เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่พระชนมายุเพียง
๑๒ พรรษา
และต้องประทับอยู่ท่ามกลางชาวอังกฤษเป็นเวลาถึง ๙
ปีเศษ
จึงเป็นที่ทราบกันดีในหมู่คุณมหาดเล็กผู้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทว่า
ล้นเกล้าฯ
นั้นโปรดที่จะดำเนินพระราชจริยาวัตรส่วนพระองค์อย่างสุภาพบุรุษอังกฤษ
และโปรดอะไรๆ ที่เป็น อังกฤษ ไปเสียทุกอย่าง
 |
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
สยามมกุฎราชกุมาร
ทรงฉายพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ
และนักเรียนสยาม
ที่ร่วมประชุมฟังประกาศสถาปนาพระอิสริยศักดิ์
ณ สถานอัครราชทูตสยาม กรุงลอนดอน
เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๗ |
แต่เมื่อครั้งที่ทรงรับสถาปนาเป็นสมเด็จพระยุพราชใน
พ.ศ. ๒๔๓๗ นั้น
ได้มีกระแสพระราชดำรัสเป็นภาษาอังกฤษในท่านมกลางที่ชุมนุมพระบรมวงศานุวงศ์
ข้าราชการ และนักเรียนไทย ณ
สถานอัครราชทูตสยามกรุงลอนดอน
ซึ่งต่อมาหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล
ได้แปลกระแสพระราชดำรัสนั้นเป็นบทร้อยกรองภาษาไทยว่า
พระมหาธีรราชประกาศไว้ |
ที่อังกฤษสมัยทรงศึกษา |
ว่าเมื่อไรเสด็จกลับพารา
|
จะเป็นไทยยิ่งกว่าเมื่อมาเรียนฯ. |
ฉะนั้น เมื่อเสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนครแล้ว
นอกจากจะทรงส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทยที่เริ่มจะเสื่อมสูญลงเพราะการหลั่งไหลเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตกแล้ว
ในส่วนพระองค์ก็โปรดที่จะดำเนินพระราชกิจประจำวันคล้ายกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ายู่หัว
คือ ปกติประทับอยู่ท่ามกลางมหาดเล็กทางฝ่ายหน้า
แม้เวลาเสวยพระกระยาหารกลางวัน
ก็ประทับเสวยกับพื้นอย่างแบบไทยโบราณที่เรียกกันว่า
เสวยต้น
การเสวยต้นในช่วงก่อนที่จะทรงมีฝ่ายในนั้น
มักจะมีพระราชดำรัสสั่งให้จัดถวายในเวลาที่แปรพระราชฐานไปประทับแรมที่พระที่นั่งภาณุมาศจำรูญ
[๑]
ในพระบรมมหาราชวัง
เพราะที่พระที่นั่งองค์นี้มีพระเฉลียงที่กว้างขวางโปร่งสบายอยู่ที่ส่วนหน้าพระที่นั่ง
ในบริเวณนั้นไม่มีโต๊ะเก้าอี้
แต่ลาดพรมอย่างดีนิ่มไปหมดทั้งบริเวณ
ตรงที่ซึ่งจัดเป็นที่ประทับนั้นปูผ้าตาดพื้นทองขลิบขอบด้วยแถบทองมีรองพื้นเป็นผ้าสีแดงขนาดกว้างยาวประมาณ
๑ เมตรสี่เหลี่ยม
ทอดพระที่นั่งสีเหลืองเป็นพระยี่ภู่
(เบาะสำหรับใช้เป็นที่ประทับ) พร้อมพระเขนยอิง
(ที่เรียกว่า หมอนขวาง)
เย็บตรึงติดกับพระยี่ภู่ไว้ข้างบน
เครื่องราชูปโภคที่สำคัญในการเสวยต้นนี้ คือ
พระสุพรรณภาชน์หรือพานปากแบนที่มีชื่อเรียกเป็นสามัญว่า
โต๊ะ ชุดหนึ่งมี ๓ องค์ คือ ๓ โต๊ะ
เป็นโต๊ะทำด้วยทองคำบ้างเงินบ้าง
ปากโต๊ะเป็นกุดั่น คือ ฝังพลอยสีต่างๆ
เป็นเครื่องคาว ๒ องค์ คือ เครื่องใหญ่องค์หนึ่ง
เครื่องเคียงองค์หนึ่ง
กับอีกองค์หนึ่งสำหรับวางชามพระกระยาเสวย
ครั้นใกล้เวลาเสวยกลางวัน
มหาดเล็กห้องพระบรรทมจะออกมารับเหล้า "ค็อกเทล"
ขึ้นไปทอดถวาย
เหล้าค็อกเทลนี้เป็นเหล้าที่ปรุงผสมจากเหล้าฝรั่งหลายอย่างตามตำหรับสากล
ซึ่งหัวหน้ากองคลังวรภาชน์เป็นผู้ปรุงถวาย
เปลี่ยนไปวันละตำหรับ
ขณะที่มหาดเล็กห้องบรรทมเชิญถ้วยค็อกเทลขึ้นไปทอดถวายที่โต๊ะทรงพระอักษรนั้น
เจ้าพนักงานคลังวรภาชน์จะหยิบฆ้องใบเล็กขึ้นมาตีเป็นสัญญาณหนึ่งจบ
คล้ายประกาศให้ผู้มีหน้าที่ทุกฝ่ายเตรียมพร้อม
เรียกกันตามภาษาในวังว่า "ฆ้องหนึ่ง"
เมื่อทอดถวายถ้วยค็อกเทลเรียบร้อยแล้ว
จะทรงจิบทีละน้อยๆ เหมือนเป็นการเรียกน้ำย่อย
จะเร็วหรือช้าไม่แน่นัก
สุดแท้แต่จะมีพระอักษรที่ทรงค้างอยู่มากน้อยเป็นสำคัญ
เมื่อทรงจิบค็อกเทลที่เหลืออยู่เป็นครั้งสุดท้ายเป็นสัญญาณว่า
จะทรงหยุดทรงพระอักษรแล้ว
มหาดเล็กห้องพระบรรทมซึ่งหมอบเฝ้าอยู่ในที่ใกล้ๆนั้น
ก็คลานเข้าไปถอนถ้วยค็อกเทลนั้นออกมา
แล้วนำไปส่งคืนเจ้าหน้าพนักงานคลังวรภาชน์
ในขณะนั้นเองพนักงานคลังวรภาชน์จะลั่นฆ้องสัญญาณเป็น
๒ ลา ซึ่งเรียกกันว่า "ฆ้องสอง"
อันเป็นสัญญาณที่รู้กันดีในหมู่มหาดเล็กทั่วไป
ให้เตรียมพร้อมรอรับเสด็จเพื่อสนองพระยุคลบาทตามตำแหน่งหน้าที่
การแต่งกายของมหาดเล็กตั้งเครื่องนั้น
ทุกคนจะนุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงิน
ไม่สวมรองเท้าและถุงเท้า
สวมเสื้อนอกขาวแบบราชปะแตนดุมพระมหามงกุฎเงิน
พร้อมแผ่นคอสีน้ำเงินขลิบแถบเงินประดับดาราตามชั้นยศ
เข้าไปนั่งพับเพียบเรียงลำดับอาวุโส
โดยทางเบื้องขวาของพระหัตถ์
เป็นมหาดเล็กชั้นหัวหมื่นที่เรียกกันว่า "พระนาย"
[๒]
ต่อลงไปเป็นรองหัวหมื่นเรียกกันว่า "หลวงนาย"
[๓]
และจ่า
[๔]
แล้วจึงถึงหุ้มแพร และรองหุ้มแพรตามลำดับ
ส่วนทางเบื้องซ้ายพระหัตถ์ก็เป็นชั้นรองหัวหมื่น
จ่า หุ้มแพร รองหุ้มแพรตามลำดับเช่นเดียวกัน
เมื่อคุณพนักงานครัวพระเข้าต้นจัดเตรียมเครื่องเสวยไว้พร้อมสรรพ
หัวหน้าเวรมหาดเล็กกองตั้งเครื่องจะทำหน้าที่ตรวจความเรียบร้อยของดวงตราที่หุ้มห่อพระกระยาเสวยที่เชิญมาจากห้องเครื่อง
แล้วเทียบเครื่อง (คือ ตักขึ้นชิมให้แน่ใจว่า
ไม่มียาพิษเจือปนอยู่ ตลอดจนน้ำดื่ม น้ำชา เหล้า
อาหารกระป๋อง ฯลฯ)
ต่อมาเมื่อทรงตั้งตำแหน่งมหาดเล็กรับใช้ขึ้นแล้ว
หน้าที่การเทียบและเชิญค็อกเทลขึ้นทูลเกล้าฯ
ถวายและตีฆ้องสัญญาณนั้นตกเป็นหน้าที่ของมหาดเล็กรับใช้สืบมาจนสิ้นรัชสมัย
ครั้นเสด็จเข้ามาในห้องเสวยหลังสัญญาณฆ้อง ๒
ปกติจะทรงฉลองพระองค์อย่างอยู่กับบ้าน
อบร่ำด้วยเครื่องหอมอย่างไทย
มีผ้าแพรสีแดงรัดบั้นพระองค์
ทรงเหน็บผ้าซับพระพักตร์สีขาวสะอาดไว้กับผ้ารัดบั้นพระองค์
ทรงฉลองพระบาททำด้วยผ้าหรือหนังชนิดเนื้อนุ่ม
แม้จะทรงพระดำเนินเข้ามาเงียบๆ
แต่พลันที่ได้กลิ่นพระสุคนธ์โชยมาเป็นสัญญาณว่าเสด็จพระราชดำเนินมาถึงแล้ว
มหาดเล็กที่รอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ ณ
ที่นั้นต่างก็พากันหมอบกราบถวายบังคมลงกับพื้น
และรอเฝ้าถวายงานตามหน้าที่
 |
 |
 |
(จากซ้าย) เจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ)
พระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ)
และพระยาอุดมราชภักดี (โถ สุจริตกุล) |
ครั้นเสด็จประทับเหนือพระราชอาสน์เรียบร้อยแล้ว
หัวหมื่นมหาดเล็กผู้ใหญ่ที่ประจำอยู่เบื้องขวาที่ประทับเปิดกรวยครอบพระสุพรรณภาชน์ทั้งหมดออก
ในเวลาเดียวกันนั้นมหาดเล็กผู้ใหญ่ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ร่วมโต๊ะเสวย
อาทิ หม่อมเจ้าชัชวลิต เกษมสันต์ เจ้าพระยารามราฆพ
(ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) พระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล.ฟื้น
พึ่งบุญ) และพระยาอุดมราชภักดี (โถ สจริตกุล)
ที่รออยู่ภายนอกก็ทยอยกันเข้ามานั่งตามที่นั่งของตน
พร้อมกันแล้วคุณพระนายผู้เป็นหัวหมื่นมหาดเล็กตักพระกระยาเสวย
จากหม้อเคลือบสีขาวทรงกระบอกที่บรรจุอยู่ในถังทองเหลืองใส่น้ำร้อนถวายลงในชามพระกระยาเสวยประมาณ
๒ ช้อน
ครั้นแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยื่นพระหัตถ์ขวาออกมาเหนือพระสุพรรณราช
คุณพระนายจะค่อยๆ
รินน้ำจากคนโทเงินถวายชำระให้สะอาด
แล้วจึงเริ่มเสวยด้วยพระหัตถ์
(เว้นแต่วันใดมีพระราชกิจที่จะต้องทรงปฏิบัติภายหลังเสวยจึงมักจะทรงจะใช้ช้อนส้อม)
ในระหว่างเสวยนั้นคุณพระนายและคุณหลวงนายที่นั่งประจำทั้งเบื้องขวาซ้ายของพระที่นั่งก็จะคอยเลื่อนเครื่องที่ทรงโปรดเสวยในเวลานั้นให้ใกล้เข้าไป
ถ้าพระกระยาเสวยพร่องมาก
คุณพระนายจะคอยตักถวายจนกว่าจะทรงห้าม
พระจริยาวัตรในเวลาเสวยต้นนี้ทรงใช้พระหัตถ์ได้อย่างละมุนละม่อมชนิดที่ไม่มีข้าวหล่นลงมาเลย
เครื่องพระกระยาหารคาวหวานที่ห้องพระเครื่องต้นจัดขึ้นมาถวายเป็นประจำเวลาสวยต้นนั้น
จะเป็นอาหารไทยล้วน และเป็นอาหารพื้นๆ
ที่ปรุงขึ้นจากเนื้อสัตว์ ผักสด ไขมัน
แป้งและเครื่องปรุงรสนานาชนิดบรรดาที่คนไทยเรานิยมรับประทานกันทั่วไป
แต่การประกอบพระกระยาหารเหล่านี้
ชาวพนักงานห้องเครื่องทั้งคาวหวานต่างก็ปรุงแต่งและประดิษฐ์ขึ้นด้วยฝีมืออันประณีต
ผักหรือผลไม้ล้วนแกะสลัก ปอก คว้าน
ให้ดูสวยงามและเสวยง่าย
อีกทั้งจัดวางให้เข้าชุดกับสิ่งที่จะต้องประกอบกัน
เช่นผักสดกับเครื่องจิ้มก็จัดวางไว้ใกล้ๆ
กันกับปลา สำหรับแนม เป็นต้น
พระกระยาหารคาวซึ่งจัดถวายในแต่ละวันนั้นจัดเป็นชุด
มีพร้อมทั้งแกงเผ็ด แกงจืด ปลาสำหรับแนม
เครื่องจิ้ม ผักสดหรือผักชนิดอื่นๆ (เช่น
ผักดองและผักต้ม) เครื่องเคียงต่างๆ
ประมาณไม่ต่ำกว่า ๑๐ อย่าง
ผลัดเปลี่ยนเวียนกันไปเพื่อมิให้ทรงเบื่อ
ดังตัวอย่างชุดพระกระยาหารที่จมื่นอมรดรุณารักษ์
(แจ่ม สุนทรเวช) ได้บันทึกไว้ มีดังนี้
ชุดที่ ๑ ประกอบด้วย
๑.๑ แกงเผ็ดเนื้อ
๑.๒ ปลาเค็ม (ตัดเป็นชิ้นย่อมๆ ชุบไข่ทอด)
๑.๓ หมูหวาน
๑.๔ แกงจืดเกาเหลา
๑.๕ ปลาช่อน(แล่เอาแต่เนื้อทอดเหลือง)
๑.๖ น้ำพริก ผักต้มกะทิ
๑.๗ ผักสดชนิดต่างๆ
๑.๘ ยำไข่ปลาดุก
๑.๙ ไข่ฟูทรงเครื่อง
๑.๑๐ กระเพาะปลาทอดกรอบ จิ้มน้ำพริกเผา (ปรุงรส)
ชุดที่ ๒ ประกอบด้วย
๒.๑ แกงเผ็ดปลาดุก
๒.๒ เนื้อเค็ม(ฉีกฝอยผัดหวาน)
๒.๓ ปลาจาระเม็ดขาว(เจี๋ยน)
๒.๔ แกงจืดลูกรอก
๒.๕ ปลาทูนึ่งทอดเหลือง
๒.๖ น้ำพริกมะขามสด ผักทอดต่างๆ
๒.๗ ผักสดชนิดต่างๆ
๒.๘ ยำไข่ปลาดุก
๒.๙ ผัดเนื้อหมูกับยอดผัก
๒.๑๐ ด้วงโสนทอดกรอบ
ชุดที่ ๓
ประกอบด้วย
๓.๑ แกงเขียวหวานไก่
๓.๒ ปลายี่สกฝอย (ผัดหวาน)
๓.๓ ไข่เค็ม (ทอด)
๓.๔ แกงจืดวุ้นเส้น
๓.๕ ปลาดุกย่างยีเนื้อ ทอดฟู
๓.๖ เต้าเจี้ยวหล่น หรือกะปิคั่ว
๓.๗ ผักสดชนิดต่างๆ
๓.๘ ยำไข่ปลาดุก หรือยำใหญ่
๓.๙ ปูจ๋า
๓.๑๐ หมูกระจก จิ้มน้ำพริกเผา(ปรุงรส)
แต่สิ่งที่โปรดเสวยมากจนเป็นที่รู้กันว่า
ชาวพนักงานพระเครื่องต้นจะพยายามจัดหาไม่ค่อยขาดนั้นมีอยู่
๒ - ๓ อย่าง คือ
๑. ยำไข่ปลาดุก
ซึ่งเป็นเครื่องเคียงของประจำที่มีอยู่เกือบตลอดฤดูกาล
๒. ด้วงโสนทอดกรอบ
(จัดอยู่ในประเภทอาหารพิเศษตามพระราชบุพการีที่โปรดเสวยมาในอดีต)
ซึ่งมีวิธีทำที่พิสดาร เป็นของหายาก นานๆ ครั้ง
๓. ผักสดชนิดต่างๆ จะต้องจัดไว้จานหนึ่งด้วย
จานที่เป็นผักสดจะต้องพยายามเก็บรักษาไว้ให้สดกรอบที่สุด
ชาวพนักงานวรภาชน์จะเตรียมน้ำแข็งขูดเป็นฝอยด้วยเครื่องมือสำหรับขูดเอาไว้เสมอ
พอจวนเวลาเสวยจึงจะนำมาโรยคลุมลงบนจานผักสดที่จัดประดับเตรียมไว้
เพื่อทอดถวายในพระสุพรรณภาชน์เป็นจานหลังสุด
แต่ไม่โปะลงไปจนปิดผัก
จะโรยพอให้น่าดูและเย็นพอเท่านั้น
ผักแช่น้ำแข็งนี้เป็นเครื่องเสวยอีกชนิดหนึ่งที่โปรดมากเป็นพิเศษจนขาดไม่ได้ทีเดียว
ไม่ว่าเครื่องจิ้มจะเป็นชนิดใดก็ตาม
ผักสดจะต้องมีพร้อมเครื่องเสวยทุกครั้ง
๔. น้ำพริก
เป็นเครื่องเสวยประเภทเครื่องจิ้มที่โปรดมาก
เป็นเครื่องประกอบกับผักสดที่จะต้องจัดถวายเป็นประจำ
แต่ในการเสวยต้นที่จะต้องใช้พระหัตถ์หยิบบ้างคลุกบ้างกับพระกระยาหารเสวย
พระหัตถ์ก็จำเป็นที่จะต้องเปื้อนน้ำพริก
ซึ่งล้างให้หมดกลิ่นน้ำพริกยากนักยากหนา
ด้วยเหตุนี้ถ้าวันใดเป็นวันที่จะต้องเสด็จออกขุนนางที่มีประจำทุกสัปดาห์
วันนั้นก็จะต้องเตรียมจัดช้อนส้อมไว้ถวายเป็นพิเศษ