที่จัดสร้างอาคารกองบังคับการขึ้นใหม่เป็นตึกสามชั้นคู่กับอาคารโสตทัศนูปกรณ์เดิม
แล้วได้ย้ายกองบังคับการมาเปิดทำการที่อาคารแห่งใหม่ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า
"อาคารรามจิตติ"
ส่วนตึกกองบังคับการเดิมได้ใช้เป็นศูนย์คอมพิวเตอร์และห้องพักครูต่อมาจนถึง
พ.ศ. ๒๕๕๖
จึงรื้ออาคารกองบังคับการเดิมลงเพื่อปรับพื้นที่เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารเอนกประสงค์ซึ่งได้รับพระราชทานชื่อว่า
"นวมภูมินทร์"