เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้นแล้ว
ก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้โรงเรียนจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรหลวงของกระทรวงธรรมการ
แต่เพิ่มวิชามหาดเล็กเป็นพิเศษ
เพื่อให้นักเรียนมีทั้งความรู้วิชาสามัญและเรียนรู้การปฏิบัติหน้าที่มหาดเล็กสำหรับการปฏิบัติงานเมื่อสำเร็จการศึกษาไปจากโรงเรียนแล้ว
ต่อมาเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้กระทรวงธรรมการประกาศใช้แผนการศึกษาชาติ พ.ศ.
๒๔๕๖ ซึ่งมีการจัดหลักสูตรการศึกษาของประเทศเป็น
ประถม, มัธยม และอุดมศึกษา
โดยในระดับประถมและมัธยมศึกษานั้นแบ่งซอยออกเป็น
ชั้นประถม ๓ ปี คือ ประถมปีที่ ๑ - ๓
ชั้นมัธยมต้น ๓ ปี คือ มัธยมปีที่ ๑ - ๓
ชั้นมัธยมกลาง ๓ ปี คือ มัธยมปีที่ ๔ - ๖
ชั้นมัธยมปลาย หรือมัธยมบริบูรณ์ คือ มัธยมปีที่ ๗
- ๘
โรงเรียนมหาดเล็กหลวงก็ได้จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรหลวงตั้งแต่ชั้นประถมปีที่
๑ จนถึงมัธยมปีที่ ๘
แต่ในระยะแรกการจัดการศึกษาตามแผนการศึกษาดังกล่าวนั้น
ปรากฏหลักฐานว่า
กระทรวงศึกษาธิการได้รับรองวิทยฐานะของโรงเรียนว่าสูงกว่าของโรงเรียนรัฐบาลมาตั้งแต่
พ.ศ. ๒๔๖๕
ส่วนการเรียนการสอนในชั้นมัธยมปลายหรือมัธยมบริบูรณ์
ซึ่งในสมัยนั้นเปิดสอนเฉพาะแผนกกลาง
กระทรวงศึกษาธิการก็ได้ให้การรับรองวิทยฐานะของโรงเรียนในระดับชั้นมัธยมปีที่
๗
ของโรงเรียนมหาดเล็กหลวงว่าเทียบเท่าการเรียนการสอนของโรงเรียนรัฐบาล
ซึ่งในเวลานั้นโรงเรียนของรัฐบาลเองก็ยังจัดการเรียนการสอนได้เพียงชั้นมัธยมปีที่
๗ เท่านั้น
ทั้งนี้เพราะขาดแคลนทั้งครูผู้สอนและนักเรียนที่จะเล่าเรียน
เหตุที่กระทรวงศึกษาธิการได้ให้การรับรองวิทยฐานะของโรงเรียนมหาดเล็กหลวงมาตั้งแต่
พ.ศ. ๒๔๖๕
เห็นจะเป็นเพราะสายพระเนตรที่ยาวไกลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่ทรงตระหนักถึงประโยชน์ของการศึกษา
ดังกระแสพระราชดำรัสที่พระราชทานไว้ว่า
"ธรรมดาชาติไม่ว่าชาติใด
ชาติเล็กหรือชาติใหญ่
ต้องอาศัยผู้ที่เกิดขึ้นใหม่ที่จะบำรุงชาติให้ถาวรแลให้เจริญต่อไป"
[๑]
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จ้างอาจารย์ปริญญาจากต่างประเทศมาเป็นครูของโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
และเมื่อโรงเรียนขยายการสอนถึงชั้นมัธยมปลาย
ซึ่งตามหลักสูตรกำหนดให้นักเรียนต้องเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ในภาคปฏิบัติ
ก็ได้โปรดเกล้าฯ
พระราชทานพระตำหนักพญาไทที่เดิมเป็นที่ประทับใน
 |
หนังสือรับรองวิทยฐานะโรงเรียนราษฎร์ที่เลขาธิการคณะกรรมข้าราชการพลเรือน
ส่งให้ประธานคณะอนุกรรมการข้าราชพลเรือนกระทรวงศึกษาธิการ
เมื่อวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๐ |
 |
พระตำหนักสมเด็จ
หอเรียนวิชาวิทยาศาสตร์หลังแรกของโรงเรียนมหาดเล็กหลวง |
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี
พันปีหลวง
ให้เป็นหอเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า
โรงเรียนมหาดเล็กหลวงนั้นเป็นโรงเรียนลำดับแรกๆ
ของประเทศไทยที่มีห้องปฏิบัติการวิชาวิทยาศาสตร์ให้นักเรียนใช้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
แม้จะมีการยุบรวมโรงเรียนราชวิทยาลัยเข้ากับโรงเรียนมหาดเล็กหลวงและพระราชทานนามให้ใหม่ว่า
"โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย" เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ แล้ว
วชิราวุธวิทยาลัยก็ยังคงรักษามาตรฐานการเรียนการสอนตามพระบรมราโชบายในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อมาจนมีการยุบเลิกการเรียนการสอนชั้นมัธยมปลายในโรงเรียนสามัญตามแผนการศึกษาชาติ
พ.ศ. ๒๔๗๙
ที่กำหนดให้โรงเรียนสามัญเปิดสอนเพียงชั้นมัธยมปีที่
๖
ส่วนนักเรียนที่ประสงค์จะศึกษาต่อในระดับชั้นอุดมศึกษาก็ให้ไปศึกษาต่อในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาหรือเตรียมมหาวิทยาลัยต่างๆ
เช่น เตรียมมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
เตรียมแพทยยศาสตร์ เตรียมนายร้อย เตรียมนายเรือ
ฯลฯ
อนึ่ง
เนื่องจากโรงเรียนต้องหยุดการเรียนการสอนชั้นมัธยมปลายมาตั้งแต่
พ.ศ. ๒๔๘๒ อีกทั้งในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒
ทางราชการได้ยืมใช้สถานที่ของโรงเรียนเป็นที่ทำการของส่วนราชการบางหน่วย
รวมทั้งเป็นค่ายกักกันชนชาติศัตรู
ในช่วงเวลานี้จึงปรากฏว่า
ทรัพย์สินของโรงเรียนได้รับความเสียหายไปเป็นจำนวนมาก
ซึ่งคงจะรวมถึงอุปกรณ์การเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ที่สูญหายไปมากในช่วงเวลานั้น
ดังนั้นเมื่อกระทรวงศึกษาธิการได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการศึกษา
ให้โรงเรียนสามัญกลับมาเปิดสอนในระดับชั้นมัธยมปลายอีกครั้งในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่
๒
โดยกำหนดให้โรงเรียนชายเปิดสอนเฉพาะแผนกวิทยาศาสตร์
ส่วนโรงเรียนสตรีคงได้รับอนุญาตให้เปิดสอนเฉพาะแผนกอักษรศาสตร์
และวชิราวุธวิทยาลัยได้กลับมาเปิดการเรียนการสอนในชั้นเตรียมอุดมศึกษาปีที่
๑ - ๒ (ชั้นมัธยมปีที่ ๗ - ๘ เดิม) อีกครั้งใน
พ.ศ. ๒๔๘๙
ก็ได้จัดการเรียนการสอนเฉพาะแผนกวิทยาศาสตร์ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ
โดยใช้อุปกรณ์และเครื่องมือเท่าที่มีเหลืออยู่
ต่อมาในวโรกาสที่สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ
เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
จะทรงเจริญพระชันษาครบ ๓ รอบนักษัตรในวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๔
จึงได้มีพระปรารภด้วยพระยาภะรตราชา (ม.ล.ทศทิศ
อิศรเสนา)
ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยที่จะทรงสร้างถาวรวัตถุพระราชทานไว้ในวชิราวุธวิทยาลัยตามพระบรมราโชบายในสมเด็จพระบรมชนกนาถ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ท่านผู้บังคับการพระยาภะรตราชาจึงได้กราบทูลให้ทรงทราบว่า
โรงเรียนมีความต้องการหอเรียนวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยเพื่อรองรับการจัดการศึกษาตามแผนการศึกษาชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๓
 |
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา
สิริโสภาพัณณวดี
และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี
ขณะทรงวางศิลาฟกษ์ตึกเพชรรัตน |
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา
สิริโสภาพัณณวดี
จึงทรงพระกรุณาพระราชทานเงินส่วนพระองค์จำนวน
๔๖๐,๐๐๐ บาท
ให้โรงเรียนจัดสร้างหอเรียนวิทยาศาสตร์ขึ้นทางด้านทิศใต้ของตึกวชิรมงกุฎ
กับได้พระราชทานเงินรายได้จากการจัดแสดงละครพระราชนิพนธ์เรื่องพระร่วง
อีก ๑๘๐,๐๐๐
บาทเป็นทุนในการจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์สำหรับตึกนั้น
เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานนามหอเรียนวิทยาศาสตร์นี้ว่า "เพชรรัตน"
และได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงทรงเปิดตึกเพชรรัตนนี้ในงานพระราชทานประกาศนียบัตรและรางวัลแก่นักเรียน
เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๕
 |
ตึกเพชรรัตน (ขวา) และตึกสุวัทนา (ซ้าย) |
ตึกเพชรรัตนนี้เป็นตึกสองชั้น
วชิราวุธวิทยาลัยได้ใช้ตึกนี้ชั้นบนเป็นห้องเรียนของนักเรียนชั้นมัธธยมศึกษาปีที่
๕
ส่วนชั้นล่างห้องด้านทิศเหนือจัดเป็นห้องบรรยายวิชาเคมีและฟิสิกส์
ส่วนห้องชั้นล่างด้านทิศใต้เป็นห้องเรียนปฏิบัติการวิชาเคมี
แต่เนื่องจากการเรียนการสอนตามแผนการศึกษาชาติ
๒๕๐๓ นี้
การเรียนการสอนแผนกวิทยาศาสตร์ได้ก้าวหน้าไปรวดเร็วมาก
โรงเรียนจึงต้องปรับปรุงการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ให้ทันแก่ยุคสมัย
แต่หอเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ที่สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ
เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
จะพระราชทานไว้แก่โรงเรียนแล้วหลังหนึ่ง
ก็ยังหาพอแก่การเรียนการสอน
วชิราวุธวิทยาลัยจึงได้รวบรวมเงินค่าลิขสิทธิ์บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานไว้แก่โรงเรียนมาใช้เป็นทุนในการจัดจำหน่ายหนังสือเรียนและอุปกรณ์การเรียน
แล้วรวมรวมผลกำไรจากการจัดจำหน่ายอุปกรณ์การศึกษานั้นมาเป็นทุนจัดสร้างหอเรียนวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมอีกหลังหนึ่ง
โดยได้ทูลขอให้นักเรียนเก่ามหาดเล็กหลวงหม่อมเจ้าโวฒยากร
วรวรรณ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ออกแบบจัดสร้างอาคารเรียนวิทยาศาสตร์หลังใหม่ทางด้านทิศใต้ของตึกเพชรรัตน
เพื่อใช้เป็นห้องบรรยายและห้องปฏิบัติการวิชาชีววิทยา
กับมีห้องปฏิบัติการอัดล้างขยายภาพของสมาคมถ่ายรูป
ส่วนชั้นบนใช้เป็นห้องเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
๔
เมื่อการก่อสร้างอาคารเรียนวิทยาศาสตร์หลังใหม่
ซึ่งเรียกกันว่า "ตึกวิทยาศาสตร์" นี้แล้วเสร็จ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดตึกนี้ในวันพระราชทานประกาศนียบัตรและรางวัลแก่นักเรียน
เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๗
ต่อมาในคราวฉลองอายุวชิราวุธวิทยาลัยครบ ๑๐๐
ปีเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๓
โรงเรียนได้ขนานนามตึกวิทยาศาสตร์นี้ใหม่ว่า
"ตึกสุวัทนา"
โดยมีที่มาจากพระนามของพระนางเจ้าสุวัทนา
พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ ๖
และพระชนนีในสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ
เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
ปัจจุบันวชิราวุธวิทยาลัยยังคงใช้ตึกเพชรรัตน
และตึกสุวัทนา
เป็นอาคารเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมปลายสืบมา