เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติในวันที่ ๒๓ ตุลาคม
พ.ศ. ๒๔๕๓ แล้ว
ก็ทรงนำรูปวชิราวุธที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ทรงพระดำริไว้มาใช้ประกอบในเครื่องหมายและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นในรัชกาล
เริ่มจากวันที่ ๑ มกราคม ร.ศ. ๑๒๙ (พ.ศ.
๒๔๕๓)
[๑]
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา "พระราชกำหนดเครื่องแต่งตัวข้าราชการพลเรือนในพระราชสำนักนิ์"
ซึ่งในพระราชกำหนดฉบับนี้ได้โปรดเกล้าฯ
ให้ข้าราชการพลเรือนในพระราชสำนักใช้หมวกแก๊ปทรงหม้อตาลในเวลาแต่งเครื่องแบบครึ่งยศหรือปกติ
ที่หน้าหมวกแก๊ปนั้นทรงกำหนดให้มีเข็มรูปพระวชิราวุธแนวนอนมีพระมหามงกุฎพร้อมอุณาโลมอยู่เหนือ
เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ข้าราชสำนักเปลี่ยนมาใช้หมวกหนีบ
ก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้ติดเข็มพระมหามงกุฎเหนือวชิราวุธที่ขวาหมวก
ซึ่งปัจจุบันนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยก็ยังคงใช้หมวกหนีบติดเข็มดังกล่าวสืบมาจนถึงปัจจุบัน
และในยุคที่พระยาภะรตราชา (ม.ล.ทศทิศ อิศรเสนา)
เป็นผู้บังคับการวชิราวิทยาลัย
ยังได้กำหนดให้นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยพิมพ์ตราพระมหามงกุฎเหนือวชิราวุธที่กระเป๋าเสื้อนักเรียนตามสีคณะสืบมาจนถึงปัจจุบันด้วย
 |
แถวมหาดเล็กเชิญเครื่องอิสริยราชูปโภค
แต่งเครื่องแบบครึ่งยศ
สวมหมวกแก๊ปมีตราหน้าหมวกรูปวชิราวุธแนวนอนมีพระมหามงกุฎอุณาโลมอยู่เหนือ |
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดสร้างเข็มวชิราวุธ
และใช้รูปวชิราวุธประกอบในเหรียญราชอิสริยาภรณ์ตามลำดับ
ดังนี้
๑. เข็มข้าหลวงเดิม
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้
"พระราชบัญญัติเข็มข้าหลวงเดิม"
มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ร.ศ. ๑๓๐
(พ.ศ. ๒๔๕๔)
 |
(ซ้าย) เข็มข้าหลวงเดิม
รูปวชิราวุธคมเงินด้ามทอง
(ขวา) นายกองตรี พระยาภะรตราชา (หม่อมหลวงทศทิศ
อิศรเสนา)
ประดับเข็มข้าหลวงเดิมที่อกเสื้อเบื้องซ้าย |
เข็มข้าหลวงเดิมนี้
มีลักษณะเป็นเข็มรูปวชิราวุธแนวตั้ง คมเงินด้ามทอง
ใช้ติดที่อกเสื้อเบื้องซ้าย
สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบแก่ผู้ที่ได้รับราชการในพระองค์มาตั้งแต่ก่อนเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ
และคงรับราชการสนองพระเดชพระคุณสืบมาในรัชสมัย
โดยผู้ที่อยู่ในข่ายได้รับพระราชทานเข็มข้าหลวงเดิมนี้
จะต้องมีคุณลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
(ก)
ผู้ที่ได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมตั้งแต่ก่อนได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ
(ข)
ถึงแม้มิได้ถวายตัวมีดอกไม้ธูปเทียนก็ตาม
ถ้าแม้ได้ทรงใช้สอยอย่างข้าในกรมก็ใช้ได้
(ค) ผู้ที่ได้กระทำราชการ
มีตำแหน่งประจำใกล้ชิดพระองค์เมื่อครั้งดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระยุพราช
(ง) เป็นผู้ที่ยังคงรับราชการอยู่ในรัชสมัย
หรือได้รับราชการมาแล้วโดยไม่มีความผิด
เข็มข้าหลวงเดิมนี้
เมื่อแรกพระราชทานมีแต่เฉพาะฝ่ายหน้า ตัวเข็มสูง
๗.๗ เซนติเมตร ต่อมาวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๓
ได้โปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศ "กฑเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเข็มข้าหลวงเดิม
พระพุทธศักราช ๒๔๕๔"
โดยโปรดเกล้าฯ
ให้เพิ่มเติมเข็มข้าหลวงเดิมสำหรับสตรี มีขนาดสูง
๕.๕ เซนติเมตร
พระราชทานเป็นเครื่องเชิดชูเกียรติยศแก่ข้าราชบริพารฝ่ายในที่เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาแต่ก่อนเสด็จเสวยราชย์สมบัติ
อนึ่งนอกจากเข็มข้าหลวงเดิมที่โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระราชทานแก่ข้าราชบริพารทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในแล้ว
ยังได้โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างเข็มวชิราวุธแบบคมเดี่ยวแนวตั้งขนาด ๓.๕
เซนติเมตร .ด้วยโลหะสีเงิน
ใช้ประดับที่บ่าเสื้อนายเสือป่าเป็นเครื่องหมายว่า
ผู้ที่ประดับเข็มนี้เป็นผู้ที่สังกัดในกองร้อยหลวงหรือกองร้อยที่
๑
ของกรมเสือป่าที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้บังคับการพิเศษ
๒. ตราวชิรมาลา
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา "พระราชบัญญัติตราวชิรมาลา"
เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๓๐
และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
(๔ มิถุนายน ร.ศ. ๑๓๐)
ตราวชิรมาลานี้ มีรูปพรรณและเครื่องหมาย
เป็นรูปวชิราวุธ คมเงิน ด้ามทอง
กลางด้ามลงยาราชาวดีสีขาบ มีรัศมีเป็นทองโปร่งรอบ
ขอบเป็นรูปปทุมลงยาราชาวดี ขอบในสีขาบ กลีบสีขาว
กนกรอบนอกสีชมพู ข้างบนเป็นเข็มทองคำจารึกอักษรว่า
"ราชการในพระองต์"
ห้อยแพรแถบริ้วเหลืองกับดำ
ใช้ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย
ตราวชิรมาลานี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานแก่ผู้ที่ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณในพระองค์
และรัชทายาทแบละราชตระกูลโดยความจงรักภักดี
ที่จะให้เป็นุณเป็นประโยชน์
เป็นพระเกียรติยศในพระองค์ แลราชตระกูล
เป็นการปรากฏก็ดี ไม่ปรากฏก็ดี
โดยทรงพระราชวินิจฉัยด้วยพระองค์
ผู้หนึ่งผู้ใกจะมาเกี่ยวข้องแนะนำว่า
ผู้นั้นผู้นี้ควรจะได้รับไม่ได้เลยเป็นอันขาด
นอกจากจะพระราชทานตราวชิรมาลาเป็นบำเหน็จความชอบแก่บุคคลแล้ว
ใน พ.ศ. ๒๔๕๔ ยังได้โปรดเกล้าฯพระราชทานตรานี้ประดับที่ยอดธงประจำกองลูกเสือกรุงเทพฯที่
๑ (ลูกเสือหลวง) และต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๘
ได้พระราชทานตรานี้ประดับที่ยอดธงประจำกองลูกเสือมณฑลปัตตานี
มณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลภูเก็ต และมณฑลกรุงเทพฯ
ตามลำดับ
๓. เหรียญจักรพรรดิมาลา
เป็นเหรียญที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นตั้งแต่วันที่
๓ มีนาคม ร.ศ. ๑๑๔ (พ.ศ. ๒๔๓๘)
สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบแก่ผู้ปฏิบัติราชการดีทั่วไปไม่มีกำหนดขีดคั่นแต่อย่างใด
แต่ตามพระราชนิยมที่พระราชทานในชั้นหลังนั้น
สำหรับพระราชทานผู้ที่ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรขุนนางครบ
๒๘ ปี
เป็นบำเหน็จที่รับราชการยั่งยืนมั่นคงนานทำนองเดียวกันกับเหรียญจักรมาลา
ที่พระราชทานแก่นายทหารซึ่งรับราชการครบกำหนด ๑๕
ปี
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเสวยสิริราชสมบัติแล้ว
ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตรา "พระราชบัญญัติเหรียญจักรพรรดิมาลา
รัตนโกสินทรศก ๑๓๐"
เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ร.ศ. ๑๓๐ (พ.ศ. ๒๔๕๔)
 |
พระราชบัญญัติเหรียญจักรพรรดิมาลา
รัตนโกสินทรศก ๑๓๐ นี้
ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบเหรียญจักรพรรดิมาลาเป็นเหรีญเงินมีสัฯฐานเป็นรูปจักร
ด้านหน้ามีรูปพระครุฑพาหอยู่ในวงจักร
ด้านหลังมีรูปช้างอยู่ในวงจักร
มีอักษรจารึกที่วงรอบว่า "บำเหน็จแห่งความยั่งยืนแลมั่นคงในราชการ"
ข้างบนเหรียญมีเข็มวชิราวึธห้อยกับแพรแถบสีแดง
ขอบสีเหลืองกับสีเขียว
มีเข็มเงินเบื้องบนแรแถบจารึกอักษรว่า ราชสุปรีย
สำหรับติดที่อกเสื้อเบื้องซ้าย
เหรียญนี้สำหรับพระราชทานแก่ข้าราชการฝ่ายพลเรือนที่ได้รับราชการมาไม่น้อยกว่า
๒๕ ปี
นับตั้งแต่ได้เข้ารับราชการมีตำแหน่งหน้าที่มา
ผู้ที่ออกจากตำแหน่งประจำการแล้วไม่นับ
ต่อจากนั้นยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สอดรูปคมวชิราวุธในดวงดาราและเข็มของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นในภายหลังอีกหลายครั้ง ดังนี้
๑.
ดวงดาราเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมกุฎไทย
ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ
๒. เข็มกล้ากลางสมร
ที่ประดับบนแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
๓. เครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนวราภรณ์
บำเหน็จความชอบในพระองค์ทั้งแบบที่ ๑ และ ๓