ตึกวชิรมงกุฎ
หรือที่เรียกกันอย่างลำลองว่า ตึกขาว
เพราะตัวตึกเป็นสีขาวนี้
เป็นอาคารเรียนถาวรหลังใหญ่ของวชิราวุธวิทยาลัยที่สร้างขึ้นการกทดแทนเรือนไม้หลังคาจากด้านทิศเหนือของคณะจิตรลดา
ที่สร้างขึ้นาตั้งแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ
ให้โรงเรียนชั่วคราวขึ้นที่สวนกระจังใน พ.ศ. ๒๔๕๓
และได้ใช้เป็นอาคารเรียนของโรงเรียนมาตั้งแต่วันที่
๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๔
ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
สภากรรมการจัดการวชิราวุธวิทยาลัย
คราวประชุมครั้งที่ ๑๗ เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ.
๒๔๗๒ ได้ประชุมพร้อมกัน
"...มีความเห็นว่า
เวลานี้โรงเรียนยังขาดที่สำคัญอยู่อย่างเดียว
คือ สถานที่เล่าเรียน
เพราะห้องเรียนเก่าสร้างมาตั้งแต่สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ต้องเปลี่ยนจากมุงหลังคากันเรื่อยมาเนืองๆ
เป็นการเปลืองที่น่าเสียดายอยู่บ้าง
ยังซ้ำตัวห้องเรียนเองก็เริ่มจะชำรุดอยู่หลายแห่ง
ถ้าคงไว้น่าจะต้องซ่อมใหญ่ในไม่ช้า
จึงเห็นว่าถึงเวลาที่แล้วที่จะสร้างสถานที่เล่าเรียนให้เป็นถาวรเสียที..."
[๑] |
 |
พระสาโรชรัตนนิมมานก์ (สาโรช ร. สุขยางค์)
และหลวงวิศาลซิลปกรรม (เชื้อ ปัทมจินดา)
สถาปนิกผู้ออกแบบตึกวชิรมงกุฎ |
สภากรรมการฯ
จึงได้มอบหมายให้พระสาโรชรัตนนิมมานก์ (สาโรช
ร.สุขยางค์) และหลวงวิศาลศิลปกรรม (เชื้อ
ปัทมจินดา) สถาปนิกของกระทรงธรรมการ
จัดการออกแบบก่อสร้างอาคารเรียนถาวรขนาด ๑๖
ห้องเรียน ขึ้นที่ริมสระน้ำ ด้านหลังหอสวด
(หอประชุม)
กำหนดให้ตัวอาคารทอดยาวไปตามแนวทิศเหนือ - ใต้
หันหน้าออกไปทางทิศตะวันออกเช่นเดียวกับหอสวด
ส่วนรูปลักษณ์ของอาคารกำหนดให้เป็นเป็นตึกทรงไทยสองชั้น
ตัวอาคารมีมุขหน้าและมุขหลังที่ตอนปลายรับกับหอสวดที่ด้านหน้า
หลังคาเป็นหลังคาลดสามชั้น มีช่อฟ้าใบระกา
หางหงส์พร้อมสรรพ
หน้าบันมุขหน้าเป็นลายปูนปั้นรูปพระวชิระคมประดับกระจกประดิษฐานเหนือพานแว่นฟ้า
มุขหลังเป็นปูนปั้นลายใบเทศ
เพื่อให้สอดรับกับหอสวดที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างขึ้นไว้ตั้งแต่คราวเลิมพระชนม์พรรษา
๓ รอบ มโรงนักษัตร (๑ มกราคม ๒๔๕๙)
 |
หอสวด (หอประชุม)
มองเห็นมุขด้านทิศใต้และเหนือของตึกวชิรมงกุฎที่ด้านหลัง |
ในชั้นต้นสถาปนิกประมาณราคาค่าก่อสร้างไว้ ๑๕๐,๐๐๐
บาท
แต่โรงเรียนมีเงินทุนที่พอจะเบิกจ่ายมาใช้ในการก่อสร้างได้เพียง
๗๐,๐๐๐ บาท สภากรรมการจัดการฯ
จึงได้นำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระมหากรุณากู้ยืมเงินจากกระทรวงพระคลังมหาสมบัติเป็นจำนวน
๑๕๐,๐๐๐ บาท เพื่อใช้ในการก่อสร้างอาคารเรียนถาวร
กำหนดจะผ่อนใช้คืนกระทรวงพระคลังมหาสมบัติปีละ
๑๖,๐๐๐ บาท
โดยขอพระราชทานยกเว้นดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษ
 |
อภิรัฐมนตรีสภาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว |
อภิรัฐมนตรีสภาหรือสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินพิจารณาแล้วไม่ให้ความเห็นชอบการกู้ยืมเงินรายนี้
สภากรรมการจัดการฯ
จึงได้มีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเหลือจ่ายของโรงเรียนที่สะสมไว้ได้
๕๐,๐๐๐ บาท รวมกับเงินทุนที่มีอยู่แล้ว ๗๐,๐๐๐ บาท
เป็นทุนในการก่อสร้างอาคารเรียนถาวร
และได้ขอให้สถาปนิกปรับลดขนาดอาคารเรียนลงตามวงเงินงบประมาณที่มีอยู่เพียง
๑๒๐,๐๐๐ บาท
เมื่อสถาปนิกปรับแก้แบบก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
จึงได้เริ่มก่อสร้างอาคารเรียนถาวรขนาด ๑๒
ห้องเรียน เป็นตึกก่ออิฐถือปูน
โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก
หลังคาเป็นโครงไม้มุงกระเบื้องเคลือบสี
ที่มุขปลายอาคารทั้งสองข้างมีบันไดขึ้นสูตัวอาคารทั้งด้านหน้าและด้านหลังมุขละ
๔ บันได
 |
ซุ้มเรือนแก้วประดิษฐานนูปหล่อพระมนูแถลงสารที่ผนังตอนกลางกลางอาคาร |
ตอนกลางอาคารมีบันไดขึ้นสู่ชั้นล่างของอาคาร
เชื่อมต่อกับบันไดหินชัดขึ้นสู่ชั้นสองของอาคาร
ที่ผนังเหนือชานพักบันไดตอนกลางอาคาร
เป็นซุ้มเรือนแก้วประดิษฐานรูปหล่อพระมนูแถลงสาร
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาอนุศาสน์จิตรกร
(จันทร์ จิตรกร) เจ้ากรมช่างมหาดเล็ก
จัดการปั้นหล่อด้วยสัมฤทธิ์และพระราชทานไว้แก่โรงเรียนตั้งแต่
พ.ศ. ๒๔๕๔
การก่อสร้างเริ่มดำเนินมาพร้อมๆ
กับการก่อสร้างตึกพยาบาล
(ปัจจุบันจัดเป็นหอประวัติวชิราวุธวิทยาลัย)
ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชอุทิศพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทำผาติกรรมแก่โรงเรียนมาตั้งแต่ปลาย
พ.ศ. ๒๔๗๓ มาแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม
พ.ศ.๒๔๗๔ โดยนายสง่า วรรณดิษฐ์
ในนามบริษัทสง่าพานิช จำกัด
เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างในวงเงินค่าจ้างเหมา
๑๐๕,๙๐๐ บาท
ในการก่อสร้างตึกวชิรมงกุฎนี้มีเรื่องเล่าในแวดวงช่างรับเหมาไทยว่า
บริษัท สง่าพานิช จำกัด
ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างตึกวชิรมงกุฎนี้
เป็นบริษัทรับเหมาสัญชาติไทยรายแรกที่ได้รับงานก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ในประเทศไทย
เพราะก่อนหน้านั้นงานก่อสร้างขนาดใหญ่ล้วนตกอยู่ในมือผู้รับเหมาต่างชาติทั้งสิ้น
เมื่อการก่อสร้างอาคารเรียนแล้วเสร็จในวันที่ ๔
มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๕ สภากรรมการจัดการฯ
ได้นำความกราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด
แต่เนื่องจากเป็นเวลาที่เพิ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองมาได้ไม่นาน
ประกอบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริทางการเมืองแตกต่างจากคณะราษฎรซึ่งเป็นคณะรัฐบาลในเวลานั้น
ในการเปิดตึก
เรียนและตึกพยาบาลคราวนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าพี่ยาเธอ
กรมขุนชัยนาทนเรนทร (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาชัยนาทนเรนทร)
เสด็จแทนพระองค์ทรงเปิดตึกเรียนถาวรที่ได้พระราชทานนามว่า
"ตึกวชิรมงกุฎ"
เพื่อให้ปรากฏเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระผู้พระราชทานกำเนิดสถาบันการศึกษานี้
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๕
เนื่องในกาพระราชพีฉัตรมงคลซึ่งตรงกับวันที่ ๒๕
กุมภาพันธ์
 |
เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา |
ตึกวชิรมงกุฎนี้ ศาสตราจารย์
พลเรือตรี สมภพ ภิรมย์ ราชบัณฑิต
อดีตอธิบดีกรมศิลปากร และนายกสมาคมสถาปนิกสาม
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เคยชี้แจงให้ผู้เขียนฟังว่า
เป็นตึกทรงไทยสองชั้นหลังแรกที่มีการสร้างขึ้น
และได้เป็นต้นแบบของการก่อสร้างอาคารทรงไทย ๒
ชั้นในเวลาต่อมา และคงจะเป็นเพราะเหตุดังกล่าว
จึงมีเรื่องเล่ากันว่า
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริที่จะพระราชทานเหรียญดุษฏีมาลา
เข็มศิลปวิทยา [๒]
แก่ หลวงวิศาลศิลปกรรม ผู้ร่วมออกแบบ
แต่เนื่องจากในวันนั้นมิได้เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระองค์เอง
หลวงวิศาลศิลปกรรมจึงยังมิได้รับพระราชทาน
และต้องรอมาอีก ๕๐ ปี
จึงได้รับพระราชทานเหรียญดังกล่าวในคราวฉลองกรุงรัตนโกสินทร์
๒๐๐ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕