 |
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
ประทับพลับพลายกข้างหอประชุมในงานพระราชทานประกาศนียบัตรและรางวัลแก่นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัย |
เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๑
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานประกาศและรางวัลแก่นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยเป็นครั้งแรกในรัชกาล
ในวโรกาสนี้ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทถึงหลักการอบรมนักเรียนในปับลิคสกูลของอังกฤษว่า
"การกีฬาเป็นของสำคัญที่สุด
การเล่นเกมเขาออกจะกวดขันยิ่งเสียกว่าการเล่าเรียน
เขาเห็นประโยชน์ของการเล่นกีฬามาก
เพราะว่าการกีฬานั้นมีประโยชน์ทางหัดนิสสัย
โรงเรียนอังกฤษมุ่งฝึกหัดนิสสัยยิ่งกว่าสิ่งใดหมด
การเล่นเกมนั้นทำให้กำลังบริบูรณ์
และกล้าหาญเราก็ย่อมทราบกันอยู่แล้ว
แต่นอกจากนั้นยังมีผลยิ่งขึ้น
ด้วยเกมที่เลือกนั้นมักต้องเลือกเกมที่ต้องเล่นหลายคน
เช่น ฟุตบอลล์ คริกเก็ต เป็นต้น
เพื่อจะฝึกให้เด็กรู้จักการรักเหล่ารักคณะให้รู้จักช่วยเพื่อน
การเล่นเกมไม่ใช่เล่นแต่ตัวคนเดียว
ให้นึกถึงส่วนใหญ่ไม่ใช่นึกถึงแต่ตัวคนเดียว
เช่น
เล่นฟุตบอลล์ไม่ควรแย่งชูตโกล์แต่ตัวคนเดียว
ตรงกันข้ามถ้าเห็นคนอื่นอยู่ในที่ดีกว่าเราต้องส่งลูกไปให้
นี่ฝึกหัดให้รู้จักประโยชน์ของส่วนใหญ่ยิ่งกว่าพยายามแสดงความเก่งของตัวคนเดียว
เรื่องเล่นเกมนี้เขากวดขันที่สุดต้องเล่นเกมให้ถูกข้อบังคับจริงๆ
และจะโกงไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นจึงมีศัพท์ที่เมืองอังกฤษว่า
คนไหนที่มีน้ำใจซื่อสัตย์สุจริตทำอะไรตรงไปตรงมาเขาเรียกว่า
เป็นผู้รู้จักเล่นเกม He plays the game.
นี่เป็นศัพท์ที่อังกฤษใช้เสมอ
แปลว่าเล่นเกมถูกต้อง
รู้จักรักและนึกถึงการช่วยเหลือเพื่อนของตน
ไม่ใช่เอาเปรียบ
เป็นของสำคัญมากเป็นการอบรมนิสสัยอย่างดี
ในโรงเรียนนี้หวังว่าครูจะตั้งใจอบรมให้นักเรียนที่นี่เป็นผู้มีนิสสัยรู้จักเล่นเกม
การอบรมอย่างนี้อังกฤษถือว่าทำให้ชาติอังกฤษเป็นชาติที่รุ่งเรืองมีอำนาจใหญ่โตในโลกได้จนมีประเทศราชทั่วไปทั้งโลก
เพราะเหตุว่ามีนิสสัย "รู้จักเล่นเกม"
นี้เอง แม่ทัพสำคัญของอังกฤษ คือ ดุ๊ค ออฟ
เวลลิงตัน
ที่เป็นผู้ชนะพระเจ้านะโปเลียนที่ ๑
ในการยุทธ์ที่วอเตอร์ลูนั้น ได้กล่าวว่า "ข้าพเจ้าชนะการยุทธ์ที่วอเตอร์ลูบนสนามกีฬาของโรงเรียนอีตัน"
หมายความว่าที่เขามีคุณวุฒิจนชนะการยุทธ์สำคัญคราวนั้นได้เพราะความอบรมที่รับมาจากโรงเรียนเป็นต้น
เพราะการอบรมเหล่านี้เป็นทางฝึกหัดอบรมนิสสัยอย่างสำคัญทางหนึ่ง
ฉะนี้เองสมเด็จพระมงกุฎเกล้าจึ่งได้มีพระราชประสงค์ให้โรงเรียนนี้ฝึกหัดอบรมให้คล้ายคลึงกับปับลิคสกูลของอังกฤษมากที่สุดที่จะเป็นได้
ข้าพเจ้าหวังใจว่านักเรียนในโรงเรียนนี้ทั้งปวงคงจะตั้งใจประพฤติตนให้เป็นผู้
"รู้จักเล่นเกม"
อย่างที่ได้อธิบายมานี้
และในที่สุดขอให้พรให้บรรดานักเรียนทั้งนักเรียนใหม่และเก่าจงมีความสุขสบายปราศจากโรคภัย
จงมีสติปัญญาไหวพริบให้สามารถเล่าเรียนได้ดี
และจะได้ประกอบการงานให้เป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองของตนต่อไปเทอญ."
[๑] |
 |
แผนที่ท้ายโฉนดที่ดินสวนกระจังที่พระราชทานให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวง |
อนึ่ง
ด้วยเหตุที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ให้โรงเรียนมหาดเล็กหลวงจัดการอบรมนักเรียนตามแนวทางของปับลิตสกูลอังกฤษ
เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานที่ดินสวนกระจังซึ่งเดิมเป็นท้องร่องสวนให้เป็นที่ตั้งถาวรของโรงเรียนแล้ว
จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาวิศุกรรมศิลปประสิทธิ์ (น้อย
ศิลปี)
จางวางช่างโยธามหาดเล็กเป็นแม่กองขุดดินเป็นสระน้ำแล้วนำดินที่ขุดได้นั้นมาถมเป็นสนามกีฬาให้นักเรียนได้ใช้เป็นที่ออกกำลังกาย
 |
ผังแสดงสถานที่จะก่อสร้างหอสวดและตึกนอนนักเรียน (ตึกคณะ)
กับพื้นที่ที่จะจัดเป็นสนามกีฬา
เมื่อแรกพระราชทานที่ดินสวนกระจังเป็นที่ตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
พ.ศ. ๒๔๕๔ |
สนามกีฬาที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดขึ้นในแรกตั้งโรงเรียนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔
ปรากฏเป็นสนามขนาดใหญ่ทางด้านทิศเหนือของหอสวดหรือหอประชุม
ซึ่งปัจจุบันเรียกกันว่า "สนามหน้า"
และต่อมาเมื่อจะก่อสร้างตึกวชิรมงกุฎเป็นตึกเรียน
และรื้อเรือนไม้หลังคามุงจากซึ่งเป็นอาคารเรียนชั่วคราวที่ด้านหลังคณะจิตรลดาออก
ก็มีโครงการที่จะปรับพื้นที่ด้านใต้หอประชุมเป็นสนามกีฬาอีกสนาม
แต่ยังมิทันได้เริ่มปรับปรุงก็เกิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง
โรงเรียนถูกตัดงบอุดหนุนที่กระทรวงศึกษาธิการเคยทูลเกล้าฯ
ถวายปีละ ๙๐,๐๐๐ บาท ลงเหลือเพียงปีละ ๓๖,๐๐๐ ยาท
ต่อด้วยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒
รัฐบาลได้มาขอใช้พื้นที่ส่วนนี้เป็นที่ตั้งเรือนพักชนชาติศัตรู
และเมื่อสงครามสงบลงโรงเรียนก็ได้ใช้อาคารชั่วคราวนี้เป็นคณะดุสิตแทนตัวคณะที่ถูกระเบิดของฝ่ายสัมพมิตรทำลายไปในสงครามโลกครั้งที่
๒
เมื่อคณะดุสิตใหม่ก่อสร้างแล้วเร็จและย้ายนักเรียนไปอยู่ที่ตึกใหม่แล้ว
พื้นส่วนนี้ก็ถูกทิ้งว่างอยู่อีกเกือบสิบปี
จนการสร้างอาคาร "วชิราวุธานุสรณ์ ๒๕๑๓"
เป็นอาคารกีฬา "อินดอร์สเตเดียม" แล้วเสร็จใน พ.ศ.
๒๕๑๔
พื้นที่ส่วนนี้จึงได้ปรับเป็นสนามกีฬาอีกสนามหนึ่ง
เรียกกันว่า "สนามข้าง" มาจนปัจจุบัน
 |
แผนผังที่ดินสวนกระจังที่พระราชทานให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
รวมทั้งส่วนที่พระราชทานเพิ่มเติมเป็นสนามกีฬา
ที่เรียกกันว่า "สนามหลัง" |
อนึ่ง
เมื่อแรกที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานที่ดินสวนกระจังให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวงนั้น
อาณาบริเวณของโรงเรียนมีอยู่เพียงริมคลองเปรมประชากรด้านหน้าหอประชุม
กับคณะจิตรลดาและคณะพญาไท
ไปจนจรดคูน้ำจากด้านหลังคณะผู้บังคับการไปจนถึงคณะดุสิต
(ปัจจุบันคูน้ำนี้ถูกถมไปหมดแล้ว) ต่อมาใน พ.ศ.
๒๔๕๙
ได้พระราชทานที่ดินบริเวณหลังโรงรถยนต์หลวงให้แก่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงเพื่อทำเป็นสนามฟุตบอล
และได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท
ให้กรมศิลปากรจัดการถมพื้นที่เดิมซึ่งเป็นท้องร่องสวน
"...ยาว ๒๑๗ เมตร์ กว้าง
๑๔๔ เมตร์ ถมสูงจากระดับหลังร่องสวน ๕๐ เซนติเมตร
ถมในท้องร่องกว้างและลึก ๑ เมตร์
ตลอดทั้งร่องยาวทั่วไป ๑๐๔๑๖ ตรางเมตร์
ถมสูงจากหลังร่องทั่วไป ๓๑๒๔๘ ตรางเมตร์ ถมสูง ๕๐
เซนต์..." [๒]
ด้วยเถ้าแกลบ
และเนื่องจากพื้นที่ส่วนนี้อยู่ด้านหลังโรงเรียนเดิม
นักเรียนจึงเรียกสนามส่วนนี้ว่า "สนามหลัง"
มาจนบัดนี้
ต่อมาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒
โรงไฟฟ้าหลวงสามเสนที่ศรีย่าน
ริมถนนสามเสนถูกระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับความเสียหาย
ทางราชการจึงได้ย้ายโรงไฟฟ้าหลวงพร้อมคลังน้ำมันมาตั้งที่ทำการที่สนามหลัง
อันเป็นเหตุให้เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรตามมาทิ้งระเบิดจนตึกคณะดุสิตพังทลาบลงไป
๒ หลัง
คงเหลือแต่เพียงตึกเล็กด้านทิศใต้เพียงตึกเดียว
และเมื่อสงครามสงบลงโรงไฟฟ้าหลวงย้ายกลับไปที่ตั้งเดิม
แต่สนามหลังนั้นถูกทิ้งไว้ในสภาพที่ทรุดโทรม
พื้นสนามเป็นหลุมเป็นบ่อ เวลาเล่นกีฬาวิ่งๆ
ไปอาจตกหลุมได้รับบาดเจ็บโดยไม่รู้ตัว
ยิ่งเวลาฝนตกมีน้ำขังสภาพสนามก็กลายเป็นปลัก
แต่เนื่องจากงบประมาณที่โรงเรียนได้รับจากพระคลังข้างที่ในแต่ละปีมีจำกัด
ในขณะที่ต้องบูรณะซ่อมแซมอาคารที่เริ่มชำรุดทรุดโทรม
สนามหลังจึงถูกทิ้งให้เป็นปลักต่อมาอีกนับสิบปี
จึงได้รับการบูรณะให้กลับสู่สภาพสนามกีฬาที่สมบูรณ์ในสมัยที่
ศาสตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา
มาเป็นผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยแล้ว